ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 157.1 คิดถึงนางจับใจ (1)
หลี่ว์ปารูดแขนเสื้อขึ้น หึ! “แน่นอน! พวกข้ายังจะต้องเกรงใจพวกเจ้าอีกหรืออย่างไร”
“ตามสบาย” ชายหนุ่มตรงข้ามในน้ำเสียงแฝงอาการหัวเราะเอาไว้อยู่
หลี่ว์ปาหันหน้าไป เหลือบมองดูคนติดตามในขบวน สายตาไปตกอยู่ที่คนที่อยู่แถวหลังสุด กลอกตาแล้วชี้ไป “ชิ่งเอ๋อร์ เจ้าไป!” เช้าวันนี้เขาเห็นลุงหนิวพานางและเว่ยเสียวเถี่ยมาด้วย ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์พอดี
อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักไป เว่ยเสียวเถี่ยไม่คิดว่าหลี่ว์ปาจะเลือกชิ่งเกอเอ๋อร์ ก็รีบรุดหน้าไปก่อน ถูมือแล้วกล่าว “ลูกพี่หลี่ว์ คนเยอะแยะเพียงนี้ ทำไมถึงให้ชิ่งเอ๋อร์ไปเล่า นาง นางไม่มีประสบการณ์ หากเกิดอะไรขึ้น…”
หลี่ว์ปาไม่ได้สนใจเว่ยเสียวเถี่ย ทำเพียงพูดตะคอก “ทำไม ไม่ยอมทำงานรับใช้พวกข้าหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนมารวมกันบนตัวของตน รวมไปถึง…ฉินอ๋องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเฉยชา เห็นได้ชัดว่าจำตนไม่ได้
นางรวบรวมสติ ไม่ลังเลอีก เดินเข้าไป กล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้ายอมทำงานรับใช้ลูกพี่หลี่ว์”
หลี่ว์ปาพยักหน้า ผลักอวิ๋นหว่านชิ่นไปข้างหน้า หันไปทางองค์ชายและขุนนางในค่ายทหารชั่วคราว ชูมือขึ้น ฝึบ! ถอดหมวกของนางออก
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าหนังศีรษะคลายออก ผมที่ม้วนเกล้าอยู่ในหมวกนั้นก็คลายตกลงมา
“เป็นหญิงนางหนึ่ง…” เสียงทหารของฝั่งค่ายทหารลอยมา
หลี่ว์ปาหัวเราะกล่าว “เชื่อว่าฉินอ๋องจะไม่ทำร้ายชาวบ้านที่เป็นหญิงสาว เด็ก และคนป่วยคนชราหรอกนะ! ฮ่าๆ!” แล้วตะคอกใส่อวิ๋นหว่านชิ่นอีกครั้ง “ไปสิ!”
เว่ยเสียวเถี่ยเข้าใจความหมายของหลี่ว์ปาแล้ว ถ้าให้เหล่าพี่น้องผู้ชายของกลุ่มผ้าเหลืองไป เกรงว่าฉินอ๋องจะใช้แผนจับตัวไว้ แล้วข่มขู่กลับ จึงเรียกให้ชิ่งเกอเอ๋อร์ไปตรวจสอบของ หญิงสาวคนหนึ่ง อีกยังเป็นเด็กใหม่อีก จะจับก็จับ จะฆ่าก็ฆ่าไป ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว
เว่ยเสียวเถี่ยกลัวว่าชิ่งเกอเอ๋อร์จะพลอยได้รับอันตราย กำลังจะเข้าไปด้วย แต่กลับถูกลุงหนิวจับไว้อย่างแรง จึงได้แต่มองดูชิ่งเกอเอ๋อร์เดินเข้าไปยังขุนนางราชสำนักของฝั่งตรงข้าม
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าใกล้คนของค่ายทหารทีละก้าว รู้สึกว่าสายตาที่มองมายิ่งดุร้ายและตรวจสอบอย่างระแวงระวัง
ในเวลานี้ หากนางวิ่งไปที่ม้าของเขา ก็จะได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลา
เว่ยเสียวเถี่ยยังอยู่ในกำมือหลี่ว์ปา ทำเช่นนี้จะเป็นการทำร้ายเขาให้ถึงตายได้
อีกอย่าง ที่นางเข้าเมืองมาก็จะหมดความหมายไป เพราะว่านางยังไม่ได้สืบสอดแนมสถานการณ์ฝั่งหลี่ว์ปาให้ชัดแจ้ง
ตอนนี้เห็นเขาออกมาทำการแลกเปลี่ยนกับหลี่ว์ปาด้วยตนเองเช่นนี้ สีหน้าท่าทางยังพอใช้ได้ ร่างกายน่าจะยังสบายดีเช่นกัน
ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ นางหยุดเดินลง เงยหน้าขึ้น มองดูคนที่ไม่พบกันมานานบนหลังม้านั้น โครงหน้าของเขาผอมซูบไป แต่หน้าตากลับยิ่งคมสันโดดเด่น
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่าสาวน้อยตัวเหลืองผอมโซคนนี้มองตนเอง ตาไม่กลอกกลิ้งใด คิดว่านางหวาดกลัว ขมวดคิ้วอันงดงาม ชี้ไป น้ำเสียงเริ่มจะรำคาญ “ตรวจสิ”
เป็นสายตาที่มองคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินมาข้างข้าวสารและแป้ง เปิดลังออกลังหนึ่ง เมื่อดูชัดเจนแล้ว ดวงตาแข็งชะงัก สันหลังหนาววาบ แทบจะกรีดร้องออกมา แต่ก็รีบทำใจให้นิ่งไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้อยู่แล้ว เขาจะตอบรับข้อเสนอของหลี่ว์ปาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
ในลังไม้นั้น ไม่มีข้าวสารหรือแป้งใดๆ มีเพียงหัวคนเท่านั้น รอยเลือดที่กระเซ็นบนหน้าก็แห้งขอดจับตัวเป็นก้อน หนังตาเปิดเป็นช่องเล็กน้อย มองคนนอกลังอย่างไร้ชีวิตชีวา เป็นความแข็งกระด้างของหนังตาที่ไม่ได้ปิดสนิทของคนตาย หรือที่เรียกกันว่า…ตายตาไม่หลับ
รอยเลื่อยบนคอของหัวคนนั้นเป็นระเบียบอย่างมาก น่าจะฟันคอในขณะที่ขยับไม่ได้…นั่นก็คือ ถูกคนจับทรมาน
หัวคนนี้ผมปล่อยสยาย เป็นชายผอมโซ ดูจากความหยาบกร้านของผิวและความเข้มของสีผิวแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่ น่าจะเป็นชาวบ้านยากจน บนหัวผูกผ้าสีเหลืองอยู่
เป็นคนของหลี่ว์ปา
น่าจะเป็นกลุ่มผ้าเหลืองที่ถูกทหารในค่ายบัญชาการชั่วคราวจับได้
เขาจะยอมทำการแลกเปลี่ยนกับพวกกลุ่มผ้าเหลืองได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตอบตกลงเป็นข้ออ้าง เพื่อนัดมาพบ ต่อหน้าทหารสองฝั่ง ทำให้หลี่ว์ปาเสียหน้าอย่างหนัก ดับไฟร้อนในตัวหลี่ว์ปาเสียบ้าง
นางดึงใจที่เต้นรัวจากอาการตกใจกลับมา ปล่อยมือ ฝาลังอันหนักอึ้งก็ปิดลงดัง ปัง! ลุกขึ้นมา หันตัวไป แล้วเดินไปยังอีกลังหนึ่ง
ซือเหยาอันประหลาดใจเล็กน้อย สาวน้อยนี่ช่างใจกล้านัก ไม่เพียงแต่ไม่ได้ตกใจอะไร ยังเดินไปดูทีละลังอีก มองไปยังนายข้างกาย เห็นเพียงดวงตาของชายหนุ่มนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เต็มไปด้วยความสนใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดดูลังข้างๆ ก็เป็นหัวคนเช่นกัน ลังที่สาม ลังที่สี่…ล้วนเป็นหัวของคนกลุ่มผ้าเหลืองทั้งสิ้น
นางเงยหน้าขึ้น มองดูชายหนุ่มบนอานม้า แล้วหันหน้ามาทางหลี่ว์ปาช้าๆ
กลุ่มคนฝั่งตรงข้ามเห็นว่าสาวน้อยชิ่งเอ๋อร์นี่ผิดปกติแต่แรกแล้ว
เวลานี้เห็นว่านางตรวจของเสร็จแล้วมองมา คิ้วอันดกหนาขมวดกันแน่น บนใบหน้ามีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หลี่ว์ปารู้ว่าเสบียงในลังนั้นมีปัญหา กำหมัดแน่น กัดกระพุ้งแก้มจนเปล่งดังทิวเขา เปลวไฟลุกโชนทั่วร่าง เสียงอันแหบพร่า “พี่น้องทั้งหลาย ถืออาวุธไว้ให้มั่น เหมือนว่าพวกเราจะโดนสุนัขรับใช้ราชสำนักมันเล่นเอาเสียแล้ว!”
ในขบวนทัพชะงักไปทันใด ตามมาด้วยเสียงกระทบของโลหะอันเย็นเยือกดังขึ้น เหล่าชายฉกรรจ์ต่างก็ยกดาบกระบี่หอกยาวขึ้นมา สีหน้าระแวงขึ้นมา
“สาวน้อยชิ่งเอ๋อร์! ในลังเป็นอะไร!” หลี่ว์ปากล่าวเสียงดัง
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นหัวโจกของชาวบ้านที่ก่อการจลาจลนี้ร้อนรนขึ้นมา ขบวนทัพฝั่งตรงข้ามมีร่องรอยของความวุ่นวาย จึงกล่าวกับหญิงสาวที่ยืนเงียบอยู่ข้างลัง “สาวน้อย ยังไม่บอกนายเจ้าไปอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นดวงตาอันดุร้ายของหลี่ว์ปาจ้องเขม็งดั่งกระดิ่งทองแดง สูดหายใจเข้าไป ทำเสียงหนา “เป็นหัวคน เป็นหัวคนของคนฝั่งเรา”
ทันใดนั้น ขบวนทัพของกลุ่มผ้าเหลืองเหมือนดั่งรดน้ำเดือดแล้วเติมฟืน ตู้ม! ลุกโชนขึ้นมา!
ซย่าโหวซื่อถิงดวงตาเป็นประกาย คิ้วยาวงามดั่งแนวเขาเอียงเข้าจอนงาม ลำตัวยาวไม่ขยับ เพียงแต่ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วสะบัด “ส่งเสบียงไปสิ!”
นายพลทหารเดินออกมาสิบกว่านาย ยกลังขึ้น แล้ววางลงบนศูนย์กลางของพื้นที่ว่างนี้ ในชั่วพริบตาที่วางลงนั้น เหล่าทหารเปิดลังในมือออก แล้วหันไปทางฝั่งตรงข้าม
สภาพในลังนั้นปรากฏต่อสายตาพวกหลี่ว์ปา มีเสียงร้องตกใจขึ้นมาทันใด…
กลุ่มผ้าเหลืองจะเอาเสบียงอาหารห้าสิบหาบ ฉินอ๋องจึงทำตามความประสงค์ของพวกเขา เตรียมลังมาห้าสิบลัง แต่ละลังใส่หัวคนหนึ่งหัวไว้ข้างใน!
ก่อนหน้านี้ลูกน้องของทั้งสองฝั่งพบเจอกันในเมือง หลังจากการต่อสู้ กลุ่มผ้าเหลืองก็ถูกทหารของฉินอ๋องจับกุมตัวไปหลายสิบคน ได้ยินว่าเดิมทีก็จะกักบริเวณไว้ในค่ายบัญชาการเหมือนกับครอบครัวของชาวบ้านที่ก่อจลาจลคนอื่นๆ ไม่คิดว่าพบกันวันนี้ จะกลายเป็นผีในลังไปแล้ว!
คิดว่าที่ฉินอ๋องนี่ไม่ยอมจู่โจมสักที ตอนนี้ตอบตกลงทำการแลกเปลี่ยนก็รวดเร็วดังใจ จะต้องเป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์เป็นแน่ แต่พอมาเห็นภาพอันโหดร้ายกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ก็เพิ่งจะได้รู้ว่า ชายหนุ่มงดงามเอวบางใบหน้าสุกสว่างชุดลายปักเข็มขัดหนังกระทิงบนอานม้าฝั่งตรงข้ามนั้น ที่แท้ก็เป็นพวกโหดร้ายทารุณยิ่งนัก
“ผู้ที่ต่อต้านราชสำนัก ต้องตาย” ชายหนุ่มดึงบังเหียน ลำตัวยาวเหยียดตรง ชื่นชมความหวาดผวาของกลุ่มผ้าเหลืองฝั่งตรงข้ามอยู่ไกลๆ ความเรียบสงบถึงขั้นสุภาพอ่อนโยนก่อนหน้านี้ หายไปกับสายหมอกในชั่วพริบตา มีแต่ความชั่วร้ายและความโหดร้ายหมุนวนรวมกัน มีความเย็นเยือก ดวงตาน่าขนลุกขึ้นมาทันใด “บังอาจคิดจะต่อรองแลกเปลี่ยนกับราชสำนัก ตกนรกสิบแปดขุมก็ไม่เพียงพอ ขณะนี้เกิดภัยพิบัติ ยังคิดจะก่อการจลาจล ตีฟันเข่นฆ่ากันเองอีก นี่เหมาะกับพวกกบฏมากที่สุดแล้ว เอาไปเสีย เสบียงเลือดเนื้อสดๆ พอให้พวกเจ้าอิ่มท้องกันได้แล้ว!”