ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 157.3 คิดถึงนางจับใจ (3)
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีเทียนขุยรู้ว่าองค์ชายสามตัดสินใจดีแล้ว อ่อนล้าไปทั้งตัว น่าจะรู้แต่แรกตั้งแต่ที่ฉินอ๋องยิงธนูสังหารปลัดชีแล้ว ไม่มีใครข่มขู่เขาได้แม้แต่น้อย ครั้งนี้บุตรชายตายแน่แล้ว! ปกติเห็นในค่ายทหารชั่วคราวเขาก็เป็นคนเงียบๆ ใครจะไปคิดว่าที่แท้เมื่อต่อกรกับศัตรู จิตใจจะเย็นชาเลือดเย็นเช่นนี้ ไม่สนใจความรู้สึกใครทั้งนั้น
สวีเทียนขุยอ่อนพับอยู่บนพื้น ผู้ตรวจการเหลียงที่อยู่ข้างๆ รีบให้คนไปลากออกไปด้านข้าง
เวลานี้ ขบวนม้าถอยไปสองข้าง หน่วยมือธนูได้รับคำสั่ง รุดขึ้นหน้าอย่างพร้อมเพรียง ดึงคันธนู เล็งไปที่กลุ่มผ้าเหลืองฝั่งตรงข้าม
หลี่ว์ปาก็เตรียมพร้อมกับการต่อสู้สุดชีวิต สองมืออุ้มบุตรชายตัวอ้วนของสวีเทียนขุยชูขึ้นฟ้า “เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย เตรียมพร้อมกันหรือยัง”
กลุ่มคนผ้าเหลืองเต็มเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม “พร้อมแล้ว!”
“องค์ชายสาม จะสู้กับพวกเขาตอนนี้เลยหรือ” ซือเหยาอันรู้แผนของฉินอ๋อง นานเพียงนี้ยังไม่เปิดศึกกับหลี่ว์ปาเสียที จงใจให้หลี่ว์ปามีชีวิตที่สงบสุข ก็เพราะมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
วันนี้ ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการจับตัวหลี่ว์ปา
ซย่าโหวซื่อถิงก็ไม่อยากจับตัวหลี่ว์ปาเช่นกัน ปลาตัวใหญ่ที่แท้จริงยังไม่ว่ายออกมา ตอนนี้จะรีบเก็บแหก่อน ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพียงแต่วันนี้หลี่ว์ปาท้าทายยั่วยุจนถึงขั้นนี้ จะต้องแสดงพลังอำนาจมาสยบกันเสียบ้าง หว่างคิ้วเผยความดุเดือด ตะคอกเสียงใส “ยิงธนู!”
เหล่าทหารไม่ลังเล รับคำสั่งชักลูกศรออกจากปลอกมาง้างบนสายธนู
ลูกศรกว่าร้อยดอกปล่อยออกมาพร้อมกัน สงครามเลือดกำลังบังเกิดขึ้น
“พวกเจ้าไม่สนใจตัวประกันจริงหรือ” ผู้เฒ่าเถียนรีบเอ่ยปาก ยกมือขึ้นชี้บุตรชายสวีเทียนขุยที่ถูกชูขึ้นฟ้า “อย่าลืมว่ายังมีขุนนางรับใช้และเหล่าผู้หญิงของจวนผู้ว่าการอีกสิบกว่าคนนะ!”
บนอานดิ้นทองนั้น ชายหนุ่มท่าทางสง่างาม ดึงบังเหียนแน่น หัวเราะเยาะเย้ย “ข้าไม่ลืมหรอก แต่ทว่า พวกเจ้าก็จงจำเอาไว้ว่า” กลอกตาไปมองที่หน้าหลี่ว์ปา “ในบรรดาพวกเจ้าก็มีคนในครอบครัวอยู่ที่ค่ายทหารชั่วคราวเช่นกัน อ้อจริงสิ ยังมีน้องสาวของหัวโจกพวกเจ้าอีกด้วยละสิ! ราชสำนักไม่เหมือนพวกโจรขโมยจะใช้วิธีต่ำทรามมาบีบคั้น แต่หากพวกเจ้ายังกล้าข่มขู่อีก ข้าก็คงจะต้องจับมาสังหารทีละคน!”
หลี่ว์ปานึกถึงน้องสาวที่ถูกผู้ตรวจการเหลียงจับกุมไป ถึงแม้จะลังเลไปบ้าง แต่ในฐานะแม่ทัพ เป็นผู้นำตัวอย่างของกองทัพ หากยอมถอยแม้แต่น้อย เหล่าทหารก็จะไม่มีขวัญกำลังใจ อดกลั้นความเจ็บใจและความอาลัยอาวรณ์นี้ไว้ ทุ่มสุดตัว แล้วตะโกนว่า “ยกโล่ขึ้นมา!” แล้วปล่อยมือ เห็นว่าจะทุ่มท่านชายอ้วนนั่นลงบนพื้นกระเบื้องอันแข็งแรงและหนาวเหน็บแล้ว
หากตกลงไปบนพื้น เกรงว่าเด็กน้อยคนนี้จะต้องเลือดเนื้อกระเด็นสมองไหลเป็นแน่ แต่กลับได้ยินเสียงดัง ปัง! ลอยมาจากทางด้านหน้าของทหารฝั่งฉินอ๋อง
สิ่งที่ตามติดเสียงมา คือแสงไฟลุกวาบ ทำเอาคนทั้งสองฝั่งต่างก็หวาดกลัวกัน แล้วยังได้กลิ่นฉุนของดินประสิวอีก
หลี่ว์ปาสั่นสะเทือนจนปล่อยมือ ท่านชายอ้วนตกลงมา ยังดีที่ไม่ได้ใช้แรงมากนัก ตกลงมาไม่แรง สะอึกสะอื้นลุกขึ้นมา
ณ ที่แห่งนั้นล้วนเป็นชายนักรบทั้งนั้น โดยเฉพาะเหล่าทหารที่ผ่านการฝึกอย่างเป็นระบบของราชสำนัก จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นกลิ่นดินปืน
สาวน้อยหน้าตาน่าเกลียดที่เพิ่งจะตรวจสอบของเสร็จเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าขยับมาอยู่ข้างซือเหยาอันตั้งแต่เมื่อไร ในเวลานี้มือถือปืนไฟสีดำ จี้เอวซือเหยาอันอยู่ กดเสียงต่ำแหบ เหมือนเสียงหมาป่าตัวเมีย “ไป!”
“ใต้เท้าซือ…” เหล่าทหารถือดาบเดินเข้าไป เห็นสาวน้อยคนนั้นไม่รู้ไปพกความกล้ามาจากไหน รีบชูมือขึ้น แล้วก็ยิงปืนขึ้นฟ้าไปอีกนัด “หากเข้ามาอีก ระวังข้าปืนลั่นใส่เขา!”
ทุกคนต่างก็รู้ว่าซือเหยาอันเป็นทหารคนสนิทของฉินอ๋อง จะให้โดนทำร้ายไม่ได้ และยังรู้ว่าปืนไฟมีพลังทำลายล้างมากกว่าดาบกระบี่ จึงเหลือบมองฉินอ๋อง
ซย่าโหวซื่อถิงกำลังอยากหาโอกาสหยุดศึกครั้งนี้อยู่พอดี เพื่อไม่ให้จับหลี่ว์ปาได้เร็วเพียงนี้ แล้วต่อไปจะหมดโอกาสไป สาวน้อยผู้นี้หล่นมาจากฟากฟ้า ขัดจังหวะการเผชิญหน้า ตรงกับใจเขาพอดี แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ควบม้าไปข้างหน้า มองดูสาวน้อยล่างม้าคนนั้นเหมือนคิดอะไรอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ทหารขุนนางพวกนั้นยังคงบีบล้อมนางทีละก้าว นางใช้ปืนไฟจี้เข้าไปในเอวของซือเหยาอันอีก เงยหน้าขึ้น เพ่งเขาตรงๆ แล้วบีบเสียงพูดอย่างดุร้าย “เจ้า คนที่เป็นเจ้านายน่ะ จ้องข้าทำไม สั่งพวกเขาให้ถอยไป วางอาวุธ ออกไปไกลๆ จากข้า! มิเช่นนั้นจะยิงทหารคนสนิทเจ้าเป็นคนแรก! แล้วค่อยยิงเจ้าต่อ!”
รูปลักษณ์ไม่โดดเด่น กิริยาท่าทางก็หยาบโลน แต่สายตาคู่นั้นกลับสว่างสดใสดั่งกระจกใส คล้ายว่าคุ้นเคยยิ่งนัก
เมื่อคิดเช่นนี้ ขนาดรูปร่าง ก็เหมือนว่าจะคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง…
ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาเล็กน้อย ในใจก็กลับหวั่นไหว แต่ก็แอบรู้สึกขำ ตนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่! สาวน้อยบ้านป่ากลุ่มชาวบ้านก่อการจลาจลนี้ จะเหมือนกับนางได้อย่างไร!
หรือว่าจะเป็นเพราะออกจากบ้านมานาน คิดถึงนางจับใจ ถึงได้คิดแปลกๆ เหมือนถูกปีศาจครอบงำเอาเสียแล้ว!
เขากดความคิดเหลวไหลไร้สาระนี้เอาไว้ ยกแส้ขึ้นหมุนตัวกลับที่เดิม สุดท้ายก็ออกคำสั่ง “อย่าทำร้ายใต้เท้าซือ”
เมื่อรับสั่งคำนี้ออกไป เหล่าทหารขุนนางก็วางอาวุธลง ถอยไปสองสามก้าว
เว่ยเสียวเถี่ยรู้ว่าชิ่งเกอเอ๋อร์ข่มขู่ทหารขุนนางคาดว่าน่าจะเพื่อหยุดยั้งการเปิดศึกกันเป็นแน่ เหมือนมีแผนอะไร แต่กลับกลัวว่านางจะพลอยได้รับบาดเจ็บ เห็นนางรับมือกับองค์ชายสามมาถึงตอนนี้ ก็เหงื่อตกตั้งนานแล้ว จ้องตาไม่กระพริบ
หลี่ว์ปาเห็นสถานการณ์พลิกผัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสาวน้อยผู้นี้จะได้ปืนไฟนี่มาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ปีกจมูกกระตุก “ดี! ข้าว่าแล้วว่าสาวน้อยชิ่งเอ๋อร์นี่เก่งกาจยิ่งนัก!”
ซือเหยาอันถูกปืนไฟจี้อยู่ ถอยออกจากวงล้อมของทหารภายใต้การจับตัวข่มขู่ของสาวน้อยนั่น เดินไปทางกลุ่มผ้าเหลือง เดินไป ก็ปลอบไป “สาวน้อย ข้าเห็นเจ้าท่าทางเป็นคนดี จะติดตามพวกชาวบ้านบ้าคลั่งก่อการจลาจลนี่ไปทำไมกัน เจ้าวางปืนลง ไปกับพวกข้า ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มอีก…”
“พูดพล่ามอะไร!” อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ด้ามปืนเคาะที่คอเขา ให้เขาหยุดพูด แล้วตะโกนไปทางหลี่ว์ปาอีก “ยังไม่ไปอีก!”
หลี่ว์ปาก็ไม่อยากจะสู้กับฉินอ๋องตอนนี้เช่นกัน สถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครจะชนะใครจะแพ้ จะทำร้ายตนเองไปทำไม เห็นท่าทีแล้ว ก็เรียกให้คนจับบุตรชายของสวีเทียนขุยมัดเอาไว้ แล้วนำขบวนทัพถอยกลับไปก่อน
เว่ยเสียวเถี่ยกลับไม่ยอมไป “ชิ่งเอ๋อร์…”
อวิ๋นหว่านชิ่นเสียงดุร้าย “ไป!” เว่ยเสียวเถี่ยกัดฟัน กำลังจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกลุงหนิวคว้าเอวเอาไว้แล้วแบกกลับไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าขบวนทัพนั้นไปกันแทบหมดแล้ว จึงได้ใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักซือเหยาอันไปข้างหน้าอย่างแรง แล้วยิงปืนขึ้นฟ้าข่มอีกครั้ง กล่าวกับเหล่าทหารราชสำนักทั้งหลายเสียงดัง “อย่าตามข้ามา! ระวังลูกปืนนี้ของข้าไม่มีตา! เข้ามาคนหนึ่ง ข้าก็จะยิงให้ลั่นคนหนึ่ง!” พูดไป ก็หันกลับวิ่งหนีไป
เหล่าทหารสายตาเคร่งเครียด ฉวยโอกาสยามสาวน้อยคนนั้นยังวิ่งหนีไปได้ไม่ไกล ดึงคันธนูเล็งเป้าอีกครั้ง กำลังจะซุ่มจู่โจมจากทางข้างหลัง แต่กลับได้ยินฉินอ๋องเหลือบมองเงาเบื้องหลังที่เล็กลงเรื่อยๆ นั้นแล้วเอ่ยปากขึ้น “เก็บธนู กลับค่ายบัญชาการ”
คนกลุ่มนั้นทำตามคำสั่ง วางคันธนูลง
ซือเหยาอันสั่งให้คนแบกสวีเทียนขุยที่เกือบจะเป็นลมตายไป ขึ้นม้าตามฉินอ๋องไป ยังคงตกใจอยู่บ้าง พึมพำกับตนเอง “ในกลุ่มผู้ก่อการจลาจลทำไมถึงได้มีสาวน้อยเช่นนี้ มีปืนไฟก็เกินพอแล้ว ยังมีสายตาแหลมคมอีก จับข้าไว้ถูกคนเชียว! แล้วยังรู้อีกว่าข้าเป็นทหารคนสนิทขององค์ชายสาม…” เมื่อครู่หากใช้คนอื่นเป็นตัวประกัน ทหารคนอื่นไม่แน่ว่าจะยอมหลีกเลี่ยง เกรงว่าคงจะรุดหน้ากระโจนเข้าไปจับสาวน้อยคนนั้น ณ ตรงนั้นแล้ว แต่เพราะว่าซือเหยาอันเป็นองครักษ์ผู้ติดตามของฉินอ๋อง ทุกคนจึงได้เกรงใจไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม