ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 158.3 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (3)
เหล่าชายหนุ่มจะต้องต่อกรกับศัตรูภายนอก ต้องใช้พละกำลังอยู่ตลอดเวลา จะให้หิวไม่ได้ ฉะนั้นเหล่าหญิงสาวในกลุ่มผ้าเหลืองจึงต้องประหยัด เก็บเสบียงไว้ให้เหล่าชายหนุ่มกิน
เห็นได้ว่าปัญหาเสบียงนั้นคับขันถึงขั้นใดแล้ว
เพียงแค่สองวันนี้นั้น อวิ๋นหว่านชิ่นและยายแก่กับป้าทั้งหลายที่พักห้องเดียวกัน ตลอดทั้งวันนั้น ได้รับการแจกจ่ายเพียงหมั่นโถวสี่ลูกและน้ำแกงใบผักที่ใสจนเห็นก้นถ้วย ขนาดข้าวสวยยังไม่ได้กิน ตอนช่วงกลางวันยุ่งกับการทำงานก็ไม่ได้รู้สึกอะไร พอตกกลางคืนจะนอน ก็หิวจนนอนไม่หลับทั้งคืน
เว่ยเสียวเถี่ยเนื่องจากเป็นชาย ได้รับอาหารมากหน่อย แต่เนื่องจากเพิ่งเข้ามา จึงได้เพียงข้าวเพิ่มมาครึ่งถ้วย น้ำแกงก็มีเพียงไขที่มีกลิ่นเนื้อสัตว์เล็กน้อยเพิ่มมาเท่านั้น เขามักจะแอบเอามาให้ชิ่งเกอเอ๋อร์กินเสมอ
ชิ่งเกอเอ๋อร์เป็นผู้มีพระคุณของเขา รูปร่างก็ตัวเล็กผอมบาง จะให้ทนหิวไม่ได้
เว่ยเสียวเถี่ยโตกว่าอวิ๋นจิ่นจ้งไม่กี่ปี อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า เด็กหนุ่มที่อายุเท่านี้ร่างกายกำลังเติบโต เป็นช่วงที่ต้องการอาหารจำนวนมากอยู่พอดี กินอย่างไรก็ไม่อิ่ม ทุกครั้งก็จะผลักคืนไป บอกว่าตนอิ่มแล้ว เว่ยเสียวเถี่ยจึงทำได้เพียงยกกลับไป
เมื่อกลับถึงห้องในเวลากลางคืนนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็ทำได้เพียงต้านทานความหิวเอาไว้ พยายามไม่ให้ตนเองคิดมาก นอนหลับไปเสียก็พอ
ในชาติก่อนนั้นนางก็เคยลำบากมาก่อน แต่ความรู้สึกหิวโหยนั้น ครั้งนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรก ตั้งแต่กระเพาะจนถึงหลอดลมก็ร้อนผ่าวไปหมด ช่างทรมานยิ่งนัก บางครั้งหิวจนทนไม่ไหว จึงลงจากเตียงไปตักน้ำจากโอ่งหนึ่งน้ำเต้ามากรอกลงท้องให้เต็มจึงบรรเทาลง
ในห้องเวลานี้ หลายคนก็พูดคุยถึงสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อย่างแผ่วเบา แล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่
“หรือว่าจะเพาะปลูกในที่โล่งว่างข้างๆ ดี ปลูกผัก อยู่อย่างพอเพียง” มีคนเสนอแนะ
พวกเขามองตากันแล้ว ความกังวลใจบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
พืชสวนนั้นต้องรอหนึ่งฤดูกาลจึงจะได้กิน อย่างไรเสียก็ต้องสักสองสามเดือน แก้ไขสถานการณ์คับขันปัจจุบันนี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผืนนาที่สามารถปลูกผักได้ในเมืองเยี่ยนหยางมีจำกัด จะต้องปลูกเท่าไรถึงจะเพียงพอกับปากท้องของคนจำนวนพันคน
บรรยากาศในห้องชะงักไปอีกครั้ง
สักพักใหญ่ สายตาของผู้เฒ่าเถียนก็เศร้าซึมไป นิ้วอันผอมแห้งวางอยู่บนโต๊ะ เคาะไปสองสามครั้ง
หลี่ว์ปาเหลือบมองดูผู้เฒ่าเถียน เหมือนว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ยืดลำตัวหนาใหญ่ขึ้น น้ำเสียงต่ำแหบ “หากไม่มีทางแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็คงต้องไปเอาจากขุนนางพวกนั้นแล้ว”
เหล่าลูกน้องถอนใจ “ลูกพี่ สองวันก่อนเพิ่งจะไปขอ สุนัขราชสำนักพวกนั้นไม่สนใจความเป็นความตายของตัวประกันเลย กลับใช้ชีวิตน้องสาวลูกพี่และญาติของพี่น้องเรามาข่มขู่ อยากจะให้เราหิวจนอ่อนแรงกันจะแย่ จะยอมแจกเสบียงให้เรามากินอิ่มกันหรือ”
หลี่ว์ปาปีกจมูกกระตุกเล็กน้อย น้ำเสียงก็โหดร้ายขึ้น “ครั้งนี้ เราไม่เล่นกับพวกเขาในที่แจ้ง”
ทุกคนลมหายใจชะงักไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สีหน้ากลับเหมือนปกคลุมด้วยเมฆหมอก มองไม่ออก ฟังเสียงหลี่ว์ปาที่ดังวนเวียนรอบห้อง แม้จะมีเพียงแปดคำ แต่กลับสะเทือนหูแทบดับ
“เผาค่ายยามดึก ลักลอบชิงเสบียง”
วางแผนจะลอบโจมตีหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นกำมุมเสื้อของตนไว้
ทุกคนได้ยินคำพูดของหลี่ว์ปาแล้ว ลังเลอยู่สักพัก ไม่นาน ก็มีคนชี้ถึงความยากลำบากในการทำเช่นนี้ขึ้น “แต่การจัดวางในค่ายบัญชาการนั้น ที่ใดสะดวกแก่การเผา ที่ใดเป็นจุดเวรยาม ที่ใดเป็นคลังเสบียง พวกเราไม่รู้เลย ต้องหาคนเข้าไปสำรวจพื้นที่ก่อน วันที่ไปเผาค่าย ก็จะได้ช่วยเหลือพวกเรา”
หาคนเข้าไปแอบสำรวจก่อนหรือ พูดง่าย แต่จะเข้าไปอย่างไรล่ะ ทุกคนสีหน้าอมทุกข์
คนของกลุ่มกำลังโพกผ้าเหลืองนั้นล้วนเป็นคนในพื้นที่เยี่ยนหยาง หลังจากที่ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากันแล้ว คนของฉินอ๋องก็ตรวจสอบตัวตนของชาวบ้านที่ก่อการจลาจลกลุ่มนี้ ข้อมูลของทุกคนอยู่ในรายชื่อทั้งหมด ไม่สามารถแอบแฝงตัวเข้าไปได้
“หรือไม่ก็ ให้ชาวบ้านที่คุ้นเคยกับเราเข้าไปสำรวจให้เรา” มีคนหัวไว
“ไม่ได้” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดโพล่งออกมา
เหล่าชายหนุ่มหันหลังไปทางเสียงนั้น มองดูสาวน้อยที่ยืนอยู่มุมห้องและเงียบมาตลอด
หลังจากกลับมาจากการแลกเปลี่ยนในวันนั้น หลี่ว์ปาก็พาสาวน้อยคนนี้ติดตามไปด้วยทั้งวัน ทุกคนต่างก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เห็นว่าหลี่ว์ปาให้ความสำคัญกับนาง ใช้นางดั่งกุนซือหญิง จึงไม่กล้าพูดอะไร ตอนนี้เห็นว่านางขัดจังหวะ ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้ว “ทำไมไม่ได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “ชาวบ้านถึงจะคุ้นเคยกันเท่าไร แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนของเรา ปกติก็ไม่ได้รับการฝึกฝน พึ่งพาอะไรไม่ได้ พวกเจ้านึกว่าค่ายบัญชาการนั้นเข้าไปง่ายนักหรือ ไม่มีโอกาสอะไร เข้าไปไม่ได้หรอก ถึงแม้จะเข้าไปได้ หากถูกพบเข้าหรือถูกสงสัย ทนรับการเฆี่ยนตีลงโทษไม่ไหว เมื่อถูกสอบถามแล้ว เรื่องนี้ไม่สำเร็จไม่ว่า หากทำให้แผนการของเราเล็ดลอดออกไป ค่ายทหารป้องกันแน่นหนาขึ้น นั่นจะถือว่าล้มเหลวจริงๆ!”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป หลี่ว์ปาคาดคะเนสักครู่ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “สาวน้อยพูดถูก เรื่องนี้จะมอบให้ชาวบ้านธรรมดาไปทำไม่ได้ ไม่ไว้ใจ อย่างไรก็ต้องพึ่งคนของเราเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ ค่อยๆ หาแล้วกัน อย่างน้อยก็ยืดเวลาที่ค่ายบัญชาการจะถูกเผาออกไปได้อีกสักพัก
ทุกคนหารือกันสักครู่ ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ จึงแยกย้ายกันไปก่อน
ผู้เฒ่าเถียนลุกขึ้นก่อนใคร “ข้าออกไปข้างนอกก่อน”
ออกไปคนเดียวอีกแล้วหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูหลี่ว์ปา เห็นว่าเขาก็เหมือนกับทุกที ไม่ได้ถามผู้เฒ่าเถียนว่าจะไปไหน แล้วขานรับ
แล้วผู้เฒ่าเถียนก็ออกไปข้างนอก
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามกลุ่มคนออกห้องไป ถึงเวลากลางวันแล้ว ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว
มีลูกน้องคนหนึ่งมาบอกว่าอาหารกลางวันในเรือนทำเสร็จแล้ว เรียกให้หลี่ว์ปาและคนอื่นๆ ไปกินได้
หลี่ว์ปาเหลียวไปมองคนกลุ่มนั้น สายตาก็ตกอยู่บนตัวชิ่งเอ๋อร์ ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมขึ้นมามากกว่าเดิม เห็นว่านางมาไม่กี่วัน ดูซูบผอมกว่าวันแรกเสียอีก ดวงตาก็ไม่กระปรี้กระเปร่า จึงกล่าว “สาวน้อยชิ่งเอ๋อร์หลายวันมานี้คงจะกินไม่อิ่มเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ วันนี้ไปกินกับพวกเราแล้วกัน” น้ำเสียงเวทนาอันหาได้ยาก
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดดูแล้ว ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจจะดีกว่า จึงกล่าว “ป้าคนอื่นๆ ก็ไม่ได้กินดีๆ ข้าจะกินดีกว่าพวกนางได้อย่างไร ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้ากินเถิด ข้าไม่หิว…”
หลี่ว์ปาหัวเราะเสียงใส “กินแค่หมั่นโถวกับข้าวต้มทุกวัน จะไม่หิวได้อย่างไร หากผอมลงไปอีก คงจะลอยไปแล้ว!”
คนรอบข้างสังเกตท่าที ก็เข้าใจเจตนาของหลี่ว์ปา จะลากแม่นางชิ่งเอ๋อร์ไปชานเรือนให้ได้
ในชานเรือนนั้นก็ทำข้าวรวมหม้อใหญ่เสร็จแล้ว เพื่อเป็นการประหยัดเสบียง ข้าวกลางวันธรรมดายิ่งนัก กินอิ่มก็พอ
ในหม้อที่วางบนกองฟืนนั้น คือหมี่ที่จงใจทำให้ข้น เติมเครื่องปรุงและพริกที่ชาวบ้านให้มาเป็นการเพิ่มรสชาติ และใส่เศษไข่ไก่และเนื้อบด ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับอาหารปกติ แต่ก็พอกินเป็นอาหารมื้อหนึ่งได้
คนกลุ่มหนึ่งถือถ้วยแกงยืนเข้าแถวกัน มีป้าคนหนึ่งตักให้คนละถ้วย แล้วก็นั่งจับกลุ่มตรงที่ว่างในเรือน กินกันอย่างมูมมาม
อวิ๋นหว่านชิ่นหิวมาหลายวันแล้ว ในท้องแทบจะไม่มีน้ำมันแล้ว กว่าจะได้กินหมี่ที่มีเนื้อและไข่บ้าง แต่คีบมากินสองสามคำก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกินไม่ลง คนตรงหน้านั้นถึงแม้จะเป็นกบฏ แต่ล้วนเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จะโทษก็ต้องโทษเว่ยอ๋องนั่น บีบบังคับชาวบ้านผู้ประสบภัยให้ทำผิดกฎหมาย
หลี่ว์ปาเป็นชายฉกรรจ์หยาบโลนคนหนึ่ง กินสองสามคำก็กินหมี่หมดชามแล้ว เห็นสาวน้อยนั่งอยู่ตรงทางเดิน ถือถ้วยเอาไว้ เสียบตะเกียบเอาไว้อยู่นานไม่กินสักที ก็เหม่อลอยไป