ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 159.3 ปลอมตัวและเปลี่ยนเสียงเข้าพระราชนิเวศน์ (3)
ผู้ตรวจการเหลียงลุกขึ้น แต่ก็ไม่แปลกใจ เดิมที่สวีเทียนก็พร่ำเพ้อจะช่วยลูกชายอยู่ทุกวัน วันนั้นที่เห็นพวกโจรโพกผ้าเหลืองเกือบฆ่าลูกชาย ยิ่งเสียขวัญและกังวลใจเช่นนี้ จะปิดบังท่านอ๋องก็ไม่แปลก เพียงแค่ต่อหน้าฉินอ๋องจำต้องถูกด่าเสียหน่อย เขาส่ายหัวเอ่ยว่า “ข้าหลวงสวี! บ้านเมืองจะต้องมาก่อน เห็นแกตัวเยี่ยงนี้ได้อย่างไร! ”
เขาหันไปประกาศกับลูกน้องว่า “ยังไม่ไปเอาตัวมันมาอีก! ”
ไม่นาน สวีเทียนขุยตัวสั่นเทิ้มเข้าห้องโถงใหญ่ เพิ่งจะให้คนส่งลูกชายและอนุทั้งหลายกลับเรือนและก็รู้ว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อ่านปิดบังได้ ปึง! เสียงทรุดตัวลงคุกเข่า ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ท่านฉินอ๋อง ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว แต่ว่าเห็นแก่ข้าน้อยที่มีลูกชายเพียงคนเดียว ยกโทษให้กระหม่อมที่ไม่ได้ทูลก่อน ยังไงเสียท่านอ๋องฉินก็มิได้เตรียมลงโทษพวกโจรนั่น เอาไว้ที่ค่ายบัญชาการ ก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่า ไม่สู้แลกคนของเรากลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
แต่กลับเห็นซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาว่า “วันนี้เจ้าขโมยตัวประกันของข้า พรุ่งนี้เจ้าไม่ขโมยราชโองการเลยหรือ วันหน้าหากพวกกองกำลังผ้าเหลืองจับลูกเจ้าได้อีก แม้แต่บุตรธิดาของข้าเจ้าก็คงยอมส่งไปใช่หรือไม่!”
สวีเทียนขุยหน้าซีด คำนับอยู่หลายที “ข้าน้อยมิกล้า”
ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่ใส่ใจตัวประกันพวกนั้น อยากจะปล่อยก็ปล่อยไป เพียงแค่ต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลายจะเอียงเอนไม่ลงโทษก็ไม่ได้ “นำตัวไปเฆี่ยนลงโทษทางทหาร!”
ทหารตรงหน้าไม่รอให้สวีเทียนขุยเอ่ยอะไรออกมา นายทหารหิ้วเขาไปในชานเรือนนอกห้องโถงใหญ่ ทับด้วยอิฐเย็นบนพื้น ง้างกระบอกตีดัง เพียะ! ลงบนก้นของสวีเทียนขุย
การเฆี่ยนทางทหารรุนแรงกว่าการเฆี่ยนตามกฎบ้านในพระราชวังไม่รู้กี่เท่า ยิ่งไปกว่านั้นฉินอ๋องก็ไม่ได้บอกจำนวนโบย ตามกฎทางการทหารแล้วจะต้องถูกลงโทษจนกว่าผู้สั่งลงโทษจะสั่งหยุด หากไม่สั่งให้หยุด ก็เฆี่ยนจนตาย
ผู้ตรวจการเหลียงได้ยินเสียงน่าเวทนาจากชานเรือนอยู่เรื่อยๆ อกสั่นขวัญหาย ฉินอ๋องตั้งใจไม่บอกจำนวนโบย ดีหรือร้ายสวีเทียนขุยก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน ทำงานที่ฉังชวนมาด้วยกัน ทั้งสองทำงานเพื่อคนสูงศักดิ์เหมือนกัน หลายปีมานี้ร่วมมือกันฉ้อราษฎร์ไม่น้อย เห็นเขาถูกเฆี่ยนอย่างน่าสงสารเฉกเช่นนี้ ยากที่จะโศกเศร้าไปด้วยไม่ได้ ค่อยๆ มองไปท่านอ๋อง สีหน้าเงียบสงบ สายตาเย็นชา ไม่มีแม้แต่ชำเลืองมองนอกประตู ราวกับไม่ได้ยินเสียงน่าเวทนาเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เพียงแค่คุยเรื่องฝึกกองทัพกับซือเหยาอัน
ผู้ตรวจการเหลียงในใจเยือกเย็น องค์ชายสามนี่ช่างร้ายกาจนัก!
ครั้งแรกที่มาเยี่ยนหยาง มองไม่ออกสักนิด เห็นแต่ว่าเขารูปงามยากเกินเปรียบ อีกทั้งสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็กมักจะพักงานอยู่ตลอด ผู้ตรวจการเหลียงและสวีเทียนขุยไม่ได้เก็บเขามาใส่ใจ แต่ทว่ายิ่งรู้จักผู้ตรวจการเหลียงก็ยิ่งได้กลิ่นความอำมหิตของเขาออกมา
สวีเทียนขุยจะทำผิดในครั้งนี้ แต่ก็ไม่สมควรโดนเฆี่ยนถึงตาย ท่านอ๋องลงโทษเกินไปแล้ว
ผู้ตรวจการเหลียงกลืนน้ำลาย อยากจะทูลเตือนฉินอ๋องให้บอกทหารว่าโบยกี่ครั้ง แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งสุมไฟให้หนัก ช่างเถอะยังไงก็เอาตัวเองรอดไว้ก่อน
ในขณะนั้นเองนอกห้องโถงมีบ่าวหลายคนวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรอน
เป็นลูกน้องของสวีเทียนขุย
แน่นอนว่าคนพวกนั้นมาหาเจ้านาย แต่ทว่ามองเห็นเจ้านายของตนกำลังโดนลงโทษ ใครกันจะกล้าเข้าไปใกล้ ถอยไปอีกฝั่ง ค่อยๆ ออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าควรแจ้งกับใคร
ซือเหยาอันรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตะโกนถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
หนึ่งผู้กล้า เห็นว่าสวีเทียนขุยยังโดนเฆี่ยนอยู่ รีบคาราวะท่านอ๋อง “ทูลท่านฉินอ๋อง สวีฮูหยิน ท่านชายน้อยและเหล่าอนุถูกไถ่กลับมาแล้ว ตะตะแต่ว่า…ผิดคน พ่ะย่ะค่ะ”
ซือเหยาอันเอ่ย “ผิดคนได้อย่าไร”
บ่าวกัดฟันกรอน “อนุสี่ที่ไถ่มา ไม่ใช่ตัวนางแต่เป็นหญิงสาวแปลกหน้าพ่ะย่ะค่ะ…”
ผู้ตรวจการเหลียงประหลาดใจ ชี้ไปทางลูกน้องของสวีเทียนขุย “ตอนที่พวกเจ้าแลกกัน ไม่ได้ตรวจดูคนหรือ”
บ่าวผู้นั้นสีหน้ากระวนกระวาย “ตอนที่แลกตัวเหล่าเจ้านายคลุมหัวทั้งหมด มีเวลาตรวจดูทีละคนซะที่ไหนกัน พวกกองกำลังผ้าเหลืองก็เร่งพวกข้าไม่หยุด หัวหน้าข้าเพียงเห็นว่าเป็นท่านชายน้อยก็วางใจแล้ว อีกอย่างเห็นว่าชุดของฮูเหยินและลักษณะก็ไม่มีปัญหา ก็เลยรีบเปลี่ยนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเหยาอันขหมวดคิ้ว “เป็นผู้ใดกัน ทำไมถึงปะปนกับตัวประกัน เป็นพวกกองกำลังผ้าเหลืองใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยไม่ทราบ…รู้ว่าไม่ใช่ท่านอนุสี่ก็เลยจับนางมัดเอาไว้” บ่าวผู้นั้นกล่าว
ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้ว “ไปนำตัวมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” บ่าวเหล่านั้นรีบออกไป
ถูกขัดจังหวะมาสักพัก ซย่าโหวซื่อถิงปรายตามองสวีเทียนขุยที่ถูกตีจนใกล้หมดลมหายใจ “ยังไม่หยุดอีก ช่างเถอะ หามกลับไปเสีย”
ทหารที่ลงโทษเก็บกระบอง พยุงก้นลายของข้าหลวงสวีออกนอกชานเรือน
เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา บ่าวของสวีเทียนขุยก็พาคนเข้ามา
ถุงผ้าดำที่คลุมอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ถูกดึงออก ข้อมือยังคงถูกมัดไว้ด้วยเชือกฟาง ถูกบ่าวคนนึงพลักไปข้างหน้า ขาที่เดินโซซัดโซเซหยุดเท้าลง หลังจากยืนนิ่งก็มองสำรวจรอบๆ
ในชานเรือนไม้สูงระฟ้า ข้างหน้าเป็นห้องโถงพระราชนิเวศน์ ประตูใหญ่กว้างขว้างสีแดง ในห้องโถงด้านล่างมีผู้ตรวจการเหลียงนั่งอยู่
ตรงกลางด้านบนภาพนั่งสงบเสงี่ยมที่คุ้นเคย ด้านข้างประกบด้วยซือเหยาอัน และยังมีบ่าวใช้สตรีไม่กี่คน หนึ่งในสาวใช้อายุน่าจะประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี กำลังโค้งตัวชงชาให้ฉินอ๋อง ช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน
เหมือนกับรูปเด็กสาวที่หลี่ว์ปาพกติดตัว
นางคือน้องสาวหลี่ว์ปา หลี่ว์ชีเอ๋อร์?
ดูจากเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านของนาง แถมยังเป็นบ่าวใช้ในห้องโถง เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้อยู่ที่ค่ายบัญชาการอย่างลำบาก
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันละสายตา ก็ได้ยินเสียงบ่าวของสวีเทียนขุยตะโกนออกมา “ยังไม่คุกเข่าเคารพท่านฉินอ๋องอีก! ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยกปากขึ้น แสร้งเป็นว่าทำตาม บ่นเล็กหน่อยและคุกเข่าลง
“นี่คือหญิงสาวแปลกหน้า ที่ถูกแลกมาแทนอนุสี่” บ่าวใช้ชี้อวิ๋นหว่านชิ่น หันไปรายงานกับฉินอ๋อง “เสื้อผ้าที่ใส่ก็คือชุดของท่านอนุสี่ของพวกเรา”
ซือเหยาอันสำรวจนาง รู้สึกคุ้นเคย หันมององค์ชายสาม สีหน้าของท่านก็อาจจะคิดเหมือนกัน ตะโกนสั่งว่า “เจ้าเข้ามา!”
อวิ๋นหว่านชิ่นบ่นอุบ ปัดแขนเสื้อ หันไปฮึ่มฮัมใส่บ่าวของสวีเทียนขุย เหยียบเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางก้มหัว หนังตากระตุก “เงยหน้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น
ใบหน้าปรากฏออกมา ทำให้ซือเหยาอันพูดขึ้นมา “คือ…เด็กที่จับข้าเป็นตัวประกันตอนที่แลกเสบียงวันนั้น!”
“เยี่ยม คนของพวกกองกำลังโพกผ้าเหลือหนีมาในค่ายบัญชาการช่างกล้าหาญเสียจริง” ผู้ตรวจการเหลียงยืนขึ้นชักดาบติดตัวออกมา จ่ออกของหญิงสาว
ฝักดาบแยกจากกัน แสงประกาย คมดาบจ่อมาที่อก หากใกล้กว่านี้อีกนิด คงจะไม่ใช่แค่ฆ่าคนที่เข้ามาค่ายบัญชาการ เท่านั้น
บุรุษสถานะสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ แววตาไม่สนใจ ประหนึ่งว่าเขาไม่มีคำพูดกับผู้ตรวจการเหลียง