ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 160.1 ปรนนิบัติรับใช้ (1)
“ข้าน้อยไม่ใช่ราษฎรป่าเถื่อน” ตอนที่หญิงสาวเห็นผู้ตรวจการเหลียงชักดาบออกมา เป็นชั่วโมงแห่งความเป็นความตาย แววตาแข็งกร้าวราวสัตว์ป่า ดุร้ายและดื้อรั้น หลังจากเสียงกล่าวดังออกมา คมดาบก็ห่างจากเสื้อเพียงหนึ่งนิ้วชี้
เสียงที่ถูกรมควันกลายเป็นเสียงเป็ดตัวผู้ ดูเหมือนว่าเสียงจะต่ำลงจนน่ากลัว
“ช้าก่อน” ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาเล็กน้อย
เสียงเงียบสงัด วนรอบห้องโถงใหญ่
ผู้ตรวจการเหลียงเก็บดาบ จ้องมองหญิงสาวคนนั้น และกลับไปนั่ง
“พูดมา” ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรู การตัดสินของซย่าโหวซื่อถิงหากตาย ก็ต้องตายอย่างมีเหตุผล แต่ทว่าเขาอยากจะเห็นว่านางจะแต่งเรื่องโกหกเช่นไร
อวิ๋นหว่านชิ่นกลัวจนหลังเสื้อเปียกไปหมด “ข้าน้อยมิใช่คนของกองกำลังผ้าเหลือง พวกท่านเป็นถึงขุนนางของราชวังและบุตรของฮ่องเต้ เหตุใดจึงจะประหารหญิงสาวผู้ไม่มีความผิดเช่นข้า”
ทุกคำพูดของหญิงสาว พูดด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยว
ซย่าโหวซื่อถิงยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่เย็นชา “ไม่ใช่คนของกองทัพผ้าเหลืองหรือ ตอนนั้นเป็นผู้ใดกันที่อยู่กองกำลังหลี่ว์ปา แล้วคือผู้ใดกันที่ช่วยคุ้มกองกำลังผ้าเหลืองถอยทัพ”
“ข้าน้อยเป็นคนเมืองอื่น ตำบลลี่สุ่ยข้างๆ หากไม่เชื่อ พวกท่านสามารถตรวจดูในทะเบียนราษฎ์เมืองนี้ได้ ครอบครัวของข้าน้อยประสบภัยพิบัติ เพื่อนข้าบอกว่าที่เยี่ยนหยางมีคนรับประกันว่ามีข้าวกิน ข้าน้อยจึงตามผู้นั้นมา ข้าน้อยไม่ทราบว่าหลี่ว์ปาเป็นราษฎรป่าเถื่อน หลังจากที่ทราบก็ทำอันใดมิได้แล้ว ประตูเมืองก็ปิดอย่างหนาแน่น ข้าน้อยออกไปไม่ได้ อยู่ในเมืองไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือหลี่ว์ปาทำได้แค่แสร้งว่าเป็นพวกเดียวไปก่อน เพื่อได้รับความเชื่อใจจากเขา”
รอยยิ้มของบุรุษที่นั่งอยู่ค่อยๆ จางลง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ ท่าทีเยี่ยงนี้แสดงว่าเขากำลังจริงจัง นางยืดอกพูดอย่างมีเหตุผล “การที่คุ้มกันกองกำลังผ้าเหลืองให้ออกไป พวกท่านจะโทษข้าน้อยก็ไม่ได้ ข้าน้อยเป็นเพียงแค่หญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง ในสภาพบ้านเมืองวุ่นวายเช่นนี้ ข้าน้อยต้องทำเพื่อปกป้องตัวเองเพียงเท่านั้น”
พูดเสียงประชดประชัน “เอาล่ะ แม่หญิงสาวผู้อ่อนแอ พูดอยู่คำเดียวว่าตนเองนั้นเป็นหญิงสาวอ่อนแอ แต่ทุกเรื่องที่ทำล้วนเป็นเรื่องที่สตรีไม่ควรทำทั้งนั้น แล้ววันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเล่า”
“ข้าน้อยได้รับความเชื่อใจแล้ว พวกนั้นวางใจข้าน้อยอย่างมาก ทราบว่าหลี่ว์ปาจะแลกตัวประกันกับพวกท่าน ข้าน้อยจึงหาโอกาสโยกย้ายฝั่ง” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขา คล้ายเด็กสาวบ้านนอกผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ “ยามเช้าข้าน้อยคิดหาลู่ทางหลบหลีกคน เปลี่ยนชุดกับท่านอนุสี่แห่งสกุลสวีก็ถูกพวกเขาส่งตัวมา… ข้าน้อยคิดหนีออกจากกองกำลังวุ่นวายนั้นตลอด หากว่าข้าน้อยเป็นคนของกองกำลังผ้าเหลืองจริง ทำไมถึงส่งตัวเองมาที่นี่เล่า”
ผู้ตรวจการเหลียงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “จริงหรือ”
ไม่สนใจว่าจริงหรือไม่จริง ซย่าโหวซื่อถิงสะบันแขนเสื้อสีทอง “ปิดตาและนำตัวออกไปจากค่ายบัญชาการ”
อวิ๋นหว่านชิ่นร้อนใจ กอดเสาแดงในห้องโถงแน่น “ไม่! พวกท่านจะนำตัวข้าน้อยออกไปไม่ได้”
ซือเหยาอันเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนอันหยาบคาบเช่นนี้ของนาง เชื่อแล้วว่านางเป็นเพียงสาวบ้านนอก “ฆ่าก็ไม่ให้ฆ่า ให้ออกก็ไม่ออก ทำไมกันเล่า เจ้าอยากสมัครเป็นทหารหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นปล่อยแขนลง หันมองซือเหยาอัน พึมพำออกมา “พวกท่านคิดว่าข้าน้อยอยากอยู่หรือ ตอนนี้ออกไปจากเยี่ยนหยางก็ไม่ได้ ครั้งนี้ไม่ง่ายเลยสักนิดที่ข้าน้อยหนีออกมาจากกองราษฎรป่าเถื่อนได้ พวกท่านยังจะส่งข้าน้อยออกไป หลี่ว์ปาต้องหาข้าน้อยเจอเป็นแน่! ถึงตอนนั้นเขาคงจะปล่อยข้าอีกหรอกหรือ”
แววตาของซย่าโหวถิงเย็นราวกับเหล็ก ไม่อดทนแล้ว “ที่นี่ไม่ใช่ที่หลบภัย นำตัวออกไป”
ทหารหลายคนเข้ามาฉุดอวิ๋นหว่านชิ่น พักเดียวก็ดึงนางออกมากจากเสาได้ อย่าได้มองว่านางเป็นเพียงหญิงสาวอายุน้อย แต่ทว่านางกลับกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างฉุดดึงนางก็ตะโกนออกมา “แม้ญาติของราษฎรป่าเถื่อนพวกท่านยังให้อยู่ได้ เหตุใดถึงไม่ให้คนสุจริตที่ไม่ยอมคลุกคลีกับราษฎรป่าเถื่อนอยู่ที่นี่”
“นั่นคือตัวประกัน” ซย่าโหวถิงจ้องมองนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอึ้งไปสักพัก บุ้ยปากยืนกราน “ท่านก็ให้ข้าน้อยเป็นตัวประกันสิ ข้าน้อยยอม!”
เด็กคนนี้ เหมือนโคลนจริงๆ ติดแน่นไม่ยอมหลุด ซือเหยาอันเห็นองค์ชายสามขมวดคิ้ว เห็นเขาไปโยนหญิงสาวออกไปด้วยตัวเอง แต่ยังได้ยินเสียงนางตะโกน ไม่รู้จักละอาย “ตอนนี้พวกท่านไล่ข้าออกไป ก็เท่ากับทิ้งของมีค่าสูงที่ส่งถึงประตู…”
แววตาสงสัยของบุรุษที่นั่งอยู่ “หมายความว่าอย่างไร”
หญิงสาวสองมือเท่าสะเอวท่าทางโอหังราวไม่รู้ฟ้ารู้ดิน “ข้าน้อยอยู่ในกองกำลังผ้าเหลืองมาหลายวัน พวกท่านคิดว่าอยู่เสียเปล่าหรือ มีหลายเหตุการณ์ที่คุ้นดี พวกท่านเป็นคู่ต่อสู้กับกองกำลังผ้าเหลือง ไม่แน่ข้าน้อยอาจจะช่วยเป็นกำลังเสริมให้พวกท่านได้”
ห้องโถงใหญ่เงียบสงบ
ชั่วครู่ ผู้คนได้ยินเพียงเสียงขนตาของฉินอ๋องกะพริบ เหมือนกำลังคิดบางสิ่งอยู่ “ให้ไปอยู่ที่ห้องหุงต้ม” สั่งเสร็จก็ลุกขึ้น ยกมือขึ้นคลายคอเสื้อคลุม สายคาดเอวหยก ราวกับต้องการเข้าห้อง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นท่าทางของฉินอ๋อง ไม่รอช้ารีบช่วยเจ้านายถอดเสื้อคลุมและพาดไว้บนแขน
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็อยู่ได้สำเร็จ อีกฝั่งกำลังเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์กำลังถอดเสื้อคลุม นางเชิดหน้าขึ้น หน้าด้านเสียจริง ไม่รู้สึกเกรงใจเลยสักนิด “ข้าน้อยไม่ไปห้องหุงต้มหรอก ควันเยอะ ข้าน้อยอยากทำงานอยู่ในที่สวยๆ สะอาดๆ อย่างพระราชนิเวศน์”
นับว่าวันนี้ซย่าโหวซื่อถิงมองโลกกว้างขึ้น ไม่เคยเห็นหญิงสาวที่กล้าขนาดนี้จริงๆ คิ้วหนาเรียงดุจภูเขา เลิกคิ้วขึ้น ทั้งโกรธทั้งตลก “เจ้ามีสิทธิ์อะไร”
อวิ๋นชิ่นกะพริบตา ชี้ไปทางหลี่ว์ชีเอ๋อร์ “ข้าน้อยเคยเห็นภาพของนางในกองกำลังผ้าเหลือง นางคือน้องสาวแท้ๆ ของหลี่ว์ปา นางยังได้ทำงานในพระราชนิเวศน์ ทำไมข้าน้อยจึงทำไมได้”
ทำไมซย่าโหวซื่อถิงถึงคุยกับนางมากนัก เขาเม้มปากเบาๆ “นางซื่อสัตย์ซื่อตรง เจ้าเป็นแมวป่า ข้าไม่วางใจให้เจ้าทำงานในนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอียงคอมอง “แม้แต่แมวป่าท่านอ๋องก็กลัวหรือเพคะ หรือว่าท่านไม่ใช่คนของฮ่องเต้” อวิ๋นหว่านชิ่นทำหน้าล้อเลียน
“กล้าวดีอย่างไรมาพูดกับฉินอ๋องเช่นนี้” ผู้ตรวจการเหลียงตะคอกเสียงดัง
เอียงคอพูดเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวถิงรู้สึกใจสั่น ครั้งแรกที่เจอนางรู้สึกเพียงว่านางคล้ายมาก วันนี้ได้เห็นใกล้ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าท่าทางของนางในบางครั้งก็นับว่าคล้ายอยู่มาก
ผมแห้งบนหน้าผากกว้างของหญิงสาว ร่องแก้มตอบ โหนกแก้มนูน ดวงตาเล็ก ขนคิ้วบาง ทำหน้าล้อเลียน ตลกจนดูไม่ได้ ดวงตาไข่มุกกลับยังสดใสมีชีวิตชีวา แววตาบางครั้งก็ดื้อรั้นบางครั้งก็ดุร้าย ครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นเล่ห์เหลี่ยมอยู่มาก
ไม่ว่าอย่างไร ก็เหมือนนาง
หรือจริงๆ ไม่ได้เจอนางนานแล้ว จนสมองใกล้รวน มองใครก็เห็นเป็นเงาของนาง
หากว่าเป็นคนอื่นก็แล้วไป แต่เป็นเจ้าคนหยาบคายไม่มีมารยาท และยังคบค้าสมาคมกับกองกำลังจลาจลเช่นนี้จะเหมือนใบหยกของเขาได้อย่างไร!
ปัดแขนเสื้อ แล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างสับสนมึนงง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเขาอนุญาตแล้ว ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงดัง “ขอบพระทัย องค์ชายสาม”
เสียงแตกลำพองของหญิงสาวดังจากนอกห้องโถงจนถึงข้างใน