ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 160.2 ปรนนิบัติรับใช้ (2)
ซือเหยาอันเดินไปหันหน้ามามองไปอย่างทนไม่ได้ “เจ้าเด็กบ้านนอกคนนี้ ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมากจากไหน หากเป็นลูกสาวกระหม่อม รูปร่างแบบนี้ เสียงแบบนี้คงจะคลุมโปงอยู่บ้านไม่กล้าออกไปไหน” ซือเหยาอันมองชายหนุ่มข้างๆ อีกครั้งเอ่ยถามว่า “องค์ชายสามเชื่อเด็กคนนั้นจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงให้เก็บนางไว้กับพวกเราที่นี่”
ซย่าโหวซื่อถิงเดินมุ่งหน้าเดินตามทางเดิน “เจ้าไม่ใช่ชมนางถึงสวรรค์แล้วหรือ”
เขาไม่เชื่อเด็กคนนั้น แต่เขาเชื่อสายตาตัวเอง ในเมื่อนางสามารถอดทน สามารถทำงานเพื่อเยี่ยนหยางได้ก็ควรจะอยู่
ซือเหยาอันชะงัก ตนชมเด็กนั่นตอนไหนกัน เขามองชายหนุ่มผู้สูงสง่า ตบหัวตัวเอง ถือว่าเข้าใจแล้วก็แล้วกัน ในเมื่อคนที่ไม่มีสง่าราศียังมีความมั่นใจขนาดนี้ อย่างน้อยในตัวก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง
วันนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นได้อยู่ในพระราชนิเวศน์แล้ว
ในพระราชนิเวศน์ ป้าแซ่อู๋ผู้ดูแลเรื่องภายใน ทำการค้นตัวนาง แล้วพานางมาในห้องเล็กข้างห้องโถงใหญ่ ปะปนอยู่กับผู้คนไม่กี่คน
คนที่อยู่ห้องเดียวกัน รวมหลี่ว์ชีเอ๋อร์ด้วย
เข้ามาในห้อง บ่าวใช้ในห้องพากันลุกขึ้นทำความเคารพขุนนางและป้าอู๋
ป้าอู๋ถ่ายทอดกฎระเบียบเกี่ยวการรับใช้ในค่ายบัญชาการกับอวิ๋นหว่านชิ่น เพราะรู้ว่าอวิ๋นหว่างชิ่นมาจากกองกำลังผ้าเหลืองด้วยสถานะพิเศษ ป้าอู๋ทั้งยังพูดเน้นย้ำ “พระราชนิเวศน์คือสถานที่ที่องค์ชายประทับขณะเสด็จประพาส เป็นที่ว่าการชั่วคราว ทรงงานส่วนหน้า พักผ่อนส่วนกลาง ข้างหลังฝึกกองทัพ ไม่เหมือนกับค่ายบัญชาการของขุนนางทั่วไป กฎระเบียบเคร่งครัดกว่ามาก พวกเราเป็นบ่าวรับใช้ด้านในห้ามให้มีข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด มองดูแล้วเจ้าคงไม่เคยทำงานในบ้านเจ้าขุนมูลนาย ดังนั้น จำต้องกำชับให้มาก อยู่ต่อหน้าท่านอ๋องและเจ้านายจำต้องแทนตนเองว่าบ่าว ข้าทราบว่าแค่เจ้ามาวันนี้ก็มาเอะอะโวยวายหยาบคายในห้องโถงใหญ่ แต่ว่าท่านอ๋องเห็นว่ายังใหม่จึงไม่สั่งลงโทษเจ้า หลังจากนี้หากยังเป็นแบบนี้อยู่ หัวของเจ้าก็อยู่ยากแล้ว ปกติหากไม่มีคำสั่งของเจ้านาย ไม่มีงานราชการ ไม่สามารถเดินตามอำเภอใจในพระราชนิเวศน์ได้ หากเดินพบกับขุนนางหรือท่านฉินอ๋องต้องถอยหลังทำความเคารพ หากพบคนพกดาบ รวมถึงนายพลที่มุ่งหน้าไปในพระราชนิเวศน์ ก็ต้องหลีกทาง กล่าวทักทาย เชิญเดินก่อนกับฝ่ายตรงข้าม เข้าใจหรือไม่ หากฝ่าฝืนกฎ จะไม่ใช่เพียงแค่เฆี่ยนด้วยไม้เรียวเท่านั้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเล็กน้อยถอนสายบัวอย่างงุ่มง่าม ส่งเสียงราวเป็ด “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ป้าอู๋เห็นท่าทางนางถือว่าพอใช้ได้ พยักหน้า “ดี อย่างนั้นก็รอฟังคำสั่งอยู่ที่นี่” พูดไปสายตาก็กระโดดไปมองศีรษะของอวิ๋นหว่านชิ่น และหยุดมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์พอดี พิจารณาไม่นานนักจึงกำชับว่า “เจ้าชินแล้ว อย่างไรก็ฝากดูเด็กคนนี้ด้วย อย่าให้นางทำเรื่องผิดพลาดอีก”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตอบอย่างเชื่อฟัง “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
เพียงขุนนางและป้าอู๋เดินไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็ปีนขึ้นเตียงสูง กำลังจัดการกับที่นอน เห็นว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์แอบสังเกตตนอยู่ข้างๆ คาดว่าเชื่อฟังคำของป้าอู๋ควบคุมตนตลอดเวลา
เหมือนกับที่ฉินอ๋องพูดไว้ว่านางเป็นคนซื่อตรง แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้นางถึงปกป้องตัวเองไม่ให้ได้รับความทุกข์ทรมานได้
คิดไปคิดมาอวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกถึงคำที่หลี่ว์ปากำชับกับตนไว้ หันมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าคือน้องสาวของหลี่ว์ปาใช่ไหม”
รูปเลือนรางเกินไป เมื่อครู่ก็มองไม่ชัด ตอนนี้ได้มองชัดๆ หลี่ว์ชีเอ๋อร์สวมเสื้อฝ้ายลายดอกไม้สีเขียวอ่อน ไว้ผมเปียสองข้างที่แสดงให้เห็นว่ายังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาของหญิงสาว แม้จะเรียกไม่ได้ว่างดงามนัก แต่หากได้มองนานๆ ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ทั้งตัวคือหญิงสาวหน้าตางดงามจากอำเภอเล็กๆ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น นัยน์ตาตกตะลึง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ยินว่านางคุยกับตน จึงถอยหลังไปหลายก้าวราวกับร่างกายของนางมีประกายไฟจะแผดเผาตนได้ทุกเมื่อ ตะโกนกล่าว “เจ้าเคยอยู่ที่กองกำลังผ้าเหลืองจริงๆ หรือ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ นิสัยแตกต่างกับพี่ชายนางมาก ไม่เหมือนที่อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไว้ว่าพี่เป็นเช่นไรน้องก็ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยืนยันได้ว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์เป็นน้องที่หลี่ว์ปารักมากๆ และถูกดูแลเป็นอย่างดี
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าส่งสัญญาณ “อืม พี่ชายเจ้าพกรูปเจ้าติดตัวตลอด น่าจะคิดถึงเจ้ามาก แค่เห็นเจ้าอยู่ในค่ายบัญชาการดีเช่นนี้ หลี่ว์ปาก็คงจะสบายใจแล้วล่ะ รอให้เรื่องนี้จบเสียก่อน พวกเจ้าอาจจะได้เจอกันแล้ว…”
เอ่ยยังไม่ทันจบ หลี่ว์ชีเอ๋อร์โก่งคิ้วขมวด นัยน์ตาเหม่อลอยก็เปลี่ยนเป็นระอา เอ่ยแทรกอวิ๋นหว่านชิ่น “ใครอยากจะเจอเขา เขาคือราษฎรป่าเถื่อน เป็นศัตรูกับราชสำนัก ข้าอยากเป็นสุจริตชน รอเสร็จสิ้นเรื่องนี้เสียก่อนเขาคงจะหนีโทษไม่พ้น ข้าเคยเอ่ยตัดสัมพันธ์พี่น้องกับพวกขุนนางของค่ายบัญชาการแล้ว ตัวเจ้าก็ตั้งใจหนีออกมา ทำไมถึงลากข้าลงน้ำเล่า ต่อไปนี้อย่าได้เอ่ยว่าเขาเป็นพี่ข้าอีก อย่าทำให้ข้าต้องเหนื่อยอีกเลย”
หากเป็นเพียงแผนเพื่อปกป้องตัวเองชั่วคราวก็ช่าง แต่ว่าหญิงสาวแสดงชัดเจนว่าพูดออกมาจากใจจริง นางไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดๆ กับหลี่ว์ปาอีกต่อไป
เสียก็แต่ว่าหลี่ว์ปายังเป็นห่วงนางขนาดนั้น
แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่นางเลือกเอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็พูดลำบาก หันหลังกลับไปเก็บของต่อ
เก็บของเสร็จ แสงในยามราตรีก็ลดลง กลุ่มดาวส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า ท้องฟ้าทางเหนือของค่ายบัญชาการเงียบสงัด
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บ่าวในห้องไปช่วยงานในห้องครัว เหลือเพียงหลี่ว์ปาและอวิ๋นหว่านชิ่น
บ่าวยังไม่ทันออกไปหมด ก็มีคนเข้ามาตะโกนหน้าปะตู “ตามมาสองคนไปห้องหม้อน้ำร้อน ต้มน้ำ แล้วแบกไปที่ห้องนอน อีกสักพักองค์ชายสามจะอาบน้ำ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้ามอง เห็นเพียงแต่หลี่ว์ชีเอ๋อร์เชิดคองาม เผลอถามอย่างสงสัยว่า “แสงวันนี้ยังเช้าอยู่เลย”
บ่าวรับใช้ตะโกน “เยิ่นเย้ออะไร ให้พวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไป ทำตามเจ้านายบอกก็พอ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์รีบตอบ “บ่าวกำลังไปเจ้าค่ะ” พูดจบก็พาอวิ๋นหว่านชิ่นไปห้องครัวด้วย
ต้มน้ำจากห้องครัวเสร็จเทใส่ในถัง อีกทั้งยังตักน้ำเย็นไปผสมน้ำร้อนอีกถังหนึ่ง
ถึงหน้าประตู แสงเทียนในม่านเลือนราง ธูปในผอบส่งกลิ่นผ่อนคลายลอยออกมา
ทั้งสองเทน้ำร้อนลงไป หลี่ว์ชีเอ๋อร์อยู่หน้าผ้าม่าน หันไปข้างในแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง บ่าวมาเติมน้ำร้อนเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ดูคุ้นเคยราวกับมาแล้วหลายครั้ง ค่อยๆ ดึงผ่าม่านขึ้นครึ่งหนึ่ง ข้างในมีรูปฝูงม้าวิ่งห้อติดอยู่ บนฉากมีเสื้อคลุมหนึ่งตัวแขวนอยู่ ข้างหลังวางถังไม้สูงประมาณครึ่งคน ข้างๆ มีเงาคนเคลื่อนไหว
หลี่ว์ชีเอ๋อร์นึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นนางแอบบมองจากช่องเล็กๆ รีบดึงนางออกมา “เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก”
พูดยังไม่ทันจบ ครั้นก็เห็นหญิงสาวหน้าตาขี้เหร่กำลังถกแขนขึ้น ท่าทางอันธพาลมากเหมือนกับพูดอย่างแน่วแน่ว่า “งั้นข้าเข้าไปแล้วกัน”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์นิ่งอึ้ง ยังไม่ทันตอบก็เห็นนางยกถังน้ำร้อนเปิดผ้าม่านเข้าไป รีบหยุดนาง “ข้ารับใช้จนชินแล้ว เจ้ายังไม่ชิน หากท่านอ๋องทรงกริ้วขึ้นมา…”
ขณะนั้น เสียงบุรุษในม่านก็เอ่ยออกมาก คล้ายไม่สบอารมณ์ “มัวทำอะไรอยู่ยังไม่รีบยกถังน้ำเข้ามาอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นตะโกนขึ้น รีบเดินเข้าไป “เพคะ ท่านอ๋อง!” อีกทั้งยังหันมาบอก “ชีเอ๋อร์ เจ้าค่อยส่งน้ำเย็นอยู่ข้างนอกเถอะ”