ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 164.2 การปฏิวัติเมือง กับ ทำลายให้แตกพ่าย (2)
เด็กสาวหน้าแดงหูร้อน อ่อนเปลี้ยเสียงแหบแห้ง
คนเรามักจะไต่เต้าขึ้นไปสู่ที่สูง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้รู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวของหลี่ว์ชีเอ๋อร์เป็นความผิดร้ายแรงเท่าไร และเคยคิดในมุมของนางด้วยว่า หากเป็นตนเอง ญาติเพียงคนเดียวทำเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง ตนจะเดินไปตามทางตันกับญาติคนนั้นหรือไม่ คำตอบคือ บางทีนางอาจจะทำเหมือนหลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ได้
แต่ว่า อย่างน้อยนางจะไม่ยอมเห็นญาติคนนั้นไปรนหาที่ตาย หรือถึงกับส่งญาติคนนั้นไปตายด้วยมือตนเอง
เสียงของนางยังคงนิ่งสงบ “ถึงแม้เจ้าจะไม่อยากกลับไปหาพี่ชายของเจ้า แต่บ้านหลังนั้น เจ้าไปสักครั้งเถิด พรุ่งนี้สงครามปราบปราม ทางการจะต้องเปิดศึกเลือดที่ทางตะวันออกของเมืองแน่แล้ว พี่ชายเจ้าเป็นแกนนำของกลุ่มผ้าเหลือง เกรงว่าจะไม่พ้นโทษตายเป็นแน่ พี่ชายเจ้าถูกคนยุยงปลุกปั่น ทำเพื่อชาวบ้านผู้ประสบภัย โทษไม่ถึงตาย หากเจ้ายังมีหัวใจ ถึงแม้จะไม่ไปกับเขา ก็ไปพบเขาที่บ้านหลังนั้นเสียหน่อย บอกกับเขา ให้เขารีบหนีไป เขาสู้ราชสำนักไม่ได้หรอก ให้เขาหาที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตที่เหลือต่อไป ข้าพูดจบแล้ว ให้ความเมตตาจนถึงที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าแล้ว”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นนางไปถอดสลักประตู ก็เอ่ยขึ้นทันใด “เจ้าเป็นคนช่วยท่านอ๋องล่อกลุ่มผ้าเหลืองไปที่นั่นใช่หรือไม่ แผนที่เจ้าวางไว้เดิมทีสามารถสร้างผลงานได้ แต่ว่าหากพี่ชายข้าหนีไป ผลงานของเจ้าก็จะน้อยลงมาก เจ้าจะให้ข้าไปบอกเขาจริงหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลียวหลังมา “ข้าช่วยทางการ ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อสร้างผลงาน แต่เจ้าช่วยพี่ชายเจ้า เป็นมนุษยธรรม” ชะงักไปสักครู่ เสียงเบาลงเล็กน้อย “ผลงาน อนาคต มันสำคัญเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าก็เป็นคนธรรมดาที่ชอบความร่ำรวย ไม่ชอบความลำบาก แต่เมื่อเทียบกับความร่ำรวยแล้ว ข้าเลือกที่จะอยู่กับคนที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุดมากกว่า”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เงียบไปสักพักใหญ่ ผ่านไปอยู่นาน ลูกตากลอกไปมาเล็กน้อย มีแสงประกายที่อธิบายไม่ถูก กำปลายกระโปรงไว้ ปากเผยอออก น้ำเสียงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วก็รู้สึกเชื่อฟังมากขึ้น “ได้…พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านหลังนั้น”
วันรุ่งขึ้นดวงอาทิตย์ลอยสูงโด่ สาดส่องเมืองเยี่ยนหยางจนเป็นประกายวาววับ อากาศก็แห้งอย่างผิดปกติ เหมือนว่าจะติดไฟได้อย่างนั้น ไม่เหมือนกับฤดูหนาวเลยสักนิด
หลังจากที่ฉินอ๋องนำขบวนทัพออกจากพระราชนิเวศน์แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็เริ่มกระวนกระวายใจ
ทำงานในมือจนเสร็จแล้ว นางก็หาข้ออ้าง บอกกับป้าอู๋เอาไว้ แล้วไปแถวที่ยืนเวรข้างประตูใหญ่ของพระราชนิเวศน์ หางานเบาๆ ทำไปพลาง ฟังความเคลื่อนไหวที่ส่งมาจากทางตะวันออกของเมืองไปพลาง
หากทางนั้นเกิดเรื่องขึ้น จะต้องมีทหารส่งสาส์นขี่ม้าเร็วมารายงาน
ป้าอู๋รู้ว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเด็กสาวคนนี้ จึงไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงตามใจนางไป
ทหารเวรของจุดเวรยามหน้าประตูเป็นเด็กหนุ่มคนซื่ออายุราวสิบหกสิบเจ็ด เพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพได้ไม่นาน เป็นคนพื้นที่เมืองเยี่ยนหยาง นิสัยร่าเริง มักจะไปมาหาสู่กับเหล่าสาวใช้และป้าอู๋ในพระราชนิเวศน์อยู่เสมอ เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นทำงานอยู่ข้างๆ ก็ทำเหมือนปกติ อาบน้ำให้ม้าไปพูดคุยสัพเพเหระไป
สำหรับอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ช่วงเช้านั้น ทั้งตัวเหมือนดั่งถูกพันด้วยประทัด ค่อยๆ ผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน เมื่อถึงตอนสายแล้วก็ระเบิดออกมาในที่สุด
เสียงกีบม้าลอยมาทางด้านนี้อย่างรีบร้อน ทหารส่งสาส์นสองนายมือกุมบังเหียน ขี่ตามกันมา ร้องเร่งม้า และมุ่งมายังประตูใหญ่ของพระราชนิเวศน์
ทหารสองข้างเห็นมาแต่ไกล เปิดประตูใหญ่รอรับ ให้ทหารส่งสาส์นเข้ามา
ทหารที่พูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่นั้นก็ไปเปิดประตูด้วยเช่นกัน เมื่อเขากลับมาด้วยสีหน้าแดงก่ำจากอาการดีใจ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เดินเข้าไปถาม จึงได้รู้ว่าการจลาจลที่ตะวันออกของเมืองนั้นเริ่มขึ้นแล้ว
ทหารเวรยามไม่ได้สนใจการขัดตัวม้าดำตัวนั้นอีก ทิ้งแปรงไม้ขนหมูลง กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “กลุ่มผ้าเหลืองเหิมเกริมนัก ไม่รู้ไปได้ข้อมูลมาจากไหน ซุ่มตัวอยู่แถวหมู่บ้านตระกูลเว่ย คิดอยากจะแย่งเสบียง นี่ยังไม่เท่าไร เจ้ารู้หรือไม่ โจรป่าก็มาช่วยด้วย! ถุย ที่แท้กลุ่มผ้าเหลืองก็สมรู้ร่วมคิดกับโจรป่าเขาหม่าโถวแต่แรก! ครั้งนี้เมื่อรู้ว่าท่านอ๋องนำทัพด้วยตนเอง จึงล่อซานอิง มหาโจรเขตฉังชวน ฉายาอินทรีภูเขามาได้ด้วย!”
ทหารเล่าได้ถึงพริกถึงขิงยิ่งนัก น้ำลายกระจาย ไม่เป็นทหารก็ไปเป็นนักเล่าเรื่องได้แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเดิมทีอารมณ์ตึงเครียดก็ฟังเขาจนผ่อนคลายลงบ้าง พูดขัดจังหวะขึ้น “เจ้ารีบเข้าประเด็น ทหารทางการเล่า ท่านอ๋องเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”
พลทหารน้อยต่อยหมัดในฝ่ามือตนเอง มีความเคารพเชิดชูอย่างอธิบายไม่ได้ สีหน้าแดงก่ำ “ท่านอ๋องของเราเก่งกาจยิ่งนัก ที่แท้ก็ได้ข่าวมาก่อนแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า! เจ้าทายสิว่าเป็นอย่างไร ด้านนอกของตรงที่กลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองซุ่มตัวอยู่นั้น ท่านอ๋องได้วางกำลังทหารกว่าพันนายรอไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งนี้ภายนอกเหมือนนำคนของทางการเมืองเยี่ยนหยางสามร้อยนายไป รอให้กลุ่มผ้าเหลืองและโจรป่าออกมา กำลังทหารของท่านอ๋องที่ซุ่มอยู่ก็กระโจนเข้าใส่ จับเต่าในไหไล่ตามเหยื่อมาง่ายๆ กลุ่มผ้าเหลืองและโจรป่าตกใจเหมือนฝูงนก…ทหารส่งสาส์นบอกว่า กลุ่มผ้าเหลืองและโจรป่าส่วนใหญ่ถูกจับหมดแล้ว ท่านอ๋องรีบฉวยโอกาสที่โจรกว่าครึ่งเขาหม่าโถวนั้นออกไปแล้ว ทำลายให้ราบคราบ จับตัวโจรป่านำทางขึ้นเขาไป ทำลายล้างรังของซานอิง ตอนนี้น่าจะกำลังทลายรังกันอย่างสนุกสนาน!”
“แกนนำของกลุ่มผ้าเหลืองกับซานอิงถูกจับหรือยัง” ภารกิจสำเร็จแล้ว เดิมทีควรจะดีใจ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นยังใจเต้นแรงไม่หยุด
พลทหารคนนั้นกล่าว “ซานอิงนำคนกลุ่มหนึ่งหนีไปแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ก่อนที่ท่านอ๋องจะขึ้นเขาได้รับสั่งให้ปิดเมืองทุกด้าน ทหารล้อมอยู่ทุกที่ แมลงวันตัวหนึ่งก็บินหนีออกไปไม่ได้ แล้วยังส่งทหารไปตามจับซานอิงอีก แต่แกนนำกลุ่มผ้าเหลืองหลี่ว์ปาถูกจับไปแล้ว โชคร้ายเสียจริง เดิมทีจะหนีได้แล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รีบหนีไป แต่กลับไปบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านตระกูลเว่ย…”
“แล้วอย่างไรต่อ” อวิ๋นหว่านชิ่นสายตาร้อนรน
“ได้ยินว่าน้องสาวของเขา แม่นางหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ได้รับการนิรโทษกรรมจากเรา ไปบอกท่านอ๋องไว้แต่แรกแล้ว พาทหารทางการรออยู่ในนั้น แล้วก็จับกุมตัวพี่ชายของนางได้พอดี!” ทหารคนนั้นยิ่งเล่ายิ่งสนุก เรื่องเช้านี้ เกิดเรื่องอันตรายกะทันหัน แต่ก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้ จู่ๆ ก็จัดการเรื่องยุ่งยากเรื่องใหญ่ในเมืองเยี่ยนหยางไปได้ อีกยังสาวถึงตัวมหาโจรที่อยู่เบื้องหลังได้อีก ถึงว่าท่านอ๋องไม่ยอมส่งกองกำลังทหารออกไปรบเสียที ที่แท้ก็เพื่อที่จะล้างบางให้สิ้นซากนี่เอง เรื่องราวตื่นเต้นน่าสนใจกว่าละครในโรงน้ำชาเสียอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นปลายนิ้วเย็นเฉียบขึ้นมาทันใด ในใจก็รู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาเช่นกัน หลี่ว์ชีเอ๋อร์ หลี่ว์ชีเอ๋อร์…ตนประเมินนางต่ำไปจริงๆ
เมื่อคืนนางยังตบปากรับคำ ที่แท้ก็ตัดสินใจแต่แรกแล้ว ไม่คิดว่าจะส่งพี่ชายไปบนทางที่ไม่อาจหวนกลับได้ เพียงเพื่อสร้างผลงานนี้
“ตอนนี้หลี่ว์ปาเป็นอย่างไรบ้าง” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พอใจแทนหลี่ว์ปา แต่ก็เก็บอาการน้ำเสียงไว้
ทหารคนนั้นกล่าว “แม่นางหลี่ว์ชีเอ๋อร์พาทหารทางการมาจับหลี่ว์ปาแล้วมอบให้ผู้ตรวจราชการเหลียงที่อยู่ที่นั่น ได้ยินว่ากำลังกุมตัวไปตลาดในเมือง ตัดหัวต่อหน้าชาวบ้านทุกคน เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”
เร็วเพียงนี้เชียวหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นสับสนไปหมด รู้สึกเหมือนว่ามีตรงไหนผิดปกติ พยายามให้จิตใจสงบลงแล้วคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด
ถึงแม้จะทำคดีที่ร้ายแรงเพียงใด อย่างน้อยก็ต้องผ่านการสอบสวนก่อน พิพากษาคดีแล้วค่อยทำการลงโทษ โดยเฉพาะความผิดที่หลี่ว์ปาก่อนั้น ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดคือซานอิง เช่นนั้นก็ยิ่งต้องมีคำให้การ ต้องสอบสวนคดีให้กระจ่างแจ้ง
ผู้ตรวจราชการเหลียงเมื่อจับคนได้ ก็รีบลากไปตัดหัวกลางตลาด…รีบร้อนเพียงนี้เชียวหรือ
อย่างน้อยก็ควรจะไปพบและรายงานกับองค์ชายสามก่อนมิใช่หรือ