ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 175.1 ส่งความอบอุ่นในคืนอันเหน็บหนาว (1)
พอถึงเวลานี้จางเต๋อไห่ก็ยังไม่เชื่อว่าทั้งหมดเป็นแผนของพระสนม นี่ใช่พระสนมเอกที่ตนปรนนิบัติดูแลอยู่จริงๆ หรือ นานกว่าจะรู้สึกตัวรีบเดินตามพระสนมไป
ตกกลางคืน หลานถิง ชิงทั่นกลับจากตำหนักชุ่ยหมิงมาส่งข่าวมเหสีรองเหวยถูกกระจกบาดพระเนตรที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน หลังส่งตัวกลับไปที่ตำหนักฉางหนิง ขุนนางได้เรียกหมอหลวงมาดูอาการแล้ว แม้ว่าจะรีบใช้น้ำสะอาดล้างเศษกระจกจนหมด ทั้งยังใช้ผ้าฝ้ายพันดวงตาเอาไว้ แต่ว่าดวงตาถูกกระจกแทงลึกมาก เกรงว่าพระเนตรอาจจะบอดได้
ขุนนางในตำหนัก ไม่ว่าจะเป็นขุนนางเก่าหรือขุนนางใหม่ต่างก็รู้ดีว่าพระสนมเอกถูกมเหสีรองรังแกมาสิบกว่าปีแล้ว เช่นนี้ก็นับว่าเมฆเคลื่อนตัวเปิดให้เห็นแสงจันทร์แล้ว[1] สีหน้าของทุกคนแสดงความสุข
เฮ่อเหลียนกลับไม่รู้สึกยินดียินร้ายเลยสักนิด หลังจากได้ฟังก็ก้มหน้าคัดลอกหนังสือหลังม่านมุกต่อไปอย่างเงียบๆ
หลานถิงเปิดผ้าม่าน เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเบา “ฮ่องเต้ส่งหลักฐานไปที่กรมยุติธรรมแล้ว ได้ยินมาว่าบ่ายนี้กรมยุติธรรมจะเบิกตัวเหวยกั๋วจิ้วเพื่อไต่สวนใหม่ ประเดี๋ยวก็คงส่งตัวไปที่คุกหลวง ราวกับว่าจะได้รับโทษเป็นแน่ รอแค่ประกาศผลการตัดสินคดีเท่านั้น เมื่อครู่บ่าวเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ได้ยินคนพูดว่าองค์รัชทายาทรับพระราชประสงค์มาจากฮ่องเต้ สั่งให้จับกุมลูกหลานของเหวยกั๋วจิ้วและพรรคพวกที่รวบรวมปัญญาชนเพื่อชิงอำนาจ ทั้งยังให้ร่างพระราชโองการสั่งให้ลูกชายทั้งสองของเหวยกั๋วจิ้วย้ายกลับมา เป็นเช่นนี้แล้วกำลังเตรียมการไม่ให้เหลือตระกูลเหวยไว้สักคน พระสนม ตระกูลเหวยจบแล้วเพคะ”
ในเมื่อกระทำความผิดอย่างร้ายแรงจะให้เหลือไว้สักคนได้อย่างไรกัน
ระหว่างที่หลานถิงพูด เฮ่อเหลียนถือด้ามพู่กันเขียนหนังสือต่อไป ราวกับไม่สนใจเลยสักนิด น้ำหนักการลงหมึกบรรทัดนี้เหมือนเคยเช่นทุกๆ ครั้ง ตัวอักษรดุจลายผ้าปัก
ขณะเดียวกันจางเต๋อไห่เดินเข้ามาในตำหนักรายงานว่า “องค์ชายสามมาที่พระตำหนัก ขอเข้าเฝ้าพระสนมเอกอยู่ที่ศาลาจั๋วเจิ้งในสวนหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ในศาลาจั๋วเจิ้ง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างเสาศาลา
เฮ่อเหลียนเห็นองค์ชายสามในศาลา หน้าตาไม่แจ่มใส เอ่ยถามด้วยความเอ็นดู “เจ้าเพิ่งจะกลับเข้าวังมา ช่วงที่ยุ่งมากเช่นนี้ ทำไมจึงมาที่ตำหนักเล่า”
ซย่าโหวซื่อถิงมองมารดา ไม่เอ่ยคำใดออกมา
เฮ่อเหลียนเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จาจึงได้แต่ยิ้มถาม “มีอะไรก็นั่งลงพูดเถอะ” พูดไปก็พลางนั่งลงบนม้าหินในศาลา
ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองม้าหินนั่น กระแอมออกมา “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ลูกยืนคุยกับเสด็จแม่ได้”
เฮ่อเหลียนเห็นว่าเขาไม่นั่งจึงถอดใจ “เจ้าแยกกับแม่ตั้งแต่เด็กๆ แต่ไหนแต่ไรมาแม่ก็ไม่เหมือนแม่คนอื่นๆ ที่จะสนิทสนมกับลูกขนาดนั้น ถึงตอนนี้แม้จะนั่งคุยกันใกล้ๆ ก็ไม่ยอมเสียแล้วหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างม้าหิน ตรงข้ามกับเฮ่อเหลียน สะบัดชายเสื้อนั่งลง จังหวะที่นั่งลงจู่ๆ หน้าก็ซีดเหงื่อไหลออกจากหน้าผาก
เฮ่อเหลียนมองดูปฎิกริยาของลูกชายอย่างเงียบๆ นัยย์ตาฉายแววประหลาด จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “เจ้าอยากยืนก็ยืนขึ้นเถอะ”
ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ ลุกขึ้น เขารู้สถานการณ์ทางนั้นจากเย่ว์อู่เหนียงแล้ว ถึงตอนนี้ได้เห็นเสด็จแม่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
ตอนนั้นที่เกาจวิ้นหลบหนีการถูกทำร้ายจากไทเฮา หลังจากหนีตายก็ไม่กลับมาที่เหมิงหนูอีกแต่เรื่องที่เกาจวิ้นอยู่ที่หมู่บ้านเกา เขาคิดว่าเสด็จแม่ไม่รู้มาโดยตลอด
“เสด็จแม่รู้ว่านายพลท่าป๋าอยู่ที่หมู่บ้านเกาตั้งแต่เมื่อไร”
เมื่อเฮ่อเหลียนเรียกเกาจวิ้นไปทำงานให้ ก็รู้ดีว่าองค์ชายไม่ช้าก็เร็วจะต้องรู้แน่ๆ ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มออกมา ทำเอาซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกแปลก “ตอนนั้นแม่ให้นายพลท่าป๋าหนีไป แต่ก็เดาได้ว่าเขาไม่สบายใจที่ได้หนีไปแน่ จึงสืบได้ว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านเกา แถมยังไปมาหาสู่กับเจ้าด้วย ในเมื่อเขาไม่อยากไป แม่ก็ไม่บังคับและก็ไม่อยากพูดอะไรมาก จึงทำเป็นไม่รู้ หากว่าไม่ใช่ตอนนี้เวลานี้ต้องการให้เขาช่วยเรื่องเล็กๆ แม่ก็คงทำเป็นหูหนวกตาบอดไปจนตาย”
ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยเสียงเบา “เรื่องเล็กๆ ที่เสด็จแม่บอก คือให้สั่งเกาจวิ้นให้เข้าไปเหยี่ยนหยางตอนดึก ลักพาตัวลูกของสวีเทียนขุย ใช้อำนาจสวีเทียนขุยเปิดโปงความผิดของเหวยเช่าฮุย”
เฮ่อเหลียนถอนหายใจเบาๆ เหม่อคิดถึงบางอย่าง “เหมือนว่าสวีเทียนขุยจะดื้อรั้นจริงๆ หลังจากที่นายพลท่าป๋ามัดลูกเขาไว้ ใช้อำนาจอะไรเขาก็ยังปิดปากเงียบ สุดท้ายก็ทำตามที่สั่งตัดแขนลูกชายไปทิ้งไว้ที่บ้านตระกูลสวี สวีเทียนขุยถึงจะร้องไห้รับปากได้”
ในใจซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกชาวาบ
เฮ่อเหลียนลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว ยืนมือค่อยๆ ลูบมือองค์ชายเบาๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสายตาอ่อนโยน “วางใจได้ เรื่องนี้จัดการปัญหาไว้หมดแล้ว จะไม่มีใครสักคนในตระกูลเหวยทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว และไม่มีใครเป็นอุปสรรคต่อเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัว ก็เหมือนครั้งนั้นที่ไทเฮาจะทำร้ายเจ้า แม่ยังสามารถให้เจ้าออกจากวังเพื่อหนีมืออำมหิตของนางได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน”
ในศาลาเงียบเป็นเวลานาน
ในที่สุดซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยขึ้นมา “ลูกยังมีเรื่องที่ต้องทำ ทูลลา”
เฮ่อเหลียนเห็นเขากำลังลงบันได ตะโกนเสียงก้องดัง “ไปทำเรื่องอะไรหรือ ไปไหน ไปหาไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงใช่ไหม ไปขอร้องให้ไทเฮายกโทษให้ชายาของเจ้าหรือ” เงาแผ่นหลังหยุดชะงัก
น้ำเสียงเย็นชาของเฮ่อเหลียน สีหน้าที่แสดงออกมา “อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ ว่าหลายวันมานี้เข้าวังเพื่อไปขอเข้าเฝ้าไทเฮา ไปคุกเข่านอกตำหนักฉือหนิงชั่วยามสองชั่วยาม ขอความเมตตาจากนางทุกครั้ง วันก่อนยังยั่วโทสะนางจนถูกตีด้วยกระบองไปสิบห้าที ตอนนี้ยังเจ็บมากไหม มิเช่นนั้นไยแม้นั่งก็นั่งไม่ลง วันนี้เป็นแค่ไม้พรุ่งนี้จะเป็นอะไรเล่า เจ้าต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายจนตายหรือ องค์ชาย แม่ช่วยเจ้าไม่ให้เจออุปสรรคและจะช่วยเจ้าอีกครั้งและไม่สนใจว่าจะต้องช่วยเจ้าอีกสักกี่ครั้ง”
แนวหลังพระตำหนัก ทางเดินกรวดหินแคบๆ ป่าไผ่อุดมสมบูรณ์สวยและเงียบสงบระหว่างทาง เดินจนสุด ครู่เดียวก็เจอวิวทิวทัศน์โล่งกว้าง อารามฉางชิงตั้งอยู่ที่นี่ สถานที่สำหรับสำนึกความผิดของสตรีในวัง
ในอารามนอกจะมีคนมาขอพรแล้วยังมีแม่ชีและยังมีนางข้าหลวงอาวุโสและนางข้าหลวงดูแลแนวหลังอยู่ไม่กี่คน
สตรีที่มาสำนึกผิดที่อารามฉางชิง ปกติแล้วไก่ยังไม่ทันขันก็ต้องตื่นแล้ว ในวันธรรมดาไม่ว่าจะสูงศักดิ์ขนาดไหนก็ต้องไปตักน้ำในบ่อหลังลานด้วยตนเอง ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปทำวัตรที่อุโบสถด้านหน้า
หลังจากทำวัตรเสร็จ ต้องกลับไปอ่านบทสวดมนต์ในห้องสมาธิ ตอนกลางวันหลังจากทานอาหารเที่ยงง่ายๆ เสร็จ ต้องไปในตำหนักสำนึกผิดต่อหน้าพระพุทธ
ตอนค่ำยังมีร่ำเรียนอีก หลังเลิกเรียน อาจารย์ในอารามจะสุ่มถามลูกศิษย์ให้เขียนหรือท่องเรื่องที่ฝึกและบทสวดในวันนี้ แน่นอนว่ารวมถึงสตรีที่มาสำนึกผิดด้วย การสุ่มถามนี้สำคัญมาก ทุกๆ ครั้งจะถูกบันทึกเอาไว้สำหรับดูว่าสามารถพ้นโทษได้ตามกำหนดหรือไม่
หลายปีมานี้อารามฉางชิงไม่มีใครเข้ามา พอมีคนเข้ามาก็เป็นถึงพระชายาขององค์ชาย วันนั้นแม่ชีและนางข้าหลวงอาวุโสประหลาดใจมาก พอได้ยินมาอีกว่าเป็นพระชายาของฉินอ๋องทำความผิดมาก็ยิ่งประหลาดใจ
แต่กลับเห็นหญิงสาวยืนอยู่กลางขุนนาง ก่อนมาที่อารามฉางชิงได้นำชุดและเครื่องประดับออกหมดแล้ว ทั้งร่างกายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคลุมสีนวลจันทร์ ส่วนเอวบางคาดด้วยเข็มขัดหงษ์ผูกปมแบบง่ายๆ ไม่แต่งหน้า ผมสีดำมัดเป็นมวยหลวมๆ พาดไว้ตรงอก
ร่างกายอ่อนโยน สง่างาม ไม่มีพิษมีภัย
แม้ว่าจะมาสำนึกผิดแต่ลักษณะท่าทางไม่หงุดหงิดหรือวุ่นวาย ยินยอมรับความลำบากได้
หญิงสาวก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและถอนสายบัวทำความเคารพทุกคน “ช่วงเวลานี้ต้องรบกวนทุกท่านแล้ว”