ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 181 ปีศาจ (2)
การจับผิดในวันนี้ควรจบได้แล้ว สิ่งที่ควรถามก็ถามหมดแล้วแต่เหตุใดถึงยังไม่ปล่อยอีก แล้วยังพูดคุยสัพเพเหระ เอ่ยถึงสำนักดาราศาสตร์ซะอย่างนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีอะไรจะพูด ไป๋ซิ่วฮุ่ยยืนดูนางอยู่ข้างๆ แล้วหันไปพูดกับเจี่ยงซื่อพร้อมกับยิ้มอ่อน เป็นท่าทางที่เดาความหมายไม่ออกจริงๆ “เหนียงเหนียง เหล่าขุนนางในสำนักดาราศาสตร์ไม่ได้พูดว่าน่าแปลกเท่านั้น สภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศผิดแผกไปจากปกติ ภายในปีนี้แผ่นดินจะมีความผิดปกติโดยมีปีศาจร้ายปรากฏขึ้น เกรงว่าหาได้เป็นเรื่องมงคลแก่ราชวงศ์ซย่าโหวไม่เพคะ”
“เพ่ย” เจี่ยงฮองเฮาส่งเสียงปัดเป่า “พูดพล่ามอะไรของเจ้า ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้! ต้าซวนของข้าท้องฟ้าสว่างใส ฮ่องเต้ทรงมีพลานามัยแข็งแรง จะมีปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน หนึ่งปีกำลังจะผ่านไปเหตุการณ์ภัยพิบัติชิงเหอ ความวุ่นวายเยี่ยนหยางล้วนแต่ถูกฉินอ๋องจัดการแล้ว ชื่อเสียงของฉินอ๋องได้รับความเคารพชมชื่นจากเหล่าขุนนางและฝ่าบาท ไข่มุกไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นอีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้วควรเป็นเรื่องน่ายินดีสิถึงจะถูก! จะมีปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน!”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยคุกเข่าลงตุบตบหน้าตัวเองสองที แต่การลงโทษก็มิอาจหยุดนางได้ นางมองพระชายาฉินอีกครั้งและพูดเสียงเบาว่า “…เหล่าขุนนางสำนักดาราศาสตร์บอกว่าพระชายาฉินลักลอบหนีออกจากเมืองหลวงเป็นเรื่องผิดมหันต์ ไม่ว่าจะกี่รุ่นก็ไม่เคยมีลูกสะใภ้ในราชวงศ์คนไหนที่เป็นคนเช่นนาง มันน่าแปลกเหมือนกับปีนี้ที่หิมะตกช้ากว่าปกติ หิมะ เกิดจากการแข็งตัวของน้ำฝนและชื่อจริงของพระชายามีคำว่าน้ำ——ช่างมีความเหมือนกันเหลือเกินเพคะ!”
พอฟังถึงตรงนี้ มุมปากของอวิ๋นหว่านชิ่นขยับ คนหนึ่งถามอีกคนหนึ่งตอบ ช่วยกันแสดงละครได้เยี่ยมมาก ก็แค่คิดจะใช้ความผิดปกติของสภาพอากาศมายืนยันว่าตนเป็นปีศาจร้ายที่มาเกิดสินะ
ทั้งถลกหนังเปิดกระดูก ก็แค่คิดจะหาความผิดสักข้อหนึ่งโยนมาให้ตัวเองก็เท่านั้นถึงกับต้องพลิกหาความผิดกันถึงขนาดนี้เชียวรึ เจี่ยงฮองเฮาเตรียมการได้ดีมาก
“หากชื่อจริงมีคำว่าน้ำก็เข้าข่ายว่าเป็นปีศาจละก็ เหนียงเหนียงเองก็ยากที่จะหนีพ้นเช่นกัน ตาแก่สำนักดาราศาสตร์พวกนี้ช่างกล้านัก” อวิ๋นหว่านชิ่นทอดสายตาไปยังคนบนนั้นด้วยความนุ่มนวล ฮองเฮาเจี่ยงซื่อชื่อเพ่ยฮั่น มีความหมายเกี่ยวกับน้ำเหมือนกัน ชื่อของหญิงสาวมักเกี่ยวข้องกับดอกไม้ ใบหญ้า น้ำ และหยกทั้งสี่อย่างนี้ หากอ้างอิงตามดังกล่าว ในต้าซวนมีหญิงสาวหนึ่งในสี่ส่วนคงต้องแบกรับชื่อเสียงการเป็นปีศาจทุกคน นางจึงเปลี่ยนประเด็นและพูดอย่างช้าๆ ว่า “แล้วอีกอย่าง เหล่าขุนนางในสำนักดาราศาสตร์ เมื่อหลายวันก่อนยังพูดไว้ว่าครรภ์ของพระชายารองในเว่ยอ๋องเป็นครรภ์มงคล มีผลดีต่อบ้านเมืองมิใช่รึ แล้วครรภ์มงคลตอนนี้อยู่ไหนล่ะ”
“พระชายาฉินบังอาจ! กล้าขานชื่อจริงของฮองเฮา ฮองเฮาไม่เคยลักลอบออกจากเมืองหลวง มั่วสุมอยู่กับผู้ประสบภัยเสียหน่อย!” ไป๋ซิ่วฮุ่ยกลัวว่านางบ่ายเบี่ยงไปยังเรื่องอื่นจึงลุกขึ้นพรวดและกล่าวตำหนิ
อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงนิ่ง สิ่งที่นางควรพูดนางก็ได้พูดหมดแล้ว ทว่าสายตาของคนบนนั้นกำลังมองมาที่ตน มันชั่งแหลมคมราวกับมีดพร้อมจะกรีดคนได้ทุกเมื่อ
ภายในห้องเงียบลง
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
มีเสียงรายงานดังขึ้นจากหน้าประตูพระตำหนักซือฝา “เหนียงเหนียง เจิ้วหวาชิวกูกูมีเรื่องจะทูลเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาตอบกลับเสียงเบา “เข้ามา”
เจิ้งหวาชิวเดินมาถึงกลางห้อง มองอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งทีและแสดงความเคารพ “หม่อมฉันขออภัยที่รบกวนเวลาตักเตือนเพคะ หม่อมฉันสมควรตาย เพียงแต่ว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระชายาฉินไปพบเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาสงสัย “ฝ่าบาทให้พระชายาฉินไปพบ มีกิจอันใด” ตั้งแต่ล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงกลับมา การพบปะระหว่างฝ่าบาทกับอวิ๋นหว่านชิ่นเห็นได้ชัดว่าเป็นความสัมพันธ์แบบข้าราชสำนักคนหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาททรงกำหนดงานอภิเษกให้และไม่เอ่ยถึงอวิ๋นหว่านชิ่นอีกเลย นอกจากวันที่สองหลังแต่งงานที่สองสามีภรรยาเข้ามาน้อมทักทายในวัง หลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเรียกนางมาพบอีก เพลานี้ก็ทรงพระประชวรแล้วจะเรียกนางไปเพื่อสิ่งใดกัน
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ และไม่กล้าถามด้วย” เจิ้งหวาชิวตอบ
เจี่ยงฮองเฮาสะบัดแขนเสื้อคล้ายว่าไม่ยินดีที่จะปล่อยคนไป “ไปเถอะ”
เจิ้งหวาชิวถอนหายใจโล่งอก เดินเข้าไปพยุงอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมาและเดินออกจากพระตำหนักซือฝา
แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะหันหลังแล้ว แต่นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทิ่มแทงอยู่ที่หลัง ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม่นมายังตัวนางตลอดเวลา ความเย็นที่หนาวไปถึงกระดูกดีขึ้นเมื่อได้ก้าวออกจากประตูของตำหนัก
ถ้าเจิ้งหวาชิวมาไม่ทันคิดไม่ออกเลยว่าฮองเฮาจะมาไม้ไหนอีก พอคิดถึงตรงนี้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกโล่งอกนางเดินไปถามไป “เจิ้งกูกู ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าพบทำไมหรือ”
เจิ้งหวาชิวลังเลไม่ยอมพูด แต่สายตาแวบหนึ่งที่มองนางมันมีความหมายอันลึกซึ้งแฝงอยู่ นางมองดูรอบๆ ทำเสียง “ชู่ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจความหมายทันที ฝ่าบาทไม่มีรับสั่งด้วยซ้ำ นางถามอย่างแผ่วเบาว่า “สนมม่อใช่หรือไม่ นางใช้นามของฝ่าบาทมาช่วยให้ข้ารอดพ้นใช่หรือไม่ เล่นอะไรกันอยู่หรือนี่! นี่เจ้าแจ้งพระราชโองการเท็จ!” หากเป็นเช่นนี้สู้เผชิญหน้ากับฮองเฮาที่ตำหนักซือฝายังจะดีกว่า หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมี่ยวเอ๋อร์ถูกลงโทษแน่ๆ
เจิ้งหวาชิวพูดเสียงเบา “วันนี้ฮองเฮาตั้งใจแยกไทเฮาออกไป เพื่อสอบสวนเหนียงเหนียงที่ตำหนักซือฝาเอง สนมม่อรู้ว่าต้องเกิดเรื่องแน่จึงซื้อตัวคนของซือฝาให้คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก คิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาหาความผิดไม่เจอ แต่กลับดึงสำนักดาราศาสตร์ออกมา สนมม่อกลัวว่าฮองเฮาจะใช้เหตุผลนี้ทำอะไรกับพระชายา สนมไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นแล้วจึงมีรับสั่งให้ข้าพาเหนียงเหนียงออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที เหนียงเหนียงวางใจได้เจ้าค่ะ หลายวันนี้ฝ่าบาทรักษาอาการประชวรอยู่ที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน นอกจากสนมที่คอยปรนนิบัติรับใช้พร้อมกับเหล่าองค์ชายแล้ว ฝ่าบาทไม่ให้ใครเข้าพบเลยเจ้าค่ะ ฮองเฮาไม่ได้พบพระพักตร์ฝ่าบาท เรื่องผ่านไปหลายวันบางทีนางอาจจะลืมไปเลยก็ได้เจ้าค่ะ”
แต่ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็ต้องได้พบหน้ากันอยู่ดี ผนวกกับฮองเฮาจับตาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แทบอยากจะให้ตัวเองทำผิดพลาดอีก นางจะลืมลงได้อย่างไร ถึงเวลานั้นเพียงแค่เอ่ยขึ้นมาเรื่องนี้ก็ต้องพูดกันอยู่ดี
ช่างประไร ทำไปแล้ว จะหันหลังกลับก็คงไม่ทันแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นทำได้เพียงจำต้องเดินตามเจิ้งหวาชิวไปยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
ภายในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน เจิ้วหวาชิวพาอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปยังห้องแอบฟังที่อยู่ด้านข้าง
มีหญิงสาวแต่งกายหรูหรานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิงไม้แดงรูปวงกลมลายนกสี่เชวี่ย คล้ายว่ารอมาพักหนึ่งแล้ว พอเห็นหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นนางก็ยืนขึ้นด้วยความดีใจ “ต้ากูเหนียง[1]” เดินเข้าไปกุมมือนางไว้ ในดวงตาเริ่มเอ่อล้วนด้วยน้ำตาเพราะกลั้นความดีใจไม่อยู่
ความเป็นเด็กน้อยของนางหายไปแล้ว ตอนนี้บุคลิกเต็มไปด้วยความเป็นหญิงผู้สูงส่ง ดวงตาดูสุขุมขึ้นมาก แต่นางก็ยังเป็นเมี่ยวเอ๋อร์ที่นางรู้จัก
อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็ดีใจมาก นางพูดขำๆ “ยังเรียกต้ากูเหนียงอีก ถ้าใครได้ยินเข้า อยากให้ข้าโดนทำโทษหรืออย่างไร ที่จริง ข้าต้องน้อมทักทายสนมมากกว่า!” นางตั้งใจย่อตัวลงแต่ก็อดทอดทอนใจไม่ไหว ลำดับรุ่นของนางสองคนห่างออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ เดิมทีเป็นนายกับบ่าวรับใช้ จากนั้นเป็นพี่สาวกับน้องสาว วันนี้ยิ่งไปกันใหญ่ หากเป็นไปตามประเพณีของชาวบ้านแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ถือว่าเป็นแม่เล็กของตนด้วยซ้ำ ส่วนนางเองก็เป็น——ลูกสะใภ้
เมี่ยวเอ๋อร์คว้านางขวับ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจางๆ ดึงนางขึ้นมา “น้อมทักทายอะไรกัน หัวเราะเยาะข้าหรืออย่างไร เราสองคนแอบพบกัน ห้ามเอ่ยคำว่าสนมกับพระชายาเป็นอันขาด”
ทั้งสองคนเพิ่งพบหน้ากันต่างก็รู้สึกตื่นเต้น แม้จะมีความสุขขณะที่ยังมีความทุกข์ก็ตาม นางไม่สนใจเรื่องพระตำหนักซือฝาชั่วคราว แต่หันไปพูดคุยอย่างสนุกสนานกันสองคน ต่างคนต่างนั่งตรงข้ามกัน จากนั้นสีหน้าของทั้งคู่ก็นิ่งลง
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเมี่ยวเอ๋อร์ “ครั้งนี้เจ้าประหม่าเกินไป แจ้งพระราชโองการเท็จเพื่อช่วยข้า เจ้าทำได้อย่างไร การที่ฮองเฮาจะหาเรื่องข้า แม้ว่าครั้งนี้นางทำไม่เสร็จ แต่ครั้งหน้านางก็จะหาโอกาสหาเรื่องข้าให้ได้อยู่ดี เจ้าจะขัดนางและช่วยข้าได้ทุกครั้งรึ เรื่องวันนี้หากฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงรู้เข้าเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร”
เมี่ยวเอ๋อร์ทำสีหน้าไม่สนใจสิ่งใด การกระทำของนางวันนี้ก็เหมือนกับตอนที่อยู่จวนอวิ๋น เป็นคนที่ลงมือทำก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที “ฮองเฮาป้ายความผิดให้เจ้าถึงเพียงนี้ วันนี้นางไม่ยอมให้เจ้าออกจากตำหนักซือฝาแต่โดยดีแน่ หากไม่อ้างนามของฮ่องเต้เรียกเจ้าออกมา จะให้ข้าทนดูเจ้าถูกใส่ร้ายอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ ครั้งต่อไปเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของครั้งต่อไป ไทเฮาไม่มีทางมีธุระทุกครั้งหรอก ครั้งต่อไปหากนางสอบสวนเจ้าอีก หากมีไทเฮาอยู่ด้วย สถานการณ์คงดีต่อเจ้าไม่น้อย”
[1] ต้ากูเหนียง หมายถึง คุณหนูใหญ่