ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 183.1 ท้ออายุยืน (1)
ที่แท้ก็ไม่ใช่สาวรับใช้ ไม่ใช่สาวรับใช้แล้วทำงานของสาวรับใช้ทำไม อยู่เฉยๆ ในห้องพักสิออกมาเอ้อระเหยด้านนอกไม่พอยังเข้าออกเรือนเอกอีก อยากให้ใครเห็นหรืออย่างไร
ชุยอินหลัวไขว้มือไว้ด้านหลังและเดินเข้าไปอย่างยิ่งยโส หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นเด็กผู้หญิงรูปร่างอ้วนกลมผิวพรรณขาวอมชมพูยืนอยู่ตรงหน้า นางขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่พอเห็นการแต่งตัวนั้นดูมีสกุลและยังมีเหอมอมอเดินตามหลัง นางเข้าใจทันทีว่าเด็กคนนี้คงเป็นน้องสาวที่ฉินอ๋องเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก นางจึงย่อตัวน้อมทักทายทันที “คุณหนู”
“มาจากนอกเมืองไม่ใช่หรือ” ชุยอินหลัวหันไปหาเหอมอมอ “มาได้ไม่กี่วัน ทั้งสำเนียงทั้งมารยาทของเมืองหลวงเรียนรู้ได้เร็วดีนี่ เกือบจะเหมือนคนท้องถิ่นแล้ว”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์นิ่ง คุณหนูดูท่าจะไม่มีเจตนาดีต่อนาง แต่เด็กน้อยที่อายุราวๆ หกเจ็ดขวบจะทำอะไรได้…บางทีอาจจะคิดมากเกินไป นางตอบอย่างสุภาพ “เป็นเพราะบุญจากท่านอ๋องที่ทำให้ข้าได้มาอยู่ที่ดีดีเช่นนี้ ชีเอ๋อร์จึงมีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีดีเหมือนเขาบ้างเจ้าค่ะ”
ชุยอินหลัวแจ๊ะปากเพราะไม่ชอบคำพูดของนางเท่าไหร่ “ได้ยินว่าพี่สะใภ้พระชายาเอกของข้าเป็นคนพาเจ้ากลับมา ท่านอ๋องไม่ได้เป็นพูดเองเสียหน่อย เจ้าพูดว่าเป็นเพราะบุญจากท่านอ๋องได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่ใช่บุญจากพระชายาเอกล่ะ พอเห็นว่าพระชายาเอกไม่อยู่ที่จวนเจ้าก็เลยประจบสอพลอกับท่านอ๋องอย่างนั้นรึ หรือเจ้าจะบอกว่าไหนๆ ก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อเป้าหมายของตัวเองเสร็จก็ลืมผู้มีบุญคุณตัวจริงได้เลย”
เจ้า เจ้าเด็กอ้วนคนนี้ หน้าตาดูอ้วนกลมแต่ใครเล่าจะคิดว่านางไม่ใช่คนซื่อ หลี่ว์ชีเอ๋อร์รีบอธิบาย “ชีเอ๋อร์พูดไม่คิด ลืมพระชายาเอกไปเจ้าค่ะ! คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ หลี่ว์ชีเอ๋อร์มีทุกวันนี้ก็เพราะบุญจากท่านอ๋องและพระชายาเอกเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนางไม่ตอบ หลี่ว์ชีเอ๋อร์ขี้เกียจตอบโต้กับนางอีกจึงยกถาดน้ำชาเตรียมเดินอ้อมเพื่อยกไปที่เรือนเอก
“นี่ๆๆๆ! เจ้าจะไปไหน!” ชุยอินหลัวแสร้งถาม
หลี่ชีเอ๋อร์ชะงักและหยุดเดิน “ชีเอ๋อร์ชงชาผูเอ่อเอาไว้ ได้ยินว่าท่านอ๋องกลับมาแล้วก็เลยจะยกไปให้เจ้าค่ะ”
ชุยอินหลัวปัดมือไปมา เหอมอมอเข้าใจทันทีและหยิบชาผูเอ่อในมือของหลี่ว์ชีเอ๋อร์มา
“เอ่อ——ทำไมล่ะเจ้าคะ” หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตะลึง อยากแย่งกลับมาแต่ไม่กล้า
ชุยอินหลัวพูดด้วยท่าทางเด็กน้อยไม่พอใจ “เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าข้ายังเข้าไปไม่ได้ ข้าไม่ได้พบพี่ชายของข้าแล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะได้พบงั้นรึ เกาจ๋างซื่อบอกแล้วว่าพี่ชายทำงานยุ่งมาก เวลาอยู่ในห้องหนังสือห้ามใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด วันนี้เป็นต้นไปเจ้าห้ามส่งน้ำชาเข้าไปอีก แล้วก็ก่อนพี่สะใภ้ของข้าจะกลับมา เจ้าอย่าได้ออกจากประตูเด็ดขาด แล้วที่เจ้าร้องเพลงเมื่อครู่นี้ ร้องก็เพี้ยน ไม่เพราะเลยสักนิด! หากพี่ชายข้าได้ยินเสียงเอะอะในเวลาทำงานแล้วจะมีสติได้อย่างไร ไปๆๆ ส่วนชานี่——ข้าจะฝืนดื่มมันเข้าไปเองก็แล้วกัน”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ถูกเยาะเย้ยจนรู้สึกไม่ดี แต่ก็ทำได้เพียงตอบ “เจ้าค่ะคุณหนู ชีเอ๋อร์จะไม่ร้องเพลงอีก” นางพูดไปน้ำตาก็เอ่อล้นไปแล้วนางก็เดินจากไป
ชุยอินหลัวจัดการหลี่ว์ชีเอ๋อร์เสร็จก็หันไปบอกให้เหอมอมกลับไปก่อน ส่วนนางเลี้ยวไปอีกทางจนถึงประตูด้านข้างของจวนอ๋อง
“หลีกไป!” ชุยอินหลัวออกคำสั่ง
บ่าวรับใช้เฝ้าประตูไม่กล้าขัดคำสั่งจึงได้ถอยออกไป
ชุยอินหลัวเปิดประตูก้าวออกไปอย่างเงียบๆ
ด้านหลังต้นไม้ของด้านนอกประตูด้านข้าง มีชายกระโปรงสีน้ำเงินโผล่ออกมา
ความมั่นอกมั่นใจของชุยอินหลัวเมื่อครู่นี้หายไปในพริบตา “ออกมาเถอะ”
ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นด้านหลังต้นไม้ บนตัวยังมีกระเป๋าหนังสือที่มีรอยเย็บละเอียดประณีตเนื้อผ้าอย่างดี มีหนังสือและพู่กันหมึกใส่อยู่ด้านในจนเต็มกระเป๋า ดูก็รู้ว่าเป็นนักเรียนที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน
“เป็นอย่างไรบ้าง ถามท่านอ๋องหรือยังว่าพี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ดูๆ แล้วนี่ไม่ใช่การมาครั้งแรกของอวิ๋นจิ่นจ้ง เพราะเขาไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดแต่เดินเข้ามาถามตรงๆ
ชุยอินหลัวใช้แรงทั้งหมดที่มีกระดกปลายเท้าและชูคอขึ้นจนคอแทบหัก ตบเข้าที่หัวไหล่ “วันนี้ข้าไม่ได้พบพี่ชาย แต่ดูจากท่าทางของพี่ชายแล้วช่วงนี้พี่สะใภ้น่าจะไม่เป็นอะไร เจ้าวางใจเถิดพี่ข้าต้องหาวิธีกับคนในวังอยู่แล้วล่ะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งถอนหายใจอย่างไม่พอใจ “จะให้วางใจได้อย่างไรกัน คนที่ถูกทำโทษคือพี่สาวของข้าไม่ใช่พี่เจ้านี่”
ชุยอินหลัววางฝ่าเท้าทั้งสองข้างลง ใบหน้ากลายเป็นสีแดง “ไม่เหมือนกันเหรอ”
“อะไรนะ” อวิ๋นจิ่นจ้งไม่เข้าใจ จ้องหน้าเด็กผู้หญิงตรงหน้าเอาไว้ ทั้งๆ ที่มีหน้าตาอย่างกับเซี่ยวหลงเปา แต่บนใบหน้ากลับถูจนเป็นสีแดงอย่างกับเคยดองไว้ในน้ำตาลแดงอย่างนั้น
“ไม่มีอะไร!” ชุยอินหลัวปัดมือไปมา สื่อออกไปว่าไม่ต้องสนใจสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้
อวิ๋นจิ่นจ้งคิดตามคำพูดของชุยอินหลัวพบว่านางพูดถูก พี่เขยต้องจัดการอยู่แล้วไม่มีทางปล่อยให้พี่สาวได้รับความลำบากอย่างแน่นอน เขาจึงไม่ถามอะไรอีก จัดระเบียบกระเป๋าเสร็จเตรียมเดินจากไป แต่กลับถูกมืออ้วนๆ ของคนหนึ่งดึงกระเป๋าเอาไว้
อวิ๋นจิ่นจ้งไม่เข้าใจจึงหันกลับมามองเด็กผู้หญิงที่เตี้ยกว่าตัวเองมาก
“จะไปแล้วหรือ”
อวิ๋นจิ่นจ้งยิ้มเผยให้เห็นฟันสีขาวเรียงสวยงาม “ตอนแรกว่าจะถามสถานการณ์ของพี่สาวหน่อย ในเมื่อไม่มีอะไรให้ถามงั้นก็ช่างเถอะ วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็อย่าไปรบกวนท่านอ๋องเลยนะ เพราะว่าพี่สาวของข้าไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว”
ชุยอินหลัวรู้สึกผิดหวัง นี่เขากำลังจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องหรือเปล่า แล้วก็ให้ตัวเองไม่ต้องไปถามพี่ชายอีกก็แปลว่าวันหลังจะไม่มาที่นี่อีกใช่หรือไม่
ด้วยความฉลาด ชุยอินหลัวตะโกนขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง! วันนี้ข้าจัดการสาวรับใช้น่ารำคาญคนหนึ่งด้วย!”
หืม อวิ๋นจิ่นจ้งนิ่งแล้วก็หยักไหล่ เกี่ยวอะไรกับเขางั้นรึ เด็กอ้วนทำเสียงฮึ่มสองทีแล้วพูดต่อ “…นังคนนั้นคือคนที่พี่สะใภ้พระชายาเอกพากลับจากเยี่ยนหยางอาศัยอยู่ในจวนชั่วคราว พอพี่สะใภ้ไม่อยู่นางก็ฉวยโอกาสยกน้ำชาไปเรือนเอกเพื่อตีสนิท วันนี้ข้าไล่นางแล้วยังบอกให้นางไม่ต้องเข้าใกล้เรือนเอกอีก!”
อืม…อันนี้เรื่องใหญ่ แม้ว่าอวิ๋นจิ่นจ้งอายุยังน้อยแต่เขาเกิดในตระกูลใหญ่ เขาจะไม่รู้เรื่องการแย่งชิงความรักของสาวรับใช้ท้ายเรือนได้อย่างไร พอได้ยินชุยอินหลัวส่งสัญญาณเขาเข้าใจความหมายนั้นทันที เขาลูบหัวชุยอินหลัวและพูดว่า “อื้ม ทำดีมาก วันหลังต้องคอยดูไว้นะ”
ชุยอินหลัวดีใจเหมือนได้รางวัลและพูดต่อด้วยความภูมิใจ “เรื่องแบบนี้ไม่ต้องให้เจ้าพูดหรอก”
เพื่อจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาให้กับฮองเฮา ในสำนักราชวังก็เริ่มยุ่งกันใหญ่ อารามฉางชิงเองก็ไม่ต่าง
ฮองเฮาเป็นเจ้านายของวังหลัง งานฉลองที่มีปีละครั้งเช่นนี้ นอกจากพระตำหนักเย็นแล้ว ไม่มีตำหนักไหนกล้าเอื่อยเฉื่อย แม้ว่าผู้ดูแลอารามฉางชิงซือไท่จิ้งอี้ล้มป่วยจนลงจากเตียงไม่ได้ แต่คนทั้งอารามก็เริ่มคัดพระไตรปิฎก เย็บคำว่าพระบนผ้าห่มเพื่อเตรียมมอบให้กับจงกง[1]ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ยามเช้าของวันนี้ เป็นรอบของอวิ๋นหว่านชิ่นกับแม่ชีไม่กี่คนที่ต้องเย็บผ้าห่ม ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่เย็บผ้าห่มไปพูดคุยไป
เมื่อหลายวันก่อนนางต้องทำพื้นรองเท้าและเย็บชุดฤดูหนาวให้กับคนในวัง ทำให้ฝีมือการเย็บผ้าของอวิ๋นหว่านชิ่นพัฒนาขึ้นมาก พอทำได้ครึ่งหนึ่งจู่ๆ ก็มีขันทีอายุน้อยคนหนึ่งเข้ามาทักทายแม่ชีอาวุโสผู้ทำหน้าที่แทนแม่ชีจิ้งอี้ จากนั้นชี้นิ้วพูดว่า “เจ้า เจ้า พวกเจ้าด้วย เดี๋ยวไปช่วยงานในตำหนักบูราพา”
หนึ่งในนั้นรวมถึงอวิ๋นหว่านชิ่น
[1] จงกง หมายถึง ฮองเฮา