ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 186.4 เป็นไข้ใจจนล้มป่วย เสี่ยงบุกตำหนักเฟิงจ๋า (4)
อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตาคราหนึ่งแล้วยิ้มบาง
ทั้งๆ ที่นางแอบหลงใหลมีใจให้ฉินอ๋องจนจะเป็นจะตายจนล้มป่วยหนัก งานหมั้นก็ยังล้มเลิกไปแท้ๆ มาตอนนี้กลับมาหยั่งเชิง
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รำคาญหานเซียงเซียง และให้ถือว่าจบเพียงเท่านี้
แต่นางก็ไม่พอใจที่หานเซียงเซียงแกล้งตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วมาหยั่งเชิงตนเช่นนี้ ทำท่าทางเหมือนตนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่แสนโง่
แม้จะไม่กล่าวคำใดออกไป แต่รอยยิ้มของสตรีตรงหน้านั้นก็เป็นตัวยืนยันได้ดีถึงความมั่นใจและพอใจ รอยยิ้มของหานเซียงเซียงหายไปครู่หนึ่ง
อวิ๋นหว่านชินมองไกลออกไป “นี่ก็สายมากแล้ว พวกกงกงยังรอข้าอยู่ ข้าคงต้องขอตัวไปก่อนแล้ว คุณหนูหานนานๆ ครั้งจะได้เข้าวัง ค่อยๆ เดินชมเดินเล่นให้เบิกบานเถิด”
หานเซียงเซียงตระหนก มองอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างละเอียดพลางกล่าวเสียงค่อย “ยามพระชายาพบกับข้าก่อนหน้านี้ล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง ก่อนพวกเราจะกลับเมืองหลวงยังสัญญากันไว้ว่าจะหาเวลามาพบปะพูดคุยกันอีก วันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก ไม่ทราบว่าข้ารู้สึกไปเองหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าพระชายาดูเหมือนจะไม่ใคร่สนใจข้านัก เย็นชากับข้ายิ่ง…พระชายามิใยดีเซียงเซียงแล้วหรือ หรือว่า…เซียงเซียงทำอันใดผิดไปจนทำให้พระชายาไม่พอใจ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มกล่าว “ข้าไม่สนใจเจ้าที่ไหนกัน เป็นเจ้าที่พอกลับมาก็ล้มป่วยจนถอนหมั้นไป เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับไม่บอกให้ข้ารู้ เป็นข้าเสียอีกที่รู้สึกว่าเจ้าไม่สนใจข้า”
หานเซียงเซียงตกใจ แต่กลับเห็นอีกคนหอบของขวัญเดินอ้อมตัวเองไปด้านหน้า ครู่ต่อมาจึงได้เข้าใจ แม้นางจะถูกขังอยู่ในอารามของวังหลวง แต่ก็คงได้ยินข่าวลือเรื่องนั้นแล้ว
หานเซียงเซียงหลุดจากภวังค์ก็ไม่สนว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอ เหลือบมองสาวรับใช้คราหนึ่งแล้วเดินออกไปขวางหน้านางไว้ น้ำเสียงเจือสะอื้นไห้ “ข้า ข้า…” แต่กลับพูดคำใดไม่ออก ครู่ต่อมาจึงกัดปาก “ข้าขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้ากลัวเจ้าจะไม่พอใจจึงไม่กล้าบอก ทำเพียงอ้อมค้อมไปมาเท่านั้น เจ้าอย่าถือโทษข้าเลยนะ”
อวิ่นหว่านชิ่นเห็นดวงตาทั้งคู่ของนางคลอไปด้วยน้ำตา ท่าทางหมดหนทางเหมือนกับตอนล่าสัตว์ที่โดนรังแกครานั้น จึงดึงมือนางมาจับไว้มั่นแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นยามนี้เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
“คิดเห็น” หานเซียงเซียงกลืนน้ำตาอย่างตกตะลึง
อวิ๋นหว่านชิ่นท่าทางสงบเหมือนดังเก่า “อืม ได้ยินว่าฮองเฮาแอบมาดหมายเจ้าไว้ให้ฉินอ๋อง ซ้ำยังให้ฮ่องเต้ร่างราชโองการเอาไว้แล้ว ขาดเพียงแต่ป่าวประกาศออกไปเท่านั้น เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นเช่นไร เจ้าอยากแต่งเข้าจวนฉินอ๋องจริงๆ หรือ หากเจ้ามิอยากแต่งล้วนมีเป็นพันเป็นหมื่นหนทางที่เจ้าจะปฏิเสธการแต่งงานครานี้ได้”
หานเซียงเซียงพึ่งจะเข้าใจ ความหมายของอีกฝ่ายคือให้นางยอมแพ้ นางจึงเงียบไปนานทีเดียว น้ำส่วนตาก็ยังพลั่งพลูลงมาราวกับสร้อยมุกงามโดนตัดจนขาดพังทลายลงมา “หากวันนี้ข้าไม่แต่งให้ฉินอ๋องก็คงจะแต่งชายใดอื่นมิได้แล้ว อยู่ที่เรือนระยะนี้ พอนึกว่าชีวิตที่เหลือของข้าจะไม่ได้พบเขาอีก ข้าก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่มันช่างไร้ความหมาย…พระชายาเข้าใจข้าหรือไม่”
จนปัญญาที่จะเข้าใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีอันใดจะพูดอีกแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ ปล่อยมือนางลงเตรียมจะเดินจากไป หานเซียงเซียงกลับเงยหน้าขึ้นแล้วจับนางไว้ รับปากกับนางอย่างจริงใจทั้งน้ำตาว่า “ข้าจะไม่ทำให้มันส่งผลกระทบต่อความรู้สึกระหว่างฉินอ๋องกับเจ้าแน่นอน ซ้ำจะไม่ไปแย่งความรักมาจากเจ้า ลูกของข้าในภายภาคหน้าก็จะให้เชื่อฟังลูกของฉินอ๋องกับเจ้า จะไม่ให้ล้ำเส้นเกินขอบเขตแม้แต่น้อย…ที่ข้าต้องการนั้น เพียงแค่ได้เห็นหน้าเขาทุกวันก็เพียงพอแล้ว ต่อให้ฉินอ๋องจะไม่เสด็จมาหาข้าเลยก็ไม่เป็นไร…ข้าขอร้องล่ะ และรู้ว่าเจ้าดูแลเซียงเซียงคนนี้มาโดยตลอด ล่าสัตว์ครานั้นเจ้าช่วยข้าจัดการกับหลินรั่วหนานให้ข้าไม่โดยกลั่นแกล้ง เรื่องนี้ข้าจำไม่ลืม ครั้งนี้เจ้าก็ผ่อนผันให้ข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ เป็นเหมือนเมื่อก่อน ช่วยข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ พอเข้าจวนไปแล้ว ข้าจะยอมทำตามที่สั่งทุกอย่าง จะเป็นวัวเป็นม้าให้พระชายา เจ้ามองข้าเป็นเพียงคนใช้คนหนึ่งก็พอ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางอย่างเงียบๆ ไม่กล่าวคำอยู่นาน จนหานเซียงเซียงนึกว่านางมีช่องว่างให้เจรจาเพิ่ม ใบหน้าเรียวเล็กก็ฉายแววดีใจ ดึงข้อมือนางมาจับไว้ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดข้าล้วนจะช่วยเจ้า ยอมเจ้า เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้จริงๆ แม้ข้าจะรู้สึกว่าเจ้าน่าสงสาร แต่ก็ไม่น่าสงสารถึงขนาดที่จะแบ่งสามีให้กับเจ้าครึ่งหนึ่งได้”
หานเซียงเซียงร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเหมือนจะล้มลง ครั้งนี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พยุงนาง แต่กลับหอบของขวัญเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
พอมาถึงตำหนักเฟิงจ๋า ขันทีหลายคนก็รออยู่หน้าประตู
อวิ๋นหว่านชิ่นปรับอารมณ์ภายในใจให้สงบลง ไม่รับผลกระทบจากเรื่องหรือคนใด เดินตามขันทีเข้าตำหนักไป
คนของตำหนักเฟิงจ๋าเห็นว่าเป็นคนที่ไท่จื่อสั่งให้นำของขวัญมาให้ก็ไม่สนใจอะไรนัก มอมอที่ดูแลเรือนกลางนางหนึ่งให้คนช่วยพาเดินเข้ามาด้านใน เดินไปพลางกล่าวไป “ฮองเฮาเสด็จไปสวนหลวงยังมิกลับ พวกท่านเอาวางไว้ลานหน้าตำหนักเอกก็พอ ฮองเฮากลับมาเดี๋ยวพระนางก็ทอดพระเนตรน้ำพระทัยไท่จื่อเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองหัวหน้าขันทีตงกงคราหนึ่ง
หัวหน้าขันทีได้รับคำสั่งจากไท่จื่อก่อนที่จะมาตำหนักเฟิงจ๋านี้ จึงเข้าใจทันที เขาเดินมาถึงหน้าประตูเรือนเอกของตำหนักเฟิงจ๋า หยุดฝีเท้าลง เรียกคนวางของขวัญไว้กับพื้นไปพลาง กล่าวไปพลาง “ในของขวัญพวกนี้มีกระถางไม้แกะสลักภาพทิวทัศน์อยู่หลายกระถาง ไท่จื่อให้ช่างฝีมือดีหายากของเมืองหลวงว่านเหล่าชีทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ท่านก็ทราบของประดับตกแต่งภายในตำหนักนั้น มองดูผิวเผินนั้นไม่งามเท่าใดนัก ต้องนำไปตั้งวางประดับด้านในจึงจะสวยงามเหมาะสม มิเช่นนั้นจะมิน่าดูชม ไท่จื่อใส่ใจยิ่งนัก รับสั่งให้ลองไปวางประดับดูว่าตั้งตรงไหนเหมาะสม หากไม่เหมาะสมก็ให้เอากลับไปแล้วค่อยให้ว่านเหล่าชีแกะสลักมาใหม่”
มอมอได้ฟังฝีมืออันล้ำเลิศของคนแซ่ว่านมาบ้าง กระถางไม้แกะสลักทิวทัศน์นั้นล้วนเป็นของหายาก จึงยิ้มกล่าว “อืม เช่นนั้นก็รบกวนกงกงแล้วกัน”
หัวหน้าขันทีนำอวิ๋นหว่านชิ่นกับขันทีอีกคนต่างคนต่างหอบกระถางเข้าไปยังด้านในตำหนัก มอมอคนนั้นพาสาวใช้อีกคนเดินตามหลังไป
ภายในตำหนัก หัวหน้าขันทีบอกกับขันทีคนอื่นๆ ว่า “ในมือเจ้าคือดอกจวินจื่อหลาน เหมาะสำหรับต้อนรับแขกเหรื่อ นำไปลองตั้งที่โถงนอกของตำหนักดูว่าเหมาะสมหรือไม่”
มอมอทำมือเรียกสาวรับใช้ตามขันทีคนนั้นไป
หัวหน้าขันทียิ้มพลางกล่าวอีกว่า “กระถางในมือข้าคือทะเลสาบไท่หูและภูเขาจำลอง วางไว้ตรงระเบียงหรือที่ที่มีน้ำอยู่น่าจะเหมาะ”
มอมอส่งเสียงรับคำเตรียมจะพาเขาไปยังที่ที่เหมาะสมกลับเหลือบไปเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าพอดี จึงลังเลขึ้นมา “พระชายาฉินอ๋องผู้เดียว…”
“ในมือพระชายานั้นคืออิ๋งชุน หรูหราสูงส่ง ก็หาที่ที่เหมาะในตำหนักแล้ววางลงเถิด” หัวหน้าขันทีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้ากอดกระถางทิวทัศน์อิ๋งชุนไว้
มอมอไม่สงสัยอะไร พยักหน้ารับ “อื้ม”
รอจนทั้งคู่เดินลับไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็แหวกม่านหอบกระถางทิวทัศน์เดินเข้าไปด้านใน
ด้านในสุดของห้องบรรทมของฮองเฮา นอกจากคนรับใช้ที่ได้รับอนุญาตแล้ว เกรงว่าคงเหลือแต่ฮ่องเต้ที่สามารถเข้าออกได้ตามใจ
หากมีของสำคัญที่ต้องเก็บไว้ข้างตัวจริง ทั้งให้ใครมาพบไม่ได้ ก็คงจะต้องเก็บไว้ที่นี่แล้วล่ะ
อวิ๋นหว่านชิ่นทักทายคนรับใช้ที่อยู่นอกม่าน ก่อนเข้าไปยังห้องนอนด้านใน มองดูจนทั่ว
ห้องบรรทมในจงกงนั้น มีขนาดใหญ่กว่าตำหนักธรรมดาถึงสองเท่า มีเวลาเท่านี้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มหาจากตรงไหนก่อนดี แต่ก็โชคดีอยู่บ้างเพราะที่ที่ฮองเฮาพำนักนั้นเป็นตำหนักลึก ไม่มีทางซ่อนกลไกอะไรเอาไว้แน่นอน ตำหนักในวังหลวงนั้นไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมอะไรตามอำเภอใจได้ หากจะทำก็ต้องแจ้งให้กรมโยธาทราบ เช่นนั้นก็ต้องมีคนรู้เรื่องเป็นแน่ หากเรียกช่างมาเป็นการส่วนตัวก็ยิ่งเป็นไปได้ยากเข้าไปใหญ่ เรื่องราวจะไปกันใหญ่ไม่ว่า แต่ยังต้องเจาะผนังทุบกำแพง กลัวจะไม่มีคนมาเห็นมาได้ยินหรือไร นิทานพิสดารที่อ่านมาก่อนหน้านี้มีพูดถึงกลไกและอุโมงค์ลับตามพระราชวัง ช่างจอมปลอมลวงโลกสิ้นดี หากเป็นฮ่องเต้ก็ยังพอจะทำได้ แต่ฮองเฮาอยากจะทำเรื่องพวกนี้นั้น บอกเลยว่ายาก