ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 187.1 เห็นเขาแล้วหงุดหงิด (1)
นับว่าดีอยู่บ้าง หากเหมือนกับอวิ๋นเสวียนฉั่งแบบนั้นที่บ้านซ่อนกลไกไว้แทบทุกตารางนิ้วล่ะก็ ที่ตั้งกว้างเช่นนี้ คงมีแต่เทพเทวดาเท่านั้นที่จะหาเจอ
นางวางกระถางทิวทัศน์ลง เดินไปยังหัวเตียงก่อนลูบๆ ดู
รอบๆ เตียงเป็นบริเวณที่ส่วนตัวที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงแล้ว เหมือนกับนางที่ไม่สะดวกเก็บของมีค่าเยอะแยะมากมายเอาไว้ในห้องคลังของบ้าน ล้วนเอามาเก็บในลิ้นชักข้างเตียงห้องนอนไว้ทั้งสิ้น
เพียงแต่นี่คือดินปืน นอกจากจะเป็นของมีค่าแล้ว ยังเป็นของอันตรายอีกด้วย ควรวางไว้ห่างตัวเสียหน่อย
ยิ่งเคยได้ยินอวิ๋นจิ่นจ้งพูดว่าของสิ่งนี้อับชื้นได้ง่าย ถูกน้ำนิดหน่อยก็ไร้ประสิทธิภาพแล้ว แบบนี้แล้วบางทีอาจจะถูกเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น
หาที่แท่นบรรทมอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่พบของที่น่าสงสัยอะไร
บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ไท่จื่อตรัสไว้ เจี่ยงฮองเฮาคงไม่เอาของสำคัญเช่นนั้นมาไว้ที่ตำหนักของตัวเองหรอกกระมัง
ก่อนหน้านี้อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าดินปืนนี้สามารถฆ่าคนจนร่างกายแหลกละเอียด เป็นวิธีฆ่าที่หาร่องรอยเบาะแสได้ยากยิ่ง ดูจากนิสัยของเจี่ยงฮองเฮาแล้ว ของที่หาได้ยากก็จะเก็บไว้ค่อนข้างมิดชิดแน่นอน
ยามนี้ในเมื่อหาไม่เจอ อวิ๋นหว่านชิ่นกลัวว่าหัวหน้าขันทีจะถ่วงเวลามอมอได้ไม่นานนัก จึงหอบกระถางทิวทัศน์ขึ้นกำลังจะออกจากห้องไป แต่กลับเห็นอะไรสะท้อนแวบๆ จึงชะงักฝีเท้าลง กวาดตาไปมองบนโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ปลายแท่นบรรทม
กระจกหยกแกะสลักลวดลายโบตั๋นวางอยู่มุมโต๊ะเงียบๆ บนโต๊ะมีสินสมรสที่เป็นกล่องไม้แดงขนาดน้อยใหญ่วางเรียงรายกันอยู่ แม้จะหรูหรางดงาม แต่ดูๆ ไปก็เหมือนกับของธรรมดาๆ ที่สตรีสูงศักดิ์จะมี ข้างในน่าจะเป็นพวกสีชาดทาปาก ผงเขียนคิ้ว และปิ่นมุกประดับผมต่างๆ
เมื่อครู่ที่สะดุดตาอวิ๋นหว่านชิ่นดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในกล่องเครื่องประดับเหล่านี้
เพราะวันนี้อากาศแจ่มใส เจ้าของก็ไม่อยู่ บ่าวรับใช้ในตำหนักจึงแง้มหน้าต่างหลังคาเปิดไว้นิดหนึ่ง
นางกวาดตามองพลันไปหยุดอยู่ที่กล่องใบหนึ่ง
แสงแดดสาดส่องเข้ามา ตกกะทบลงบนกล่องใบนั้นเป็นประกายเล่นแสงวิบวับ
แม้ดูไปแล้วจะเหมือนของประดับอื่นๆ ที่เป็นไม้แดงแกะสลักมีค่า แต่หากมองให้ละเอียด บนกล่องใบนี้มีขี้ผึ้งทาเคลือบไว้บางๆ ชั้นหนึ่ง
ขี้ผึ้ง? อวิ๋นหว่านชิ่นวางกระถางในมือลง แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกล่องใบนั้นวางอยู่
ขี้ผึ้งเป็นสิ่งที่ป้องกันความชื้นและฉนวนกันความร้อนที่ดีที่สุด
นางเปิดกล่องออกเสียงดังกุกกัก
ชั่วพริบตาที่เปิดออกนั้น จมูกก็ได้กลิ่นประหลาด
สำหรับอวิ๋นหว่านชิ่นที่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นี้มาอย่างใกล้ชิดที่ห้องน้ำชาของหอละครว่านฉ่ายมาแล้วนั้น กลิ่นเช่นนี้นับว่าคุ้นเคยอยู่
พอมองเข้าไปกลับไม่เป็นดังคาด ในกล่องนั้นว่างเปล่า ไม่มีของอะไรอยู่
นางขมวดคิ้วมุ่น เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล กล่องใส่เครื่องประดับของล้ำค่าธรรมดาๆ จะทาขี้ผึ้งเคลือบไว้ทำไม ซ้ำกลิ่นก็ชี้ชัดว่าเคยใส่อะไรมาก่อน
นางไม่ลังเลนาน พลิกกล่องนั้นมาอีกด้านเพื่อตรวจสอบ แล้วยื่นมือเข้าไป
กล่องใส่เครื่องประดับใบนี้ใบไม่ใหญ่ ขนาดกำลังพอดีสองฝ่ามือ เพราะไม้แดงที่เป็นตัวกล่องนั้นมีคุณลักษณะพิเศษ กล่องจึงมีความหนามาก
ขณะนั้นเอง เสียงหัวหน้ามอมอก็ดังมาจากม่านด้านนอกประตู เหมือนจะถามสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูว่า “…พระชายาฉินอ๋องล่ะ”
“อยู่ในห้องบรรทมฮองเฮา ยังมิออกมาเลยเจ้าค่ะ”
หัวหน้ามอมอจึงเร่งฝีเท้าราวกับจะเปิดม่านเข้ามา “ฮองเฮาเสด็จกลับมาแล้วเพคะ”
ใจนางเต้นไม่เป็นส่ำ แต่กลับยังไม่อยากล้มเลิกแต่เพียงเท่านี้ กว่าจะได้เข้ามาไม่ใช่ง่ายๆ ทั้งยังเจอเบาะแสแล้ว มันไม่ง่ายดายแม้แต่น้อย! นางอาศัยจังหวะนี้ลูบมือไปตามขอบกล่องอย่างละเอียด แล้วพยายามตอบกลับโดยไว “เสร็จแล้ว กำลังจะออกไป”
ฝีเท้าของหัวหน้ามอมอจึงหยุดลง ไม่ได้เข้ามาด้านใน
นางปลอบใจตัวเองที่เหมือนจะกระเด็นออกมาจากอกให้สงบลง แล้วคิดว่ามารนหาที่ตายชัดๆ กล่องที่อยู่ในมือยามนี้ก็ดึงดูดสายตาคนเกินไป ในเมื่อเจอเบาะแสแล้ว แต่ไม่สืบดูจนรู้เรื่อง คงได้เสียใจตายแน่
ตายก็ตายสิ!
ในที่สุดก็คลำเจอสิ่งผิดปกติ
อาศัยบริเวณที่มีแสงสว่าง ดูข้างในอย่างละเอียด ดวงตาพลันเป็นประกาย แต่เวลากลับเหลือไม่มากแล้วจึงปิดกล่องลง นำไปวางอยู่รวมกับกล่องอื่นๆ ในที่เดิมของมัน แล้วรีบคว้ากระถางแกะสลักทิวทัศน์ขึ้นมาถืออย่างว่องไว เอาไปวางบนโต๊ะวางกำยาน ปรับลมหายใจกระชั้นของตนแล้วเปิดม่านออกมา
ขณะเดียวกันทางด้านนอกตำหนักเฟิงจ๋า คนในตำหนักต่างตั้งแถวรับขบวนเสด็จอย่างเป็นระเบียบ
อยู่รับรองบรรดาคุณหนูนานาตระกูลสิ้นเปลืองแรงไปไม่น้อย เจี่ยงฮองเฮายามนี้เริ่มเหนื่อยล้า จับข้อมือไป๋ซิ่วฮุ่ยที่ช่วยพยุงลงมาจากรถพระที่นั่ง เห็นขันทีหน้าไม่คุ้นยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ขันทีของตน ฉงนถาม “ใครมาหรือ”
นางกำนัลตำหนักเฟิงจ๋านางหนึ่งทูลตอบ “ทูลฮองเฮาเพคะ ไท่จื่อให้คนจากตำหนักบูรพาสองสามคนมาส่งของขวัญแก่เหนียงเหนียง เป็นไม้แกะสลักด้วยมือของช่างยอดฝีมือว่านเหล่าชี ยามนี้กำลังเอาไปตั้งวางในตำหนักให้เหนียงเหนียงอยู่เพคะ”
สีพระพักตร์ของเจี่ยงฮองเฮาผ่อนคลายลง กำลังจะส่งเสียงรับคำว่ารู้แล้วกลับเห็นนางกำนัลหันหน้าไปพูดเสียงเบา “…เหตุใดยังไม่ออกมา? ไปเรียกกงกงพวกนั้นกับพระชายาฉินอ๋องออกมารับเสด็จได้แล้ว”
พระชายาฉินอ๋อง?
อวิ๋นหว่านชิ่นก็มาด้วย?
สีพระพักตร์เจี่ยงฮองเฮาเคร่งขรึมขึ้น “พระชายาฉินอ๋องมาหรือ”
“เพคะ” นางกำนัลเอ่ยทูล “ไท่จื่อให้มาช่วย…บ่าวไปตามพระชายาให้ดีหรือไม่เพคะ”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยรู้สึกถึงมือของเจี่ยงฮองเฮาที่จับอยู่บนข้อมือของตนนั้นสั่นไหวเล็กน้อย จึงมองผู้เป็นนายหญิง
เจี่ยงฮองเฮาสีพระพักตร์นิ่งเรียบ แต่ในพระทัยกลับมีความรู้สึกแปลกๆ ที่บรรยายมิได้ หัวคิ้วกระตุกยิกๆ ความเหนื่อยล้าก่อนหน้าล้วนมลายไปกว่าครึ่ง ก้าวเสด็จไปยังประตูใหญ่ ส่งเสียงเบาๆ “ไม่ต้องเรียก ไป เข้าไป”
องครักษ์ที่ไท่จื่อทรงส่งให้สะกดรอยตามเห็นเข้า ก็เกรงว่าพระชายาฉินอ๋องที่อยู่ด้านในจะไม่ทันระวังเจอฮองเฮาแล้วจะเกิดอันใดขึ้น เหงื่อเย็นผุดออกมาบนหน้าผาก กำลังจะก้าวขาเดินออกไป กลับได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหน้าเสียงก่อน “เสด็จแม่”
เจี่ยงฮองเฮาที่อยู่ท่ามกลางบ่าวรับใช้รายล้อมหันกลับมา เป็นฉินอ๋อง
ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีทองอ่อนเดินมากับองครักษ์ประจำกายแล้วหยุดลงไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ถวายคำนับนางคราหนึ่ง
เจี่ยงฮองเฮาจำต้องหยุดฝีเท้า พระเนตรหรี่ลง “ฉินอ๋องมีธุระอันใดกับข้าหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงตรัสทูล “งานเลี้ยงวันนี้เป็นลูกที่จัดขึ้น จึงอยากจะทราบว่าเสด็จแม่ทรงพอพระทัยหรือไม่ หากทำให้ทรงไม่พอพระทัย ทำผิดต่อคำสั่งของเสด็จพ่อ เช่นนั้นโทษของลูกก็คงมีไม่น้อย”
เจี่ยงฮองเฮาประเมินเขาครู่หนึ่ง “เพลานี้ฉินอ๋องกำลังได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ พระองค์ทรงมองฉินอ๋องเป็นเหมือนเสาหลักของราชวงศ์ งานเลี้ยงวันนี้เหล่าขุนนางต่างทำตัวสนิทชิดเชื้อกับเจ้า ผู้คนล้วนมาประจบสอพลอ คนดังเช่นเจ้า ข้าจะกล้าโทษอันใดได้” ตรัสจบก็โบกแขนเสื้อหันหลังกลับไป
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางจะเดินไปก็ก้มหน้าลงจนคนดูไม่ออกว่ากำลังทำหน้าเช่นใดอยู่ “เสด็จแม่ตรัสเช่นนี้ยิ่งทำให้ลูกหวั่นนัก”
เพิ่งจะตรัสจบกลับได้ยินซือเหยาอันส่งเสียงคำหนึ่ง “องค์ชายสาม…”
รอบด้านมีเสียงซุบซิบจากเหล่านางกำนัลดังขึ้น
ฉินอ๋องถลกอาภรณ์คุกเข่าลงอยู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักเฟิงจ๋าอย่างไม่มีใครคาดคิด
เจี่ยงฮองเฮาหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง เดินช้าๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อพออกพอใจแล้วขนงเรียวจึงเลิกขึ้นถาม “ฉินอ๋องทำอันใดกัน ข้ามิได้กล่าวโทษอันใดเจ้าเสียหน่อย ใต้เข่าลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ[1] ลุกขึ้นเสียเถิด”
[1] ใต้เข่าลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ ลูกผู้ชายมีศักดิ์ศรี ไม่คุกเข่าให้ใครง่ายๆ