ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 187.3 เห็นเขาแล้วหงุดหงิด (3)
“ให้ข้ากลับไปดีๆ ไม่ไปพบไท่จื่ออีก จากนั้นองค์ชายสามก็จะเตรียมรับเจ้าสาวคนใหม่เช่นนั้นหรือ” เรื่องของหานเซียงเซียง ขนาดไท่จื่อยังรู้ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร วันนี้นางหงุดหงิดอกแทบระเบิดแล้ว จึงเอาเขาเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ ขมวดคิ้วมุ่น กำกำปั้นชกสองสามที
เขาขมวดคิ้ว ให้นางทุบเป็นกลองเพื่อระบายอารมณ์อยู่สองสามที พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงจับมือนางไว้แล้วหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นว่า “เป็นไท่จื่อที่บอกเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ใครเป็นคนบอกสำคัญนักหรือ” แม้เขารูปร่างผอม แต่ทั้งร่างกับแข็งปึก ทุบไปสองทีนางกลับรู้สึกเจ็บที่กำปั้น เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตามองเขา
ใครเป็นคนพูด ย่อมสำคัญทั้งสิ้น
ไท่จื่ออยากได้นาง จึงได้พัดลมใส่ไฟเช่นนี้
เช่นนี้เขายิ่งไม่อาจวางใจได้
ให้เขาอยู่นอกกำแพงวัง คอยกังวลเช้าค่ำว่าผู้หญิงของตนจะโดนคนวางแผนทำการไม่ดีเช่นนั้น เขาทำไม่ได้
เขาอยากจะถามเรื่องศาลาริมน้ำออกไป แต่เห็นยามนี้นางอารมณ์ไม่ปกตินักจึงข่มเอาไว้ก่อน ดึงมือที่นางทุบเขาจนเจ็บมากุมไว้ โน้มตัวลงใกล้ริมฝีปากนางแล้วกล่าวเบาๆ “เรื่องบุตรสาวของหานทงนั้น ข้ารอให้งานเลี้ยงผ่านพ้นไปก่อนค่อยไปเจรจากับเสด็จพ่อ”
เห็นนางไม่พูดคำใด อีกทั้งสีหน้าดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว เขาก็โน้มคอลง “มือเจ็บหรือไม่”
นางบ่นพึมพำว่า “เจ็บเจ้าค่ะ ใครใช้ให้ร่างกายท่านแข็งเพียงนี้กัน”
“เจ้านี่อยากเล่นงานผู้ใดก็ย่อมหาเรื่องมาอ้างได้เสมอเสียจริง เจ้าทุบโดนกระดูกข้า เจ้าว่าแข็งหรือไม่” สีหน้าเข้าฉายแววเจ็บอยู่เล็กน้อย
ดวงตากลมโตของนางเจือแววเจ้าเล่ห์ “ยังจะมาเล่นลิ้นกับข้าอีก”
“เช่นนั้นมาให้ข้าเป่าให้?” กล่าวเหมือนถามแต่กลับไม่รอให้นางตอบรับหรือปฏิเสธ เขายกมือน้อยๆ สีชมพูดุจอุ้งมือแมวขึ้นมาชิดริมฝีปาก นัยน์ตาเจือรอยยิ้มบาง
นางรู้สึกจั๊กจี้ จึงใช้เข่ามาดันขาเขาไว้ “เสร็จแล้ว”
เขาเห็นสีหน้านางผ่อนคลายสบายขึ้น ก็โน้มลงไปหาใบหูเล็กๆ นั่นอีกครั้ง “เช่นนั้นวันนี้ก็พูดกับเขาให้ชัดว่าจะไม่ไปตำหนักบูรพาแล้ว?”
นางตะลึง พูดมาตั้งนาน เขาก็ยังไม่เชื่อนาง
ความจริงจะให้เขามาเชื่อนางทั้งหมดได้อย่างไร
สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานตั้งเท่าใดที่จนยามแก่เฒ่าก็ยังไม่รู้ใจกัน เขากับนางแต่งงานกันได้ไม่นาน เวลาที่ใช้ด้วยกันก็น้อยยิ่งนัก แม้กระทั่งระยะเวลาในการปรับตัวเข้าหากันยังไม่มีด้วยซ้ำ
ที่ปูทางไปเมื่อครู่ ยังไม่ทันจะเห็นผลใดๆ ก็จะปัดทิ้งเช่นนี้? ให้นางอ้วกเลือดออกมาเสียยังดีกว่า
เสียงฝีเท้าและพูดคุยของนางกำนัลดังขึ้นหลังกำแพง
นางไม่มีเวลาคุยกับเขาต่อแล้ว จึงผลักเขาออก ปรับสีหน้าให้ปกติก่อนส่งสายตาบอกเขาเป็นนัยๆ ให้เขาทีหนึ่ง แล้วจึงเดินออกไป
แม้นางจะไม่ได้รับปากเขาไป แต่เขากลับมองออกอย่างชัดเจนว่า นางปฏิเสธ
งานเลี้ยงฉลองพระชนม์ขององค์ฮองเฮาสิ้นสุดลง ในวังต่างวิ่งวุ่นรีบจัดเตรียมเทศกาลตรุษจีนกันต่อ
หนิงซีฮ่องเต้พระวรกายดีขึ้นบ้างแล้ว รวมกับผู้ดูแลข้างกายปรนนิบัติรับใช้ได้ดี ไม่ถึงสองวันหลังจากมีงานเลี้ยงก็ลงจากเตียงมาเดินเหินได้ด้วยองค์เองแล้ว ยามที่อากาศดีๆ นั้น ก็ทรงออกไปเดินเล่นทอดอารมณ์
เพียงแต่ว่าในวันที่พระอาการดีขึ้นแล้วนั้น ฉินอ๋องก็ยื่นคำร้องด้วยความสัตย์ต่อพระองค์ ณ พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ว่าด้วยเรื่องขอปฏิเสธการอภิเษกสมรสกับบุตรสาวหานทง ซ้ำคำพูดของเขาก็หนักแน่นมาก
หนิงซีฮ่องเต้แม้จะรู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควรนักที่ฉินอ๋องกับชายาเพิ่งจะแต่งกันได้ไม่นานก็ไปเพิ่มภรรยาคนใหม่ให้ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ฮองเฮาเสนอขึ้นมา ซ้ำยังมีเหตุมีผล
ฮ่องเต้กับเจี่ยงฮองเฮานั้นเป็นคู่ครองกันมาหลายสิบปี นางสงบเสงี่ยมและสง่างามยืนอยู่เหนือผู้คนมาแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้นางไม่เคยขอร้องอันใดพระองค์มาก่อนเลย จึงไม่อยากปัดความต้องการของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เรื่องที่พระองค์ทรงล้มป่วยหนักเรื่องนี้ เนื่องจากทางตอนเหนือไม่สงบนัก ไม่อยากป่าวประกาศออกไปในยามนี้ จึงอยากปิดบังไปพลาง รักษาตัวไปพลาง ไม่แน่ว่าสวรรค์อาจจะประทานพรให้อาการประชวรครานี้ค่อยๆ ดีขึ้น ดังนั้นจึงรู้สึกผิดไม่น้อยที่ปิดบังคนทั้งใต้หล้า รวมถึงเจี่ยงฮองเฮาด้วย
ฝ่าบาททรงทราบดีว่ายามที่อาการทรุดหนักนั้น มีเพียงพระสนมม่อที่อยู่ดูแลตน ในใจฮองเฮาต้องมีความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงให้จัดงานเลี้ยงฉลองพระชนม์ชดเชยแก่นางอย่างใหญ่โตเลี้ยงแขกเหรื่อและขุนน้ำขุนนางมากมาย
ในตอนนั้นที่ปฏิเสธการร้องขอจากฮองเฮาให้ถอดตำแหน่งพระชายาของอวิ๋นหว่านชิ่น หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกว่าตนกล่าวน้ำเสียงรุนแรงเกินไป ยังจะมีหน้าไปทำลายข้อเสนอนี้ที่นางยื่นมาอีกได้อย่างไร
คิดได้ดังนั้น หนิงซีฮ่องเต้จึงมิได้รับปากกับฉินอ๋อง ตรัสเพียงว่าค่อยว่ากันใหม่ภายหลัง
ภายหลัง? รอจนมีคำวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องงานสมรสพระราชทานนี้ของผู้คนแพร่กระจายจนทั่ว ประกาศราชโองการออกไป จะขอร้องอย่างไรก็หมดหนทางแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจได้ในทันที จึงเปลี่ยนเวรกับเยี่ยนอ๋องและองค์ชายองค์อื่น รีบไปคุกเข่าขอร้องอย่างจริงใจที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เมี่ยวเอ๋อร์ทราบเรื่องนี้เข้า ก็ไปเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้อยู่สองสามคำ ทำเอาหนิงซีฮ่องเต้ลำบากใจทำอันใดไม่ถูก
หลายวันต่อมา เจี่ยงฮองเฮาได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเลื่อนการแต่งบุตรสาวสกุลหานเข้าจวนฉินอ๋องออกไป จึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อรู้ว่าพระองค์โดนรบเร้าขอร้องทั้งสองด้าน จิตใจฝ่าบาทยามนี้คงถูกโน้มน้าวไปได้แล้ว ยามนี้มาคิดดูความโกรธในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ไป๋ซิ่วฮุ่ยปลอบว่า “เพียงแค่ช้าลงเท่านั้น มิได้ทรงยกเลิกนะเพคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทยังคงโน้มเอียงมาทางเหนียงเหนียงอยู่ครึ่งหนึ่ง ผ่านไปอีกหน่อยเหนี่ยงเหนียงค่อยไปกระตุ้นใหม่ ความคิดของฝ่าบาทก็จะกลับมาฝั่งเราดังเดิม…”
ยังไม่ทันจะตรัสอะไร ก็ได้ยินเสียงสตรีอ่อนหวานดังขึ้นมาจากหน้าประตู “ไป๋ลิ่งเหรินพูดได้ถูกเพคะ เพียงแต่ว่าไม่ต้องรอให้วันเวลาผ่านไป อีกสองวันก็จะเป็นคืนส่งท้ายปี หากว่าตามธรรมเนียมของวังหลวงแล้ว คืนวันนั้นฮ่องเต้ ไท่จื่อ ฮองเฮา องค์หญิง และเหล่าบรรดาชินอ๋อง จวิ้นอ๋องต่างรวมตัวกันที่ตำหนักฉือหนิงเพื่อร่วมเสวยพระกายาหารกับองค์ไทเฮาอย่างรื่นเริง มิใช่โอกาสที่ดีหรือ ถึงเวลานั้นราชวงศ์ทุกพระองค์ล้วนอยู่ที่นั่น หากฮ่องเต้ทรงรับปากต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้ ก็จะมิสามารถกลับคำอันใดได้อีก!”
เจี่ยงฮองเฮาหันไปมองตามเสียง เจี่ยงอวี๋เดินเข้าประตูมากับนางกำนัลของตน ถวายคำนับ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ถวายพระพรฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ”
งานเลี้ยงวันนั้น หลังจากที่เจี่ยงอวี๋อ้างป่วย เจี่ยงฮองเฮาก็ไม่ได้พบหน้าหลานสาวคนนี้หลายวัน วันที่สองนั้นความโกรธลดลงมาบ้างแล้ว ยามส่งมอมอให้ไปเยี่ยมพระนัดดาน้อยที่ตำหนักบูรพาก็ให้ไปดูทางเจี่ยงอวี๋ด้วย มอมอกลับมาทูลว่านางป่วยจริงๆ เห็นนางกำนัลของตำหนักบูรพาถือยาเข้าไป ซ้ำหน้าต่างประตูก็ปิดเสียมิดชิด
เจี่ยงฮองเฮายามนี้เห็นเจี่ยงอวี๋มาหา ก็ทอดพระเนตรมองนางด้วยท่าทางที่อ่อนโยนกว่าวันก่อนๆ อยู่บ้าง มาถึงก็เสนอความคิดดีๆ ออกมาได้เช่นนี้ ความโกรธกริ้วที่ยังหลงเหลืออยู่ของฮองเฮาพลันมลายหายสิ้น
เด็กคนนี้คงจะกลัวว่าการอ้างป่วยจนไม่มาร่วมงานเลี้ยงจะไปยั่วโมโหตนเข้า ครั้งนี้นับว่ารู้ประสานัก เจี่ยงฮองเฮาก็ไม่จู้จี้อะไรอีก ส่งเสียงรับคำ “นานๆ ทีเจ้าจะฉลาดสักคราหนึ่ง ไม่กวนโมโหข้า เสนอความคิดดีๆ ให้ข้าก็เป็นด้วย”
เจี่ยงอวี๋ยิ้มแย้มเดินไปยังด้านหลังของเจี่ยงฮองเฮาแล้วทุบนวดไหล่เบาๆ ใช้น้ำเสียงประจบกระแจงกล่าวว่า “งานเลี้ยงวันนั้น เป็นเพราะเรื่องเล็กๆ ของอวี๋เอ๋อร์แท้ๆ จึงมิได้เข้าร่วมงานฉลองพระชนม์ของกูกูเช่นนี้ น่าตีเสียจริง ครานี้อวี๋เอ๋อร์จึงเค้นสมองคิดหาทางช่วยกูกูเพื่อชดใช้ความผิดคราก่อนเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮานานๆ ครั้งจะได้ยินคำพูดรื่นหูของนาง สมัยก่อนทุกคราที่มา หากไม่มาด้วยเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกับเหล่าสตรีตำหนักบูรพา ก็เรื่องให้ช่วยนางให้ได้เป็นพระชายาของไท่จื่อ วันนี้นิสัยได้เปลี่ยนไปแล้ว “เจ้าน่ะ หากเป็นเช่นนี้ได้แต่แรก กูกูก็คงไม่ต้องดุด่าเจ้าทุกคราหรอก”
พอตรัสจบก็เห็นเจี่ยงอวี๋เดินมาหน้าพระพักตร์ คุกเข่าลง นัยน์ตาปริ่มน้ำมองมาที่เจี่ยงฮองเฮา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เมื่อก่อนอวี๋เอ๋อร์เห็นแก่ตัว รักแต่ตัวเอง มิเคยนึกถึงกูกู โดนกูกูกระตุ้นเตือนถึงจะดีขึ้นมา มิเคยแบ่งเบาความกังวลพระทัยจากกูกูมาเลยสักครา ยามนี้ข้าคิดได้แล้ว หากกูกูได้ดี ข้าก็ได้ดี เมื่อก่อนข้าช่างโง่เขลานัก โง่เขลาเหลือเกิน!” ประโยคสุดท้ายสะอึกสะอื้นเสียจนคอแหบคอแห้ง อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความจริงใจจนคนฟังรู้สึกได้ว่านางไม่ได้โป้ปดแม้แต่น้อย