ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 188.1 งานฉลองก่อนวันปีใหม่ในราชวงศ์ (1)
เจี่ยงฮองเฮาเห็นนางกล่าวโทษตัวเองเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกๆ จึงดึงนางลุกขึ้น “ในเมื่อรู้ว่าผิดแล้ว ก็ลุกขึ้นเถิด”
เจี่ยงอวี๋สะอื้น ฮึกๆ จับข้อมือเรียวของเจี่ยงฮองเฮาพยุงตัวเองขึ้น
ในมื่อรู้ถึงข้อดีข้อเสียและก็เข้าใจดีแล้ว เจี่ยงฮองเฮาจึงไม่ตระหนี่ของรางวัล ซ้ำยังไม่ฉงนสงสัยนัก ตรัสว่า “งานฉลองในราชวงศ์มะรืนนี้ เจ้าก็เข้าร่วมเสีย”
เจี่ยงอวี๋ดีใจ แต่ก็กลับซึมลงอีก “กูกู ข้าเป็นเพียงเหลียงตี้ในตงกง จะมีสิทธิ์อันใดไปร่วมงานฉลองที่มีแต่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงได้เล่าเพคะ”
“ฐานะของชายารองตงกงนั้นไม่พอก็จริง แต่เจ้าเป็นหลานสาวของข้า แค่นี้ก็พอแล้ว” เจี่ยงฮองเฮายกยิ้ม
ไม่กี่วันก่อนทรงโกรธหลานสาวคนนี้เหลือคณา ดวงตาคู่นั้นนอกจากคอยจ้องแต่สตรีที่ไท่จื่อทรงโปรดปรานก็ไม่มองอะไรอีกเลย พาออกงานก็พลอยแต่จะขายขี้หน้าคน ในเมื่อวันนี้นางรู้ถูกรู้ควรแล้ว ซ้ำปากก็หวานขึ้นมามาก เพิ่มผู้ช่วยซ้ายขวาให้นางไปสักหน่อยก็ได้แล้ว
เจี่ยงอวี๋ยินดีอย่างล้นปรี่จึงไปกอดแขนเจี่ยงฮองเฮาไว้ “ขอบพระทัยกูกูเพคะ” แต่สีหน้าดีใจนั้นก็มีความกลัดกลุ้มขึ้นมาอีก “จริงสิ กูกูเพคะ หลายปีมานี้บิดาข้ามิได้เข้าวังมาเยี่ยมเยีอนท่านเลย ข้าได้ยินว่าช่วงนี้เขาโชคไม่ดีนักกับการรับราชการ หากได้เข้าร่วมงานครั้งนี้คงดีไม่น้อย ไม่เพียงจะอยู่ในสายตาฮ่องเต้ หากได้ผูกสัมพันธ์กับเหล่าชินอ๋อง จวิ้นอ๋องไม่ว่าจะท่านใด ภายหน้าล้วนเป็นเส้นสายที่ดีได้แน่”
บิดาของเจี่ยงอวี๋ก็คือน้องชายของเจี่ยงฮองเฮา นิสัยซื่อสัตย์ สติปัญญาและความสามารถธรรมดา ไม่โดดเด่น ต้องอาศัยเจี่ยงฮองเฮาถึงจะได้ตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงนี้ ยามนี้กินๆ นอนๆอยู่ที่กองการทูต แต่กลับเลื่อนตำแหน่งไปถึงขั้นสี่มิได้
บิดาของเจี่ยงอวี๋ไม่รู้หนักรู้เบา เจี่ยงฮองเฮานั้นทราบข้อนี้ดี เขาเป็นคนความอดทนต่ำ ไม่รู้จักคบหาผู้คน โชคของเขาในแวดวงขุนนางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ยามนี้คว้าตำแหน่งที่รายได้ดีมาได้เขาก็พอใจเหลือล้นแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เคยให้ความสำคัญกับเขาเลย แต่น้องชายคนนี้ยังมีข้อดีที่คนอื่นขาด นั่นก็คือความซื่อสัตย์ ระมัดระวังคำพูดคำจา ดังนั้นเรื่องที่ไม่ควรพูดในปีที่ผ่านๆ มา นางกลับวางใจที่จะให้เขาไปจัดการนัก
เจี่ยงอวี๋ทูลเช่นนี้ เจี่ยงฮองเฮาก็นึกถึงน้องชายคนนี้ขึ้นมาได้ “ยัยเด็กคนนี้นี่ นึกว่าเจ้าจะรู้จักหึงหวงบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว ที่แท้ยังมีความกตัญญูรู้คุณกังวลถึงคนในครอบครัวอยู่บ้างนี่ ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะหาเรื่องออกปากให้คนไปเรียกบิดาเจ้าพาพี่ชายเจ้าเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีด้วยกัน”
ป้าหลานพุดคุยหัวเราะกันสักพัก เจี่ยงฮองเฮาถูกเจี่ยงอวี๋เอาอกเอาใจจนพระทัยสบายปลอดโปร่ง แต่กลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “จริงสิ เซี่ยวเอ๋อร์ดีขึ้นหรือยัง”
วันก่อนเจี่ยงฮองเฮาให้มอมอไปเยี่ยมหลานชายที่ตงกงเช่นก่อนๆ หลานเจาซวิ่นบอกว่าพระนัดดาน้อยป่วยเป็นไข้ หมอหลวงของตงกงกำชับว่าทารกน้อยไม่ควรตากแดดตากลม ยามนี้ควรปิดเรือนเฝ้าดูแล อย่าเพิ่งพบใครเป็นดีที่สุด
มอมอทราบว่าฮองเฮาให้ความสำคัญกับพระนัดดาน้อยพระองค์นี้มาก ในเมื่อหมอหลวงกำชับมาเช่นนี้ ก็ไม่กล้าขัดอะไร ทำเพียงมองลอดประตูหน้าต่างมองอยู่ไกลๆ แล้วกลับมากราบทูลฮองเฮาเท่านั้น
เจี่ยงอวี๋ได้ฟังก็กล่าวเสียงอ่อนโยน “เพคะ ได้ยินว่าพระนัดดาน้อยมีอาการไอเล็กน้อย ออกไปตากแดดตากลมไม่ได้ แต่รู้สึกว่าวันนี้จะอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากนัก น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ กูกูวางใจเถิดเพคะ ระยะนี้ท่านก็ไม่ต้องส่งคนไปดูแล้ว ยามข้ามาเข้าเฝ้าจะกราบทูลให้ทราบเอง”
เจี่ยงฮองเฮาคิดว่าอาการคงไม่หนักมากนัก มิเช่นนั้นไท่จื่อคงเรียกหมอหลวงจากสำนักแพทย์หลวงไปดูอาการแล้ว ป้าหลานพูดคุยกันอีกเล็กน้อย สีพระพักตร์ฮองเฮาก็เริ่มอ่อนล้า เจี่ยงอวี๋จึงไม่อยู่ต่อนาน ทูลลาออกจากตำหนักเฟิงจ๋าไป
กลับมาถึงตงกงก็เป็นเวลาที่ต้องจุดตะเกียงแล้ว เจี่ยงอวี๋เดินไปยังเรือนของตัวเอง ยังไม่ทันจะถึงก็เห็นสตรีนางหนึ่งยืนรออยู่ด้านล่างระเบียง
สตรีนางนั้นสวมผ้าไหมงามของวังหลวง มองดูก็รู้ว่าเป็นเจ้าขุนมูลนาย อายุอานามไม่มากนัก ใบหน้าบวมเล็กน้อย หน้าอกโต รูปร่างเหมือนคนออกเรือนแล้วเพิ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานนัก ข้างกายมีคนแต่งตัวเหมือนนางกำนัลกำลังพยุงนางไว้
สตรีวัยเยาว์เห็นชายารองเจี่ยงกลับมาแล้วก็เดินซวนเซเข้าไปหา เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนางก็ไม่กล้าส่งเสียง ทำเพียงดึงแขนเสื้อนางไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ กดเสียงเบากล่าว “ชายารอง จะทรงคืนเซี่ยวเอ๋อร์มาให้หม่อมฉันเมื่อใดหรือเจ้าคะ…ท่านทำอันใดเขาหรือไม่ เขายังเด็กนัก คงรับไม่ไหว ขอร้องล่ะ คืนเขามาให้หม่อมฉันเถิดเจ้าค่ะ”
เจี่ยงอวี๋สะบัดมือออก ท่าทางอ่อนน้อมกตัญญูยามอยู่ที่ตำหนักเฟิงจ๋าได้หายไปจนสิ้น นางยิ้มเย็นว่า “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทำเพื่อลูกชายของเจ้าได้ถึงขั้นใด!”
ภายในตำหนักซงหยวน เกศาดำขลับสยายแผ่บนไหล่กว้างของบุรุษผู้หนึ่ง บีบเบาๆ สั่นช้าๆ ให้กระดิ่งสั่นจนเกิดเสียงกังวานใส
ด้านนอกประตูนั้น ขันทีคนสนิทกลับมารายงานด้วยความระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ชายารองกลับมาจากตำหนักเฟิงจ๋าแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลานเจาซวิ่นก็ไปข้อร้องอ้อนวอนกับนางแล้ว…ถึงอย่างไรพระนัดดาน้อยก็ยังอายุน้อยนัก…”
สองวันก่อนชายารองเอาตัวพระนัดดาน้อยมาใช้ข่มขู่หลานเจาซวิ่น ไท่จื่อแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ใช้ข้ออ้างว่ามีงานราชการหนีเข้าห้องหนังสือหลบหน้าหลานเจาซวิ่น
นับได้ว่าไท่จื่อทรงเกลียดชายารองเข้าไส้ หากนางไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เป็นสุนัขจนตรอกขึ้นมาแล้วลงมือทำอันใดกับพระนัดดาน้อยจริงๆ…
ไท่จื่อแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ชักมือกลับ เสียงพิณก็หยุดลง แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือช้าๆ
ก่อนงานฉลองส่งท้ายปีของราชวงศ์หนึ่งวัน ตงกงส่งคนมาบอกอวิ๋นหว่านชิ่นที่สำนักฉางชิงว่าถึงเวลานั้นให้ไปร่วมงานที่ตำหนักฉือหนิงด้วย
เนื่องจากนางยังมีโทษอยู่ จึงให้เดินทางไปพร้อมกับคนของตงกงแทน
แม่ชีที่ดูแลรับผิดชอบชินเสียแล้วที่ระยะนี้เห็นตงกงให้พระชายาฉินอ๋องทำนั่นทำนี่ จึงกล่าวว่า “ถึงเวลาจะเตือนพระชายาอีกที” แล้วหันมามองอวิ่นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่หลังตนคราหนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางมารับปากคนตงกง
งานเลี้ยงของราชวงศ์นี้ เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์มากมายล้วนเข้าร่วม คนใจแคบนั่นก็ไม่ยกเว้น…หากเขาเห็นนางอยู่กับไท่จื่อล่ะก็ ใบหน้าก็ต้องมืดครึ้มหลายส่วน ถึงเวลาเจอหน้ากันก็คงไม่พ้นโดนบ่นนั่นบ่นนี่เป็นแน่ น่ารำคาญนัก
อวิ่นหว่านชิ่นเบะปาก “ต้องไปหรือ”
กงกงตงกงตกใจ เดินเข้ามากระซิบเป็นนัยข้างหูนางว่า “วันนั้นพระชายารองไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ได้ยินว่าก็จะเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วยขอรับ”
อวิ่นหว่านชิ่นเข้าใจโดยพลัน งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ ตั้งแต่หมอหลวงอาวุโสดูอาการให้เจี่ยงอวี๋แล้ว นางก็ไม่เห็นจะเคลื่อนไหวอะไร หลังจากพักไปสองสามวันก็เฝ้าไปถวายพระพรเจี่ยงฮองเฮาได้ทุกวี่วัน ซ้ำมิได้แสดงอาการใดออกมาแม้แต่น้อย
เดิมนางคิดว่าเจี่ยงอวี๋จะเกรงอำนาจของฮองเฮาและความสัมพันธ์ในเครือญาติจึงกลืนความโกรธนี้เอาไว้ในใจไปแล้ว ไม่คิดว่าที่แท้เพราะฝนจากภูเขากำลังจะมาลมจึงพัดไปทั่วหอสูง[1]เช่นนี้
นางพยักหน้าก็ไม่พูดมากความอีก “เพคะ ถึงเวลานั้นหม่อมฉันจะไปร่วมด้วย”
เมื่อถึงวันงานฉลอง ตำหนักฉือหนิงล้วนประดับตกแต่งโคมไฟทั้งนอกในส่องแสงสว่างไสวไปทั่ว เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นและบรรดามอมอตงกงมาถึงหน้าประตูก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
นอกตำหนักฉือหนิงอันเงียบสงบนั้น บรรดาเกี้ยวที่จอดเรียงรายอยู่แสดงถึงฐานะของเจ้าของแต่ละระดับแตกต่างกันไป ยามนี้มีพระญาติบางส่วนเข้าตำหนักไปแล้ว
นางยังคงแต่งตัวเป็นศิษย์ในอารามแม่ชีอย่างงามสง่า สวมชุดเขียวมรกต เกล้าผมอย่างเรียบง่ายแล้วปักด้วยปิ่นหยกขาว หน้าตาสะอาดสะอ้าน ใบหน้างดงามยากจะหาใครเปรียบได้ ท่ามกลางเหล่าสตรีที่มาร่วมงาน ณ ตำหนักฉือหนิงในวันนี้ นางก็ยิ่งโดดเด่น
เพิ่งจะเดินเข้าตำหนักมากับเหล่ามอมอได้ไม่ทันไรก็มีน้ำเสียงยินดีของสตรีนางหนึ่งลอยมา “พระชายาฉินอ๋อง?”
[1] ฝนจากภูเขากำลังจะมาลมจึงพัดไปทั่วหอสูง ความตึงเครียดก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งหรือสงคราม