ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 194.2 ความเศร้าโศกของโอรสแห่งสวรรค์ (2)
ชีวิตสุขสบายงั้นรึ เกรงว่าคงไม่
ตอนนี้เขาสามารถสำเร็จราชการแทน หนึ่งในสาเหตุคือการเกลี้ยกล่อมของเหยาฝูโซ่ว แต่สาเหตุสำคัญ คือส่วนราชการว่างเปล่าเป็นช่วงเวลาใช้คน เกรงว่าฮ่องเต้มิทรงไว้ใจให้อำนาจตกอยู่ในมือคนนอก จึงทำให้ฉินอ๋องได้รับโอกาสนี้ไป
เมื่อไหร่ที่บาดแผลไท่จื่อดีขึ้น หรือว่าฮ่องเต้ทรงเลือกองค์ชายท่านอื่นที่ถูกพระทัยได้แล้ว ฉินอ๋องก็จะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย อย่างไรเสียอำนาจการสำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ต้องส่งคืน
ถึงเวลานั้น เขาจะยอมคืนอำนาจอย่างเต็มใจหรือ
ความรู้สึกที่ได้กุมอำนาจจนเคยชิน มีใครบ้างที่จะยอมกลับมานั่งตั่งที่เย็น[1]
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังคำปลอบใจของเจิ้งหวาชิว ก็มิได้พูดอะไรมาก เพียงยิ้มแผ่วเบาพลางเอ่ย “หากเป็นผู้อื่นพูดคำนี้ถือว่ามิเป็นไร เจิ้งกูกูเป็นหญิงฉลาด มิควรพูดคำเด็กๆ เช่นนี้ หากท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ สายตากี่คู่ในส่วนราชการก็ต้องจับจ้องเขาไม่ห่าง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไม่อยากทำก็ปฏิเสธมิได้ ส่วนข้าก็ต้องปฏิบัติตามไปด้วย ไม่แน่อาจสู้แต่ก่อนยังมิได้เลย”
มันก็จริง เจิ้งหวาชิวพยักหน้าหงึกๆ แต่แล้วกลับเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร โดยรวมก็ถือว่าเป็นมงคลนะเจ้าคะ อีกอย่าง ไม่พูดเรื่องฉินอ๋องแล้ว พระชายาเอกจะได้ออกจากที่บ้าๆ แห่งนี้เร็วๆ นี้แล้ว เมื่อวานก่อนสนมม่อไปรายงานอาการประชวรของฝ่าบาทให้แก่ไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิง สนมตีวัวกระทบคราดเอ่ยถาม แล้วไทเฮามีความหมายประมาณว่า แท้จริงแล้วในงานฉลองส่วนพระองค์พระนางเตรียมจะประทานอภัยโทษให้แก่ท่านแล้ว แต่ดันประสบเรื่องฮองเฮาเสียก่อน จึงทำให้ล่าช้า แล้วยังตรัสอีกว่ารอฝังพระศพฮองเฮาเสร็จแล้ว จะให้ท่านออกจากพระราชวังอย่างเป็นทางการทันที”
เมื่อเอ่ยถึงเจี่ยงฮองเฮา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเอ่ยถาม “เรื่องงานพระศพฮองเฮา ฮ่องเต้ดำเนินการอย่างไร”
เจิ้งหวาชิวตอบ “คนตายแล้ว แล้วยังมิได้พิพากษาคดีอย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้ข้าสังเกตฮ่องเต้ พระองค์มิอยากสืบสวนต่อแต่อย่างใด ยังคงใช้พระสมัญญานามฮองเฮาในพระราชโองการ ฝังพระศพในสุสานราชวงศ์ แต่ว่าพระนางมีความผิดติดตัว พิธีศธจึงได้จัดแบบเรียบง่ายและประหยัดโดยทั้งหมด เรียบง่ายยิ่งกว่างานศพของตำแหน่งสนมเสียอีก เมื่อหลายวันก่อนข้าเดินผ่านตำหนักเฟิงจ๋า ด้านนอกแม้แต่ร่างคนยังไม่มี ด้านในก็หามีไฟจุด เย็นเยียบเงียบสงัด…รอเพียงวันออกจากพระราชวังในวันพรุ่งนี้”
ก็จริง เจี่ยงซื่อสิ้นพระชนม์อย่างน่าสะพรึงต่อหน้าฮ่องเต้ แม้มีความผิดต่างๆ นานาติดตัว…แต่เพราะสิ้นชีพแล้ว ความผิดก็สามารถหักล้างไปได้
ไม่เพียงแต่หักล้างได้ เกรงว่าเพลานี้ฮ่องเต้ยังสงบพระทัยไม่ได้เลย
ตอนที่เจี่ยงซื่อพุ่งเข้าหามีดจนสิ้นพระชนม์ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เมื่อตอนถูกเมี่ยวเอ๋อร์พยายามพากลับ เต็มไปด้วยความโศกเศร้า สิ้นหวัง เหมือนใจที่ตายด้าน…เวลานี้อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังจำได้มิลืม
ช่วงขณะนั้น นางถึงขั้นรู้สึก หากเจี่ยงซื่อตาย ฮ่องเต้ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ชายหนุ่มหนึ่งคนหากไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อหญิงสาวหนึ่งคน เขาจะไม่มีวันแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมาได้แน่
นางเชื่อว่าฮ่องเต้มีความรู้สึกต่อเจี่ยงซื่อ ถึงกระทั่งมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งพอสมควร
เพียงแต่ว่า อันชายหนุ่มนั้นเป็นฮ่องเต้ ข้างกายเขามีผู้หญิงมากมาย หมู่ดอกไม้มักทำให้คนละเลยความรู้สึกของภรรยาข้างกาย
ผนวกกับเจี่ยงซื่อภายนอกที่ไร้ปฏิกิริยาใดๆ จึงยิ่งทำให้เขาเสพสุขกับหญิงอื่นได้อย่างไม่รู้สึกอันใด กับการคล้อยตามทุกอย่างของนาง
จนกระทั่งไม่รู้วิธีทำให้สามีมีความสุขอย่างเจี่ยงซื่อ จึงทำได้เพียงเลือกวิธีที่เด็ดขาดที่สุด ถึงจะเรียกความไม่รู้ตัวภายในใจของฮ่องเต้กลับคืนมาได้
หากกล่าวเช่นนี้ ทั้งพระราชวังแห่งนี้ ผู้ที่เศ้าโศกเสียใจกับการสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงซื่อที่สุดก็คงมิพ้นฮ่องเต้
สองคนพูดคุยกันหลายประโยค เวลาสายมากแล้ว แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นใกล้จะได้ออกจากวัง จิ้งอี้ก็ไม่กล้าทำอะไรแล้วเช่นกัน อยู่นานกว่านี้เกรงว่าก็อาจไม่ดีเท่าไหร่
เจิ้งหวาชิวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ตะวันเริ่มลับฟ้า จึงกล่าวลาเดินออกจากอารามฉางชิง
ในเวลาเดียวกัน ภายในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
หนิงซีฮ่องเต้เพิ่งเสวยพระโอสถและไม่รับพระกระยาหารมื้อค่ำเป็นครั้งที่สอง
เมื่อเห็นสองพระปรางซูบตอบ มีสีครามเข้มของฮ่องเต้ เหยาฝูโซ่วรู้สึกร้อนรนราวกับไฟเผากลางอก ตั้งแต่ฮองเฮาเสด็จสวรรคต ฮ่องเต้ก็มิรับพระกระยาหารดีๆ เลยสักมื้อ สามารถฝืนทนกินพระโอสถเข้าไปได้ถือว่าดีมากแล้ว
เขาสบตากับสนมม่อที่อยู่ข้างพระแท่นบรรทม พยายามเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาท เสวยหน่อยนะเพคะ”
“ข้าบอกแล้ว ข้าไม่อยากกิน” หนิงซีฮ่องเต้หาใช่ว่าไม่หิว แต่กลางพระอุระมันจุกราวกับมีสิ่งใดอุดไว้
“ถึงแม้ฝ่าบาทไม่อยาก ก็ฝืนกลืนเข้าไปสักคำสองคำเถิดนะเพคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สุขภาพจะทรงแย่นะเพคะ แม้ว่ายาช่วยได้แต่มันก็ไร้ประโยชน์” เมี่ยวเอ๋อร์ยังคงเกลี้ยกล่อม
หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกเบื่อหน่ายจึงปัดถ้วยซุปผักหกกระจายเต็มพื้น “ข้าบอกแล้วว่าไม่กินๆ ฮองเฮาสวรรคตแล้ว พวกเจ้าจะบีบข้าให้ตายด้วยรึอย่างไร”
ประโยคนี้โพล่งออกไป ทันทีที่ความโมโหของชายหนุ่มร่างอ่อนระทวยบนพระแท่นบรรทมหยุดลง รอบดวงตาแดงก่ำ พระเศียรก้มลง ตัวสั่นหงึกๆ เบาๆ
เมี่ยวเอ๋อร์กับเหยาฝูโซ่วคุกเข่าลงทันที “ขอประทานอภัย เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เสียงเท้ากระทบพื้นอันแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอกผ้าม่าน มีเงาร่างอันเพรียวงามเดินเข้ามาโดยมิผ่านการรายงาน “เหยากงกง สนมม่อ พวกเจ้าเก็บถ้วยให้เรียบร้อย ออกไปก่อนเถิด ข้าขอพูดกับฝ่าบาทหน่อย”
ทั้งสองคนหันมองตามเสียง สนมเอกเฮ่อเหลียนนั่นเอง ซึ่งมาโดยมิได้เชิญ
เฮ่อซื่อสวมใส่เครื่องทรงสีฟ้าอัมพรสวยสง่า ด้านหลังมีหลานถิงกับชิงฉานตามมาด้วย นางยังคงเป็นเหมือนวันวาน กิริยาอ่อนน้อม แววตานุ่มนวล เวลาเอ่ยกล่าวก็เต็มไปด้วยความถ่อมตน
ฮ่องเต้ล้มประชวรอีกครา ยังคงประกาศไว้ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยพลการ วันนี้สนมเอกมาได้อย่างไร
สนมเอกเป็นคนคุ้นเคย หากมีนางช่วยอีกแรง บางทีฮ่องเต้อาจรู้สึกดีขึ้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เหยาฝูโซ่วจึงมิได้ขวางกั้นสนมเอก ส่งแววตาทีหนึ่งให้กับสนม แล้วหยกเศษถ้วยชามที่แตกเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
หนิงซีฮ่องเต้จมอยู่กับความโศกเศร้า จึงมิทันสังเกต เวลาผ่านไปครู่หนึ่งถึงเงยศีรษะขึ้นพลางขมวดคิ้ว “เจ้ามาทำอันใด ข้าเรียกเจ้าหรืออย่างไร เหยาฝูโซ่ว เหยาฝูโซ่ว ทาสไม่ได้เรื่อง ไปไหน——”
ตรัสยังมิทันจบ ได้ยินเพียงเสียงสนมเอกเฮ่อเหลียนที่เอ่ยขณะคุกเข่า “ขอแสดงความเสียใจเพคะฝ่าบาท หากฮองเฮาทรงทอดพระเนตรเห็นฝ่าบาทเช่นนี้ พระนางก็คงเสียพระทัยมิต่างเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้เงียบสงัด คิดไม่ถึงนางเดาพระทัยตนออก
เหยาฝูโซ่วกับคนอื่นคิดถึงแต่เพียงว่าพระองค์เป็นเช่นนี้เพราะคิดว่าตนลงมือฆ่าเจี่ยงซื่อ ทำให้ยังไม่ฟื้นตัวกลับคืนจากความกลัวตกใจ แต่นางกลับเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตนนั้นเป็นเช่นนี้เพราะรู้สึกโศกเศร้าเสียพระทัย
พระองค์จึงไม่ไล่สนมเอกเฮ่อเหลียนออกไป ตรัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “นางจะเสียใจได้อย่างไร เพราะข้า——” แล้วหยุดตรัส “นางเกลียดชังข้ามากกว่า”
สนมเอกเฮ่อเหลียนเดินเข้าใกล้ฉากกั้นลมอย่างช้าๆ หยิบเสื้อคลุมหนาต้าฉ่างคลุมให้กับฮ่องเต้พลางจัดคอปกเสื้อ จากนั้นย่อตัวลงสวมรองพระบาทให้กับพระองค์
“สนมเอกนี่ทำอันใด” หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกงงงวย
“วันรุ่งเช้าฮองเฮาจะเสด็จออกจากพระราชวังแล้ว หม่อมฉันจะพาฝ่าบาทไปเยี่ยมพระนางเพคะ หากมิได้พบแม้แต่ครั้งสุดท้าย พระทัยของฝ่าบาทจะมีปมๆ หนึ่งไปตลอดนะเพคะ” เสียงนุ่มนวลของสนมเอกเฮ่อเหลียนช่วยบรรเทาความโศกเศร้าได้ เป็นเสียงพูดไม่ช้าไม่เร็ว นุ่มพลิ้วราวกับแม่น้ำในลำธารกลางหุบเขา ไหลเข้าไปยังกลางใจที่ขาดสะบั้นมาหลายวันของฮ่องเต้
ข้อเสนอนี้ ตรงตามพระทัยฮ่องเต้
ยิ่งได้รู้ว่าเจี่ยงซื่อจะถูกนำพระศพไปฝังในวันพรุ่งนี้ วันนี้หนิงซีฮ่องเต้ใจว้าวุ่นไม่นิ่งตลอดทั้งวัน
หนิงซีฮ่องเต้ซาบซึ้งกุมมือสนมเอกเฮ่อเหลียนตรัส “อวี้เยียน คิดไม่ถึงเลยว่าในวันที่ข้าเศร้าใจเป็นที่สุด คนที่เป็นห่วงที่สุด รู้ใจที่สุดจะเป็นเจ้า”
สนมเอกเฮ่อเหลียนเงยศีรษะจ้องพระพักตร์ชายหนุ่มตรงหน้า เค้าโครงเว้าชัด ซูบโทรมไม่น้อย
ชายหนุ่มคนนี้เคยรักตน เย็นชากับตน แล้วรักตนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เวลาเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่าง
[1] ตั่งที่เย็น หมายถึง การอุปมาตำแหน่งงานที่ว่างและไม่มีงานทำ