ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 194.3 ความโศกเศร้าของโอรสแห่งสวรรค์ (3)
ริมฝีปากสนมเอกเฮ่อเหลียนเผยรอยยิ้มนิ่มนวล “เสด็จกันเถิดเพคะเวลาสายมากแล้ว ด้านนอกอากาศหนาว อาจไม่ดีต่อสุขภาพของฝ่าบาทนัก รีบเสด็จไปเสด็จกลับเถิดนะเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้เพลานี้ราวกับต้องมนต์สะกด ประหนึ่งเด็กน้อยเชื่อฟังคำของแม่พยักหน้าหงึกๆ
สนมเอกเฮ่อเหลียนให้ชิงฉานบอกกล่าวหย่าฝูโซ่วเสียหน่อย ให้หลานถิงถือโคมไฟตามหลัง ส่วนนางนั่งเคียงข้างฮ่องเต้บนเกี้ยวภายใต้ค่ำคืนพอมีแสงสลัวตรงไปยังตำหนักเฟิงจ๋า
ตำหนักเฟิงจ๋า เหลือร่างคนเพียงไม่กี่คนจริงๆ
ขันทีเฝ้าประตูคนหนึ่งเห็นสนมเอกประคองฮ่องเต้สด็จมาก็ตกอกตกใจจนพูดไม่รู้ความ
ตั้งแต่บรรจุพระศพเข้าโลงไม่มีใครมาแสดงความเสียใจแม้แต่คนเดียว ฮองเฮาเสด็จสวรรคตพร้อมความผิด ใครจะกล้าย่ำเข้ามาให้แปดเปื้อนไปด้วย คนส่วนใหญ่ในพระราชวังมีแต่เดินตามผู้มีอำนาจ เมื่อใดที่เจ้านายสิ้นแล้วยังสิ้นไปโดยมีความผิด พวกเขาจะมากราบไหว้ทำไมกันอีกเล่า
ขันทีเงี่ยฟังคำบอกกล่าวของสนมเอกถึงเข้าใจ จากนั้นนำทางฮ่องเต้เสด็จเข้าไปยังด้านใน
หนิงซีฮ่องเต้กวาดมองตำหนักกว้างใหญ่ของผู้เป็นถึงฮองเฮาทรุดโทรมแทบดูไม่ได้ บ่าวรับใช้ที่เหลืออยู่ก็แทบนับจำนวนได้ พระองค์ตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ห้องเซ่นไหว้ตั้งอยู่กลางห้องโถงเอก
ผ้าซังฟาน[1]ด้านหน้าประตูพริ้วไสวตามแรงลม เงาของตะเกียงไฟสีขาวกะพริบยิบยับ
ณ ห้องโถง เทียนขาวสองแท่งจุดเหลือแทบก้น น้ำมันเทียนละลายผนึกเป็นกอง มีโลงไม้หนานมู่วางอยู่ตรงกลาง ที่ครอบโลงชั้นนอกยังไม่ปิดผนึก ฝาโลงศพก็ยังเปิดเอาไว้
หนิงซีฮ่องเต้หยุดก้าวเท้า ได้ยินเสียงเรียกจากเฮ่อเหลียนซื่อ “ฝ่าบาท” แล้วสติจึงกลับคืน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้พบนาง หลังจากวันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันจากกันคนละฝากฟ้า
หนิงซีฮ่องเต้กลืนน้ำลาย ปลีกตัวจากการประคองของเฮ่อเหลียนซื่อเสด็จไป ทอดพระเนตรไปยังด้านในโดยมีไฟเทียนภายในห้องช่วยส่องแสง
พระศพของเจี่ยงซื่อได้รับการชำระ ฉลองพระองค์สวมใส่เรียบร้อย พระพักตร์ได้รับการจัดแต่งราวกับยังมีชีวิต องค์รวมสุภาพสง่าเฉกเช่นเดียวกับตอนมีชีวิต
หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกประหนึ่งว่าหากใช้พระหัตถ์สัมผัสนางก็จะฟื้นขึ้นมา ทว่าสัมผัสผิวบนใบหน้ากลับรู้สึกได้เพียงความเย็นเชียบ ไร้ความยืดหยุ่น ความหดตัว เป็นผิวของผู้ตาย สองตาเริ่มแดงก่ำ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว
คนที่อยู่กับตนตั้งแต่เด็ก ได้จากไปแล้วจริงๆ
พระองค์มิเคยคิดว่าเจี่ยงซื่อมีความสำคัญต่อชีวิตของพระองค์เพียงไหน แม้กระทั่งมิได้พบหน้าหลายวันก็ไม่เคยรู้สึกอันใด ท้ายที่สุดแล้ว นางจะรอคอยในตำหนักเฟิงจ๋าอย่างแน่นอน แต่ ณ เวลานี้ วิญญาณของพระองค์เหมือนหลุดออกจากเรือนร่างแล้ว
ฮ่องเต้เหลือบเห็นบางสิ่งจึงยื่นพระหัตถ์เข้าไปพลางขมวดคิ้วแล้วตรัสถาม “นี่….นี่คือสิ่งใด”
เฮ่อเหลียนซื่องงงวยจึงเดินเข้าไป เห็นเสี้ยวผ้าพับชิ้นน้อยทอด้ายทองอยู่ข้างกายฮองเฮา ผ้านั้นเหมือนถูกวางไว้ใต้พระศพ เผยให้เห็นเพียงเสี้ยวมุมเล็กน้อย เมื่อดูให้ชัดจึงพบว่าคล้ายเสื้อผ้า เมื่อดึงออกมาอย่างระมัดระวังทำการเปิดออกเป็นเสื้อผ้าจริง
เป็นเสื้อผ้าชุดน้อยๆ มีหมวกหู่โถว [2]รองเท้าหู่โถว กางเกงเปิดเป้า[3] นี่มัน——เสื้อผ้าทารก!
หากดูจากขนาด เป็นขนาดของเด็กทารกเกิดใหม่
ทางเข้าประตู มอมอตำหนักเฟิงจ๋าผู้เฝ้าการเซ่นไหว้คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา เมื่อเห็นสองพระองค์เหมือนเจอสิ่งของด้านในโลงศพ จึงคุกเข่าคลานเข้ามาอย่างร้อนรนพลางผงกหัวขอทรงโปรดให้อภัย “โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะฝ่าบาท โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันเพคะ!”
สีหน้าเฮ่อเหลียนซื่อเปลี่ยนทันใด “เจ้าเป็นคนนำสิ่งนี้ใส่เข้าไปอย่างนั้นรึ ภายในพระโลงศพของฮองเฮา เจ้านำสิ่งของใส่เข้าไปโดยพลการเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หนิงซีฮ่องเต้กลับไม่ทรงกริ้ว เพียงหยิบเสื้อผ้าทารกชุดนั้นมาไว้ในมือ ท่าทางคล้ายว่าเดาบางอย่างออก
มอมอร้องไห้พลางเอ่ย “หลายวันก่อนฮองเฮาเสด็จสวรรคต พระนางสั่งให้คนมาแจ้งกับบ่าวว่า…ว่าหากนางไปแล้ว ต้องนำเสื้อผ้าชุดนี้ที่เก็บไว้ในตู้ใส่เข้าไปในพระโลงศพของพระนางด้วย! ตอนนั้นบ่าวตกใจมาก คิดเพียงแต่ว่าเหนียงเหนียงพูดลอยๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน เหนียงเหนียงก็จากไป! บ่าวรับใช้ตำหนักเฟิงจ๋ามาทั้งชีวิต ความหวังสุดท้ายเพียงเท่านี้ของเหนียงเหนียง บ่าวมิกล้าไม่ทำตาม จึงแอบใส่เข้าไปด้านในเพคะ——”
เฮ่อเหลียนซื่อขมวดคิ้วสงสัย “แล้วนี่คือสิ่งใด”
พระหัตถ์ของหนิงซีฮ่องเต้กำเสื้อผ้าเด็กทารกแน่นจนยับ รู้สึกเพียงพระทัยเต้นตึกตักอย่างเร็ว และฟังมอมอกล้ำกลืนน้ำลายเอ่ยตอบ “…คือเสื้อผ้าขององค์ชายน้อยที่เหนียงเหนียงทรงจัดเตรียมไว้เมื่อครั้นตั้งครรภ์เพคะ ภายหลังเหนียงเหนียงแท้ง จึงเก็บเสื้อผ้าชุดนี้ไว้ตลอดมา…” พูดไปพลางปาดน้ำตา “…บ่าวกลัวเหนียงเหนียงเห็นแล้วจะคะนึงถึงและเสียพระทัย จึงบอกกับเหนียงเหนียงว่าให้ทิ้งเถิด แต่เหนียงเหนียงกลับบอกบ่าวว่า ไม่แน่ว่าอาจได้ใช้ในภายหลังก็เป็นได้ แต่…ภายหลังก็ไม่เคยได้ใช้อีกเลย…ตอนนี้เหนียงเหนียงจากไปแล้ว เหนียงเหนียงก็ยังมิลืมที่จะนำเสื้อผ้าทารกชุดนี้ไปด้วย คงเป็นเพราะลืมความคิดที่จะมีองค์ชายพระธิดาให้กับฝ่าบาทไม่ได้เพคะ…”
นัยน์ตาของเฮ่อเหลียนซื่อแสดงให้เห็นความประทับใจ นางถอนใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าลุกขึ้นเถิด ออกไปก่อน” พูดไปพลางมองหนิงซีฮ่องเต้ทีหนึ่ง แล้วยื่นมือหยิบชุดจากพระหัตถ์วางไว้ข้างพระศพของเจี่ยงซื่ออีกครั้ง
หนิงซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางหยิบไปอย่างเหม่อลอย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้ม “ที่แท้นางใส่ใจมาตลอด…ข้านึกแต่ว่านางไม่สนใจ และไม่เก็บเรื่องแท้งมาไว้ในใจ ที่แท้หลายปีมานี้ นางยังคงคิดจะเพิ่มองค์ชายพระธิดาให้กับข้า…แต่…”
แต่หลายปีมานี้ พระองค์เสด็จตำหนักเฟิงจ๋าน้อยนับครั้งได้ แล้วจะให้นางมีบุตรได้อย่างไร
พระองค์รู้สึกผิดมหันต์ ความโศกเศร้าทั้งปวงที่สั่งสมมาหลายวันนี้โพล่งออกมาทั้งหมดในทีเดียว มันเจ็บปวดอย่างที่สุด พระองค์ก้มศีรษะทอดพระเนตรไปยังหญิงในโลง พระอุระเจ็บปวดราวกับโดนทิ่มแทง เสียง “วา” ดังขึ้นพร้อมกับอ้วกเลือด
“ฝ่าบาท——” เฮ่อเหลียนซื่อตระหนกตกใจรีบเข้าประคอง “หม่อมฉันพาฝ่าบาทกลับพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนนะเพคะ——”
“ไม่——” หนิงซีฮ่องเต้ผลักออก จากนั้นนั่งลงไปพิงกับโลงศพ ควักผ้าออกมาเช็ดพระหัตถ์ “ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าอยากอยู่กับนางอีกสักพัก”
เฮ่อเหลียนซื่อเห็นฮ่องเต้มีความตั้งใจเช่นนั้นจึงไม่บังคับอีก แม้ว่าจะเห็นพระองค์กระอักเลือด แต่กลับดูเหมือนคุ้นชินไปแล้ว ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ ต่อ หากสถานการณ์แย่ลงค่อยเรียกคนเข้ามา
เฮ่อเหลียนซื่อยืนอยู่ข้างๆ นัยน์ตานุ่มนวลมองไปยังฮ่องเต้
สีหน้าชายหนุ่มนิ่งไร้ความมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เดิมทีนึกคิดว่าให้พระองค์มาส่งฮองเฮาครั้งสุดแล้วพระทัยจะรู้สึกดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าการมาในค่ำคืนนี้กลับพลิกตาลปัตร ทำให้พระองค์ดำดิ่งสู่การสำนึกผิดและความรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมแทบดึงตัวเองกลับมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด สีท้องฟ้าด้านนอกดำมืดมากยิ่งขึ้น เทียนก็ใกล้จะจุดหมดแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ยืนขึ้นอย่างเซไปเซมาราวกับวิญญาณได้หลุดหายไป จากนั้นจับแขนเฮ่อเหลียนซื่อและออกจากห้องเซ่นไหว้
เมื่อออกจากตำหนักเฟิงจ๋า ก่อนขึ้นพระเกี้ยว สภาพของหนิงซีฮ่องเต้ถึงดีขึ้นเล็กน้อย พระองค์มองเฮ่อเหลียนซื่อทีหนึ่ง เสียงที่ตรัสออกมาคล้ายจมูกอุดอู้ น้ำเสียงนิ่มนวล “คืนนี้ลำบากเจ้าแท้”
เฮ่อเหลียนซื่อกะพริบตา “การช่วยบรรเทาฝ่าบาท เป็นวาสนาและหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ จะเป็นความลำบากได้อย่างไร”
หนิงซีฮ่องเต้ถอนหายใจตรัส “นิสัยเจ้าอ่อนน้อมระมัดระวังมาโดยตลอด มิเคยทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คืนนี้เจ้าเข้ามาพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนโดยไม่ผ่านการเรียก คงมิใช่เพราะจะช่วยบรรเทาข้าหรอกกระมัง อวี้เยียน เจ้าอยากพูดสิ่งใดก็พูดมาเถิด”
เฮ่อเหลียนซื่อลังเลแวบหนึ่งจึงคุกเข่า “ได้โปรดฝ่าบาทอย่าให้ฉินอ๋องทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ นำพระราชโองการนี้กลับคืนเถิดเพคะ! ในส่วนราชการมีสมุหนายกอวี้กับจิ่งหยางอ๋อง ก็เพียงพอแล้ว หรือไม่ องค์ชายที่โตเต็มวัยก็ไม่ได้มีเพียงฉินอ๋องแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทเลือกองค์ชายอื่นก็ได้! องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง หลายปีมานี้พวกเขามีหน้าที่สร้างความดีความชอบ สำเร็จราชการแทน สามารถรับหน้าที่นี้ได้เช่นเดียวกัน”
[1] ผ้าซังฟาน หมายถึง ผ้าไว้ทุกข์สีขาว
[2] หู่โถว หมายถึง หัวเสือ ในที่นี้หมายถึงหมวกทารกที่ตัดเย็บออกมาคล้ายหัวเสือ
[3] กางเกงเปิดเป้า คือกางเกงโชว์ก้น สวมใส่ให้กับเด็กทารก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของประเทศจีน