ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 210 บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น(2)
นี่ไม่ได้พูดจาเสียดสีหาว่าเหนียงเหนียงของตนใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ติดสินบนเจ้าหน้าที่ราชการหรอกหรือ แล้วยังอ้างอิงถึงเจ้ากรมแห่งกรมยุติธรรมนี่อีก ตั้งใจจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่สินะ
เหนียงเหนียงของตนร้องขออย่างสุภาพต่างหาก ไม่ได้พูดสักคำว่าจะพาคุณชายสวี่ออกไป
เจ้าหน้าที่ราชการในกรมยุติธรรม ช่างเหมือนก้อนหินแข็งทื่อในห้องปลดทุกข์เสียจริง ทั้งเหม็นทั้งแข็ง คงพูดไม่เข้าใจกันแล้วล่ะ!
ชูซย่ากดอารมณ์เอาไว้ “คุณชายสวี่จะถูกตัดสินในวันพรุ่งนี้ พวกข้าก็แค่อยากพบเพื่อฟังคุณชายเล่าที่มาที่ไปของเรื่องก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะขัดขวางการทำงานของใต้เท้าแม้แต่น้อย แม้ก่อนประหารตัดหัว ก็ควรให้ญาติได้พบหน้าเสียหน่อยมิใช่หรือ”
ถานหลังจงยิ้มอย่างเยือกเย็น “หลักฐานครบครัน คนก็ถูกจับได้คาหนังคาเขา ยังจะมีที่ไปที่มาอีกได้อย่างไรกัน ข้าน้อยไม่ได้ล่วงเกินพระชายาเอกนะขอรับ มีคนชนชั้นสูงมากมายมาขอเข้าเยี่ยมแล้วอยากช่วยนักโทษออกไป แต่พอเยี่ยมไปเยี่ยมมา นักโทษคนนั้นก็พ้นผิดได้กลับบ้านสบายใจเฉิบ ส่วนนักโทษของวันนี้เป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของพระชายาเอก ก็ยิ่งทำให้ข้าน้อยนั้นรู้สึกเป็นกังวล ตอนนี้พระชายาเอกร้องขอเพียงแค่อยากเข้าไปคุยกับสวี่มู่เจิน แต่ใครเล่าจะยืนยันได้ว่าคำร้องขอข้อต่อไปจะไม่ใช่ให้ข้าน้อยแกะโซ่ออกและปล่อยสวี่มู่เจินกลับไป ยาโถ่วคนนี้พูดถูก ให้ญาติพบหน้าก่อนประหารชีวิตได้จริง หากพรุ่งนี้ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต พระชายาเอกสามารถไปรอที่ลานประหารได้เลย ถึงเวลานั้นก็ได้พบหน้าอย่างแน่นอน!”
“สามหาว!” บ่าวรับใช้จากจวนอ๋องที่ตามมาด้วย เห็นเขาพูดจาไร้มารยาท ได้คืบเอาศอก เวลาพูดจากับเหนียงเหนียงก็หามีความเกรงใจไม่ สั่งสอนราวกับสั่งสอนเด็ก เขากลัวว่าเหนียงเหนียงจะได้รับความไม่ยุติธรรม จึงเดินขึ้นหน้าเพื่อช่วยพูดเสริม
แต่เจ้าหน้าที่หลายนายคิดว่าบ่าวรับใช้จะทำอย่างอื่น เลยจับดาบตรงเอวและเรียงแถวยืนอยู่ด้านหน้าถานหลังจง จากนั้นก็ชักดาบออกมาครึ่งนิ้ว ดาบนั้นส่องแสงประกายวิบวับ
ชูซย่าโมโห “พวกเจ้าบังอาจ กล้าชักดาบกับพระชายาเอกเชียวรึ”
บรรยากาศตึงเครียดในทันทีทันใด
“ถอยไป” อวิ๋นหว่านชิ่นไล่ตะเพิด ชูซย่าส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้จึงถอยออกไปด้วยอาการฮึดฮัด
ถานหลังจงยกมือให้สัญญาณ จากนั้นเจ้าหน้าที่หลายคนก็ยกมือออกจากบริเวณเอว เขายกมือถือกำปั้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนให้ความเคารพและไม่ดูหมิ่น “ข้าน้อยไม่มีใจจะล่วงละเมิดพระชายาเอกขอรับ เชิญพระชายาเอกกลับไปเถิด อย่าว่าแต่ข้าน้อยที่ไม่สามารถให้พระชายาเอกเข้าไปเลย คุกของที่นี่ ก็หาใช่สถานที่ที่ผู้หญิงควรจะมาไม่…” พูดเสร็จ ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ทำตาโตและจ้องเขม่นหญิงสาวตรงหน้า
มือเรียวยาวของหญิงสาวหยิบบางสิ่งออกมาจากข้างในแขนเสื้อ สิ่งของชิ้นนั้นมีเส้นด้ายสีแดงพันอยู่กับนิ้วเรียวของนาง แสดงต่อหน้าเจ้าหน้าที่กรมยุติธรรม ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นั่นคือจี้หยกสีเขียวแวววาว ภายใต้แสงของจันทราผนวกกับแสงจากโคมไฟ ยิ่งทำให้หยกงดงามแวววับตระการตา
ถานหลังจงตะลึงงัน “นี่มันคือหยกที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้กับตระกูลเจี่ยงนี่——”
“ได้โปรดใต้เท้าถานเห็นแก่หน้าของเจ้าของหยกชิ้นนี้ด้วย” อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงเอ่ยอย่างสันติ
ครั้งก่อนนางใช้ของสิ่งนี้ไปพบมู่หรงไท่ที่คุกหลวง ครั้งนี้ก็คงต้องใช้มันได้อีก เจี่ยงยิ่นให้สิ่งนี้มา นับว่ามีประโยชน์อยู่บ้างในช่วงเวลาอันสำคัญ
และก็เป็นเช่นนั้น ถานหลังจงหลังตกตะลึงเสร็จ สีหน้าก็กลายเป็นสีแดง เจ้าของหยกงั้นรึ พูดถึงเจี่ยงยิ่น ที่จริงก็คือฮ่องเต้องค์ก่อนนั่นแหละ
นี่คือของรางวัลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพระราชทานให้กับผู้ลงโทษอันดับหนึ่งในใต้ฟ้า ได้รับของสำคัญของฮ่องเต้องค์ก่อนเช่นนี้ ได้พบหยกก็เสมือนกับได้พบคน แล้วจะไม่ให้เชื่อฟังได้อย่างไร…ถานหลังจงกัดฟันอดทนอดกลั้น พาลูกน้องเปิดทางและคุกเข่าลง
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รอช้า เก็บหยกปี้อั้นเสร็จก็พาชูซย่าเดินเข้าไปทันที
เจ้าหน้าที่กรมยุติธรรมสองคนพาทั้งสองคนเข้ามาถึงด้านในห้องโถง จากนั้นก็เลี้ยวไปยังห้องขังนักโทษ
เขาหยุดนิ่ง ชี้ให้สัญญาณกับด้านใน จากนั้นก็ถอยไปด้านข้าง
ภายในห้องขัง สวี่มู่เจินที่เปลี่ยนเป็นชุดนักโทษสีขาวนั่งอยู่บนเตียงหิน นั่งนิ่งราวกับพระทำสมาธิ เมื่อได้ยินเท้ากระทบพื้นเลยลืมตาขึ้น ไม่เห็นแม้ความตื่นตัวแต่เอ่ยปากทักว่า “น้องพี่ เจ้ามาแล้วหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่อีกฝั่งของราวกั้นห้องขังขมวดคิ้ว “อย่าเรียกข้าว่าน้อง ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอา ข้าไม่มีวันมาหรอก”
ชูซย่าย่อตัวลงทันทีพลางเอ่ยถาม “คุณชาย แม้เล้าบนเรือสำราญว่านชุน ท่านเป็นคนลงมือจริงหรือ”
สวี่มู่เจินสะบัดฝุ่นบนแขนเสื้อทิ้งด้วยท่าทางขี้เกียจ “อื้ม”
ชูซย่าลุกลี้ลุกลน “นี่ท่านทำสิ่งใดลงไป——”
“ช่วยคนชั่วช้าทำความชั่ว บังคับคนดีให้กลายเป็นโสเภณี หญิงสาวดีๆ ถูกนางทำลายจนหมดสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะนางวางยาพิษทำร้ายคน หงเยียนจะพบเจอความโหดเหี้ยมจากแขกได้อย่างไร” เขาเอ่ยทุกถ้อยคำอย่างง่ายดาย แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำมากกว่าเมื่อครู่มาก แถมยังมีความเกลียดปะปนอยู่ในนั้น “หงเยียนยอมทำงานหนักที่แม้แต่อวี๋กงยังไม่อยากทำ ก็เพราะไม่ต้องการไปรับแขก นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหลายปี สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว แม่เล้าไม่ยอมปล่อยนางไป มิหนำซ้ำยังบีบบังคับให้นางกระโดดเข้าไปในกองไฟ ข้าเกลียดที่มีดเล่มนั้นคมไม่มากพอ ไม่สามารถหั่นเนื้อของนางออกมากกว่านี้”
ชูซย่ารู้สึกจำใจ “แม่เล้าสมควรโดนแล่ออกเป็นชิ้นๆ แต่คุณชายก็ไม่จำเป็น…หากพูดไม่น่าฟังหน่อย แม้ว่าท่านอยากจัดการแม่เล้าคนนั้นแค่ไหน ก็มีวิธีลับๆ อยู่ตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้ลงมือในกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้นเล่า ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ จับได้ทั้งคนทั้งหลักฐานคาหนังคาเขา ไม่มีเหลือแม้แต่โอกาสปฏิเสธกับอธิบาย…”
“ชูซย่า” อวิ๋นหว่านชิ่นหาใช่ว่าไม่มีความเย็นชา สิ่งที่เอ่ยต่อสวี่มู่เจินทั้งตรงทั้งโมโหและทั้งเกลียด “นี่คือสิ่งที่เขาต้องการนั่นแหละ หากไม่มีผู้คน เขาก็ไม่ลงมือฆ่าหรอก”
ชูซย่าอึ้งอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจเหตุผล
สวี่มู่เจินเห็นน้องสาวเดาความต้องการของตนออกเลยไม่แก้ตัว ด้วยความที่เป็นคนรักสะอาดเป็นทุนเดิม เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อและจัดเสื้อให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาคนที่อยู่ด้านนอกพลางเอ่ย “คนของตระกูลหลัวหากรู้ว่าลูกเขยเป็นนักโทษฆ่าคน จะต้องยกเลิกงานแต่งด้วยตัวเองแน่ ท่านพ่อของข้าก็ไม่ต้องกลายเป็นผู้ร้าย ส่วนตระกูลหลัวและตระกูลสวี่ก็จะไม่ตัดขาดความสัมพันธ์อันดีต่อกันเพราะข้า งานแต่งของคุณหนูหลัวก็จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ยังสามารถเลือกคู่ครองใหม่ได้ และสิ่งที่ท่านพ่อคิดไว้ในใจ ที่ว่าข้ากับหงเยียนนั้นแตกต่างกันมากเกินไป ความแตกต่างก็เริ่มน้อยลง” พูดไปนัยน์ตาก็เหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว “นักโทษคนหนึ่งกับหญิงโสเภณีคนหนึ่ง ก็คงไม่เกิดความไม่เหมาะสมแล้วกระมัง ทั้งสามารถระบายความโกรธภายในใจข้าได้ และยังแก้แค้นให้นางได้อีกด้วย เจ้าว่า นี่เป็นเรื่องที่บัวไม่ช้ำและน้ำไม่ขุ่นจริงหรือไม่”
ชูซย่าขมวดคิ้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่ชายคิดจะทำบางสิ่ง และไม่ยอมง่ายๆ เป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีเช่นนี้ นางเอ่ย “นี่เรียกว่ากระทำความผิดฐานฆ่าคน ถ้าท่านพี่ถูกตัดสินประหารชีวิต ไม่มีท่านพี่แล้ว แล้วยังเป็นเรื่องที่บัวไม่ช้ำและน้ำไม่ขุ่นได้อย่างไรกัน”
สวี่มู่เจินชะงักไปครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ข้าฆ่าคนก็จริงแต่ข้าก็มีเหตุผล ข้าหาได้กระทำลงไปโดยไร้เหตุผลไม่ ในวันรุ่งเช้ายามมีการสอบสอน ข้าจะอธิบายให้ชัดแจ้งเอง สถานะของตระกูลของข้านั้นบริสุทธิ์ หาได้เคยมีประวัติไม่ ทางการจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน อีกอย่าง ฝั่งท่านพ่อจะต้องกระทำการสิ่งใดเพื่อข้าอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นทั้งรู้สึกโกรธและขำ “ยังคิดว่าท่านอาจะช่วยท่านพี่งั้นรึ ท่านอาไม่แม้แต่อยากจะมองหน้าท่านด้วยซ้ำ! ที่ข้าเข้ามาได้ ท่านมิรู้หรอกว่าข้าทำอะไรลงไปบ้าง ความฝันอันสูงสุดของท่านพี่ ข้ารับรู้แล้ว ก็เพียงสร้างความผิดเพื่อเข้ามาข้างในนี้ จากนั้นก็คิดหาวิธีลดโทษเท่านั้น ยามเมื่อท่านพี่ได้ออกไป เป้าหมายของท่านพี่ก็จะสำเร็จ แต่ท่านพี่อย่าลืม หากเป็นช่วงเวลาปกติก็คงเป็นเช่นนั้น เงินทองในตระกูลของท่านคงจะช่วยเปิดทางให้ท่านพี่ได้ ละเว้นโทษสถานหนักของท่านพี่ได้ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการไหว้ทุกข์ของบ้านเมือง ทุกๆ เรื่องจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทางการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา หากพบเจอคดีสถานหนัก แม้แต่การสอบสวนก็จะไม่ซักถามอะไรมาก อย่าว่าแต่คดีฆ่าคน แม้เป็นเพียงคดีลักขโมยก็ต้องรับโทษสถานหนักทั้งนั้น! ตำแหน่งราชการสำคัญหรือเงินทองสำคัญ เจ้าหน้าที่ราชการพวกนั้นรู้แจ้งเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น ท่านพี่ก็คงไม่ถูกนำตัวเข้าคุกและจะถูกตัดสินในวันพรุ่งนี้เช้าเร็วถึงเพียงนี้หรอก!”