ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 212 รับผิดร่วมกัน (1)
รองเจ้ากรมหลี่อ่านคำสารภาพเมื่อวานของคุณชายตระกูลสวี่อีกครั้ง และไม่พบข้อผิดพลาดใด จากนั้นจึงมองไปยังคนเบื้องล่าง “หลักฐานครบสมบูรณ์ คดีก็ชัดเจนพอแล้ว ในช่วงเวลาอันเศร้าโศกแห่งการไว้ทุกข์ต่อมารดาแผ่นดินของผู้คนทั่วทั้งประเทศเช่นนี้ นักโทษสวี่มู่เจินก็ยอมรับแล้วว่าตนเป็นผู้สังหารแม่เล้าบนเรือสำราญว่านชุนจริง พฤติกรรมชั่วร้ายเช่นนี้สมควรได้รับโทษอย่างหนัก ทั้งยังสารภาพโดยเร็วอย่างไม่หลบเลี่ยง ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ควรถูกตัดสินให้เนรเทศไปยังเมืองทางตะวันออกของเมืองหลวงเพื่อประหารชีวิตทันที!”
“หลักฐานครบถ้วนเช่นนี้ เจ้ายังไม่เห็นด้วยอันใดกันอีก” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รองเจ้ากรมหลี่จะได้เห็นฉากนักโทษที่กำลังจะถูกประหารออกมาแก้ต่างให้ตัวเอง จึงปล่อยให้เขาได้พูดไป
“ข้ามาจากครอบครัวสุจริตไร้มลทิน ไม่เคยก่ออาชญากรรมใดๆ และคนในครอบครัวก็เป็นพ่อค้าที่รับใช้ในราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน แต่ละรุ่นไม่มีคนชั่วร้าย และผู้ตายในครั้งนี้ก็มิใช่ผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด ถึงแม้เขาจะตายก็มิอาจชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปได้ เพราะเช่นนั้น โทษของข้าไม่ควรถึงตาย” ในโถงศาล สวี่มู่เจินแน่วแน่นัก
“ไร้ยางอายสิ้นดี!” รองเจ้ากรมหลี่เคาะไม้ปลุกสติ “โทษถึงตายหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับอาชญากรอย่างเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินจากฝ่ายราชการ เหลวไหลสิ้นดี!”
ภายในห้องโถง มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านหลังของขุนนาง “ใต้เท้า คำตัดสินมาจากฝ่ายทางการก็จริง แต่แรงจูงใจในการฆ่าของอาชญากรก็เกี่ยวข้องกับคดีเช่นกัน ตอนนี้เรื่องมาเกี่ยวพันกับชีวิตแล้ว ใต้เท้าก็ควรรับฟังรายละเอียดบ้างนะเจ้าคะ”
รองเจ้ากรมหลี่รู้อยู่แล้วว่าคดีนี้จะไม่สามารถตัดสินได้อย่างราบรื่นแน่ และคาดการณ์ไว้แต่ต้นแล้วว่าจะต้องถูกคัดค้าน ยามนี้เขาจึงขมวดคิ้วโต้กลับ “อาชญากรถูกจับได้ในที่เกิดเหตุทันที ถึงแม้จะมีรายละเอียดใดๆ ก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อการตัดสินของศาล”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยเสียงเบา แต่เพราะความเงียบสงบในโถงศาล จึงทำให้เสียงของนางชัดเจน “การฆ่าโดยไม่มีทางเลือกคือการฆ่า การฆ่าเพื่อปล้นทรัพย์ก็ถือเป็นการฆ่า แต่อย่างแรกเป็นการป้องกันตัว ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นการฆ่าโดยเจตนา เงื่อนไขของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แรงจูงใจของอาชญากรมีผลต่อรูปคดี ใต้เท้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร”
เมื่อก่อนรองเจ้ากลมหลี่มองนางเป็นเพียงหญิงที่แต่งงานและมีสามีอยู่ข้างกายคนหนึ่งเท่านั้น อย่างมากก็เพียงแค่ร้องไห้คร่ำครวญขณะที่พิพากษา เขามิได้ใส่ใจนัก แต่ตอนนี้คำพูดของนาง ทำให้เขาต้องนั่งตัวตรงและจริงจังขึ้นมา แล้วให้รองผู้ช่วยไปคุมตัวสวี่มู่เจินมาลงนามโดยมิได้ใช้อำนาจบีบบังคับชั่วคราว “พระชายาเอกพูดได้น่าฟังนัก แต่กฎหมาย มิเพียงแต่ต้องพูดโน้มน้าวเก่งอย่างเดียว ต้องมีตัวอย่างประกอบด้วย”
ซย่าโหวซื่อถิงนั่งอยู่บนเก้าอี้แกะสลักและมองไปยังนาง สีหน้าของนางดูเรียบเฉย ราวกับว่าได้เตรียมทุกอย่างไว้แต่เนิ่นแล้ว
นั่งอ่านเอกสารคดีอาญาในโถงศาลโดยไม่นอนมาทั้งคืนนั้น ไม่เสียเปล่าจริงๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “ในขณะที่หม่อมฉันได้อ่านคำพิพากษานั้น ในช่วงราชวงศ์ถัง หยวน และหมิงทั้งสามราชวงศ์ก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเพคะ บรรพบุรุษรวมถึงพ่อแม่ถูกฆ่าตาย และลูกหลานก็ได้สังหารศัตรูในทันที แต่ไม่มีการลงโทษใดๆ หากทำการสังหารอีกในภายหลัง ต้องรับผิดชอบหกสิบในร้อย แต่หากศัตรูถูกฝ่ายรัฐตัดสินแล้ว ลูกหลานยังไปล้างแค้นอยู่ ก็จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด และถูกเนรเทศออกไปด้วยระยะทางสามพันลี้ ยกตัวอย่างเช่นในราชวงศ์หมิง บิดาของนายหวังแห่งหวู่ยี่ในเจ้อเจียงถูกญาติทุบตีจนตาย เนื่องจากแย่งชิงทรัพย์สมบัติกัน และใช้เงินชนะคดี โดยเสียที่ดินเพียงไม่กี่หมู่เท่านั้น นายหวังเก็บความแค้นไว้ในใจ จนตนแต่งงานมีลูก ถึงได้ไปหาญาติ และใช้มีดกรีดไปที่ศีรษะของญาติ เพื่อล้างแค้นให้แก่บิดาของตน ในขณะนั้นรัฐมองว่าเขากตัญญู และมิได้ตัดสินให้เขาเป็นอาชญากรฆ่าคนและคุมขังตัวแต่อย่างใด หลังจากรายงานต่อผู้บังคับบัญชา เขาและเจ้าเมืองจินหวาก็ได้ชันสูตรศพของพ่อนายหวังอีกครั้งหนึ่ง หากในตอนนั้นถูกทุบตีจนถึงแก่ชีวิตจริง นายหวังก็จะไม่ได้รับโทษใดๆ เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานกันมากในราชวงศ์หมิง และรวมอยู่ในประมวลกฎหมายข้อใดข้อหนึ่งในตอนนั้นด้วย เพียงแค่นี้ก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่า กฎหมายไม่มีอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ของคน และแรงจูงใจในการก่อเหตุก็เกิดจากความสัมพันธ์ของคนเช่นกัน”
ภายในห้องโถง เหล่าขุนนางและรองผู้ช่วยต่างสับสนเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหญิงสาวผู้นั้น
ซือเหยาอันก้มศีรษะลง “เหนียงเหนียงช่างมีความจำที่ยอดเยี่ยมนัก”
มีแค่ความจำที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นไม่พอ แต่ต้องจัดยาให้ถูกด้วย มีคดีมากมายหลายคดี กลับคิดถึงคดีนี้มาต่อกรได้
ซย่าโหวซื่อถิงหน้านิ่ง แต่ก็ยังปรากฏเป็นรอยยิ้มจางๆ เขาลูบแหวนบนนิ้วเบาๆ ทั่วทั้งร่างคล้ายได้ผ่อนคลายไปบ้างแล้ว
จากนั้นไม่นาน รองเจ้ากรมหลี่ก็หลุดจากภวังค์ “ความหมายของพระชายาก็คือ สวี่มู่เจินฆ่าผู้ตายเพื่อล้างแค้นเพราะว่าคนรอบกายถูกฆ่า แม้จะมีโทษ แต่โทษก็ไม่ถึงตายอย่างนั้นรึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าแล้วหันไปยังสวี่มู่เจิน
สวี่มู่เจินเข้าใจความหมายของน้องสาว และหันหน้าไปยังศาล “ช่วงที่ผ่านมา ในคดีถังโจวที่ฮ่องเต้ทรงรื้นฟื้นขึ้นมาใหม่นั้น ธิดาของหัวหน้าประตูเมืองหงซื่อฮั่น เนื่องเพราะบิดาถูกใส่ร้ายจึงถูกเจ้าหน้าที่ขายไปยังซ่องเยียนหวา นางไม่ยอมรับแขก และใช้แรงงานแทนการขายบริการ ตอนแรกแม่เล้าก็ตกลง แต่สุดท้ายก็ไม่ยินยอม พอเห็นแขกที่ยอมจ่ายเงิน แม่เล้าก็วางยานาง ทำให้นางเสียบริสุทธิ์ไป ข้าโกรธมากและลงมือฆ่าแม่เล้านั้นเสีย ข้ายอมรับผิด แต่ข้าไม่เสียใจที่ฆ่าผู้ที่ทำลายความบริสุทธิ์ของผู้อื่นเช่นนั้นไปหรอก”
รองเจ้ากรมหลี่หน้าตึง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาลังเลไปครู่หนึ่ง เขาอ่านคำวิงวอนและคำพิพากษาบนโต๊ะ ไม่ขยับอยู่นาน
“คดีที่พระชายาฉินอ๋องกล่าวถึงมีอยู่จริง ในสมัยราชวงศ์ถัง หยวนและหมิงนั้น มีคดีที่ลูกหลานล้างแค้นให้กับผู้ใหญ่และไม่ได้รับโทษจริง” ขณะนั้นเอง เสียงที่เคร่งขรึมก็ดังมาจากด้านนอกโถงศาล พร้อมกับเสียงหลีกทางและเสียงทำความเคารพของเหล่าขุนนางในศาลาว่าการ “ท่านสมุหนายกอวี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ และหันไปตามเสียง อวี้เหวินผิงแต่งกายด้วยชุดทางการ เดินเข้ามาพร้อมกับมองไปรอบๆ สายตาเขาหยุดอยู่ที่สวี่มู่เจิน “ทว่า ข้าอยากถามนักว่าหญิงสาวตระกูลหงนางนั้นเป็นพ่อแม่หรือบรรพบุรุษของสวี่มู่เจินหรือไม่ มิใช่ญาติสนิทมิตรสหาย ซ้ำยังไม่มีสายเลือดเดียวกัน หากเป็นการล้างแค้นจริง ก็ไม่ต้องให้ถึงมือสวี่มู่เจินหรอก!” พูดจบก็หันไปยังหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดสีอ่อนที่อยู่ด้านหลังเหล่าขุนนางในศาลาว่าการ และกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เพราะเช่นนั้น คดีที่พระชายากล่าวมา มิได้เกี่ยวข้องกับคดีของสวี่มู่เจินเลยแม้แต่น้อย เขาต้องรับโทษประหารเท่านั้น มิอาจละเว้นได้!”
พูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำยิ่ง
สมุหนายกก็คือสมุหนายก มาถึงก็ดึงสถานการณ์กลับมาได้ เหล่าขุนนางเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านสมุหนายกอวี้มาที่ศาลาว่าการตัวเองได้อย่างไรกันขอรับ” รองเจ้ากรมหลี่เรียกให้คนนำเก้าอี้มาเพิ่ม บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ คราวนี้ จากคดีฆ่าคนธรรมดาๆ คดีหนึ่ง ดูเหมือนจะยิ่งซับซ้อนขึ้น และกลายเป็นการแข่งขันระหว่างสองฝ่ายไปเสียแล้ว
อวี้เหวินผิงทำความเคารพต่อฉินอ๋อง “ได้ข่าวว่าฉินอ๋องมีความสนใจในเรื่องโทษจำคุกมาก และได้ทราบมาว่าวันนี้พระองค์ทรงมาดูคดีฆ่าคนบนเรือสำราญว่านชุนด้วยพระองค์เอง บังเอิญวันนี้กระหม่อมมีงานราชการที่กรมยุติธรรมพอดี จึงแวะมาดูพ่ะย่ะค่ะ”
แวะอย่างนั้นรึ บังเอิญอย่างนั้นรึ นี่คงจะบังเอิญเกินไปกระมัง เห็นได้ชัดว่าเขามาเพื่อกระตุ้นฉินอ๋องให้ไม่ปล่อยคดีนี้ได้ถูกควบคุมโดยบุคคลอื่น ซือเหยาอันกำมือของเขาไว้ แต่ทว่าหากสมุหนายกอวี้มาแล้วล่ะก็ คงจะยิ่งยากแล้วล่ะ
เนื่องจากความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับสวี่มู่เจินนั้นยากที่จะพูดนัก อวี้เหวินผิงกลับใช้ตำแหน่งทางราชการมาออกความเห็น โดยพูดอะไรก็มีเหตุมีผลไปหมด ไม่ปล่อยให้สวี่มู่เจินมีโอกาสรอดได้
หลังจากที่อวี้เหวินผิงนั่งลง รองเจ้ากรมหลี่ก็มองไปยังฉินอ๋องครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ที่ท่านสมุหนายกอวี้กล่าวเมื่อครู่ เป็นเรื่องที่ข้าได้คำนึงถึงเช่นกันขอรับ เกรงว่าคดีที่พระชายายกมานั้น จะไม่สามารถช่วยอะไรในคดีของสวี่มู่เจินได้เลย”
“หากเป็นเช่นนั้นใต้เท้าหลี่ก็สามารถพิพากษาได้แล้วล่ะ” อวี้เหวินผิงรับชาที่ขุนนางยกมาให้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ