ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 221 กลับเมืองหลวงเพื่อร่วมไว้อาลัย
หนิงซีฮ่องเต้ทรงระงับความอยากที่จะดึงตัวเขามาถามไถ่สารทุกข์สุขเอาไว้ พระองค์ตรัสอย่างเรียบนิ่งว่า “เหยาฝูโซว่ พาเด็กคนนี้ทำแผลบนหน้าผากแล้วเอาอาภรณ์ให้เขาเปลี่ยนเสีย”
เมี่ยวเอ๋อร์ยิ่งประหลาดใจอยู่เงียบๆ ทว่าเห็นเหยากงกงมิได้มีท่าทีแปลกใจเท่าใด เขาค้อมตัวรับคำว่า “พ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบก็จูงอวิ๋นจิ่นจ้งออกจากตำหนักไป
หนิงซีฮ่องเต้ลุกขึ้น กำลังจะเข้าไปด้านในตำหนักเพื่อพักผ่อน กลับได้ยินเสียงนางกำนัลดังขึ้น “ไทเฮาเสด็จ”
พระองค์เดาจุดประสงค์ของไทเฮาที่มาในครานี้ได้ จึงตรัสว่า “พระสนมออกไปก่อนเถิด”
เมี่ยวเอ๋อร์ยอบตัวคำนับ ออกมานอกตำหนัก ยืนเฝ้าอยู่นอกม่าน
เพียงไม่นาน หม่าซื่อก็ประคองเจี่ยไทเฮาเข้ามา หนิงซีฮ่องเต้เข้าไปถวายคำนับ “เสด็จแม่มาได้อย่างไร”
เจี่ยไทเฮาพินิจมองฮ่องเต้ เบี่ยงอ้อมประเด็นหลักไปชั่วคราว “ฝ่าบาทสีหน้าย่ำแย่กว่าตอนที่ข้าเห็นเมื่อคราก่อนไม่น้อย เหตุใดอาการประชวรจึงได้เรื้อรังมาถึงเพียงนี้กัน ยามปกติก็มิให้พวกเราเข้าเฝ้าเพื่อดูอาการบ้างเลย ใจข้าตระหนกนัก โดนลมจึงป่วยไข้จริงหรือ ให้เหยาย่วนพั่นถวายการรักษาเพียงคนเดียวได้หรือ เรียกพวกหมอหลวงมาถวายการรักษาเถิด คนมากขึ้นย่อมดีกว่า”
“ทำเสด็จแม่กังวลเสียแล้ว การประชวรของเรานี้สะสมมานาน จึงเรื้อรังสาหัสเสียแล้ว ยามนี้อายุอานามก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงหายช้ากว่ายามหนุ่มๆ เหยาย่วนพั่นเป็นหมอหลวงอันดับหนึ่งในวังหลัง ฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยม แค่เขาก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ มากคนก็มากความ เดี๋ยวจะยิ่งแย่กันไปใหญ่ ที่ไม่ให้เสด็จแม่กับคนอื่นๆ มาเข้าเฝ้าก็เพราะโรคนี้ติดต่อกันได้” หนิงซีฮ่องเต้ยิ้มบางตรัสตอบอย่างผ่านๆ
“เช่นนั้นก็นั่งลงก่อนเถิด” เจี่ยไทเฮามิได้ตรัสอันใดอีก
สองคนแม่ลูกนั่งลงตรงข้ามกัน เจี่ยไทเฮาจึงได้เปิดประเด็นขึ้น “ได้ยินมาเมื่อครู่ว่าเฝินอ๋องถูกลากตัวไปโบยที่ตำหนักซือฝาหรือ ถูจวิ้นอ๋อง อำมาตย์อิ่นกับสหายร่วมสำนักคนอื่นๆ ต่างถูกฝ่าบาทสั่งให้ไปรับโทษโบยที่หน้าประตูเจิ้งหยางอีกด้วยหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หนิงซีฮ่องเต้ตอบ
เจี่ยไทเฮายกถ้วยชาขึ้นลูบเบาๆ ตรัสด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เป็นการหยอกเล่นระหว่างเด็กน้อยเท่านั้น มีเด็กชายบ้านใดบ้างมิเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาท เหตุใดต้องลงโทษหนักเพียงนี้ด้วย”
“ไม่หนักพ่ะย่ะค่ะ” หนิงซีฮ่องเต้ตรัสบอก “เจ้าสิบห้าเหมือนกับเว่ยอ๋องนัก ถูกเราตามใจจนเสียนิสัย เว่ยอ๋องดับสูญไปแล้ว เราไม่ต้องการเห็นเจ้าสิบห้าถูกทำลายไปอีกคน ตีเสียหน่อยก็ดี ให้เขาได้สำรวมมากขึ้น”
“แต่คงไม่ถึงกับต้องใช้แส้โบยหนักเพียงนั้นกระมัง เด็กเพิ่งอายุไม่กี่ปีก็ต้องมาบาดเจ็บ ดุด่ายกหนึ่งก็ได้แล้วกระมัง” เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” หนิงซีฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เด็กคนนั้นโหดเหี้ยมจนเป็นนิสัยแล้ว แค่ด่าอย่างเดียว เกรงว่าจะไร้ประโยชน์ ตีลงบนร่างเขาจึงจะทำให้เขาจดจำเรื่องในวันนี้ได้แจ่มแจ้ง ต่อไปจะได้มิกล้าทำผิดอีก”
เจี่ยไทเฮาไม่กล่าวคำใดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทสั่งสอนโอรส เดิมทีข้าก็มิควรไต่ถาม แต่ข้ามีสิ่งที่ต้องทูลฝ่าบาทไว้”
“เสด็จแม่โปรดตรัส” หนิงซีฮ่องเต้เอ่ย
“ยามปกติเฝินอ๋องโหดเหี้ยมไร้เหตุผลอย่างไรในวังหลวง ความจริงฝ่าบาทก็คงจะทราบดี ทรงปล่อยไปไม่เคยถือโทษอยู่ทุกครา หากต้องลงโทษก็คงควรจะลงโทษไปนานแล้ว เหตุใดจึงต้องมาลงโทษในครานี้ด้วยเพคะ” น้ำเสียงเจี่ยไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทอดพระเนตรมองพระองค์ด้วยความสงสัย “…โอรสที่วิวาทกับบุตรชายของขุนนางผู้หนึ่ง ทำฝ่าบาทพิโรธ หากคนนอกรู้เข้าก็คงจะชื่นชมในความเป็นธรรมของฝ่าบาทที่ไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างโอรส แต่สำหรับข้าแล้ว การกระทำของฝ่าบาทในครานี้ ไม่ยุติธรรมต่อเฝินอ๋องกับทายาทขุนนางเหล่านั้นเลย ตบมือข้างเดียวจะดังได้อย่างไร ต่อให้เฝินอ๋องกับพรรคพวกผิดจริง ก็มิอาจกล่าวได้ว่าคุณชายสกุลอวิ๋นผู้นั้นไร้ความผิด แต่นี่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะมิได้รับโทษใดเลย”
เจี่ยไทเฮาเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ซ้ำยังเป็นโอรสของนางเอง จึงรู้นิสัยใจคอฮ่องเต้อย่างทะลุปรุโปร่ง สายตาคู่นั้นทั้งช่ำชองและชั่วร้าย
หนิงซีฮ่องเต้ถูกจ้องจนต้องกลืนน้ำลาย นึกไม่ถึงว่าใจจะเต้นดั่งรัวกลอง ตรัสด้วยความกริ้วที่อธิบายไม่ถูก “อวิ๋นจิ่นจ้งเพียงแค่ไม่ชอบเจ้าสิบห้าที่เล่นพรรคเล่นพวกภายในสำนักศึกษา ซ้ำยังถูกเรียกตัวมาดูถูกมารดากับพี่สาวแล้วจึงได้ต่อต้าน เขาผิดตรงไหนหรือ เรากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้แม้อายุยังน้อยก็ไม่กลัวอำนาจ ไม่ถูกพวกมากลากไป เป็นต้นกล้าที่บ่มเพาะให้ดีได้! ราชสำนักมีเด็กรุ่นใหม่เช่นนี้มาเพิ่มล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีของต้าเซวียนนัก!”
เจี่ยไทเฮาเห็นฮ่องเต้เหมือนทรงไม่ยอมให้ผู้ใดมาต่อว่าอวิ๋นจิ่นจ้งได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว พระพักตร์ก็พลันเปลี่ยน
เงียบไปพักใหญ่ จนแทบจะได้ยินเสียงเข็มตกพื้นในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนได้ เจี่ยไทเฮาจึงได้ตรัสขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงโปรดคุณชายสกุลอวิ๋นผู้นี้มากจริงๆ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใด ทว่ากลับมีความนัยในการหยั่งเชิงอย่างชัดเจน
หนิงซีฮ่องเต้หรี่ตาลง ทราบดีว่าเสด็จแม่ทรงต้องการถามในสิ่งใด จงตรัสเสียงเรียบ “เสด็จแม่น่าจะทรงทราบว่าเรากับมารดาอวิ๋นจิ่นจ้งเคยมีสัมพันธ์กันอยู่ช่วงหนึ่ง เรายอมรับว่าเรื่องครานี้เห็นแก่หน้าชิงเหยาไม่มากก็น้อย มีความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง”
เจี่ยไทเฮาตรัสเสียงเรียบว่า “อ้อ เพื่ออวิ๋นจิ่นจ้ง กระทั่งโอรสน้อยที่ทรงโปรดปรานในยามปกติและทายาทขุนนางที่สำคัญเหล่านั้น ฝ่าบาทล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา…ก็เพียงเพราะความรู้สึกส่วนตัวของพระองค์กับสวี่ชิงเหยาหรือ อวิ๋นจิ่นจ้งเป็นบุตรของสวี่ชิงเหยา อีกทั้งยังมิใช่โอรสของพระองค์ ไม่คิดเลยว่าจะสำคัญกว่าเฝินอ๋อง”
หนิงซีฮ่องเต้รู้แต่แรกแล้วว่าไทเฮาต้องเดาออก จึงยิ้มตรัสว่า “ไทเฮาทรงต้องการจะพูดอันใดหรือ ระยะเวลาที่เรากับชิงเหยาได้คบหากันสั้นนักก็ต้องจากกันแล้ว นางแต่งงานมีลูกไป เราก็มิได้ไปพบนางอีก”
เจี่ยไทเฮาจ้องมองสีหน้าของพระองค์ ดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเป็นดั่งที่ตนได้คาดเดาเอาไว้หรือไม่
ขณะนั้นเอง หนิงซีฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว จับหน้าผากไว้
เจี่ยไทเฮาเห็นพระองค์สีหน้าซีดเซียวขึ้นกว่าเดิม คาดว่าวันนี้พระองค์คงใช้แรงไปมาก เกรงว่าส่งผลต่อร่างกาย จึงมิได้ซักไซ้ต่อ ตรัสเรียกคำหนึ่งว่า “ใครก็ได้ มาพยุงฝ่าบาทกลับตำหนักไปพักผ่อนที”
ขณะเดียวกันนั้นเอง เมี่ยวเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอก มือจับตะขอทองของเสาระเบียงทางเดินไว้ ได้ยินเข้าก็ได้สติขึ้นมา
เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสว่าพอสวี่ฮูหยินแต่งงานมีลูกไป พระองค์ก็มิได้พบนางอีก แต่ที่งานล่าสัตว์ครานั้น ก่อนคืนที่นางจะไปถวายงานอุ่นเตียงที่หอชมจันทร์ ได้นอนคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วจึงได้รู้เรื่องราวระหว่างสวี่ฮูหยินกับฝ่าบาท
อวิ๋นหว่านชิ่นเคยเล่าว่า คืนหนึ่งในฤดูหนาว ในตอนสวี่ฮูหยินเพิ่งจะคลอดคุณชายน้อย เหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงเคยปลอมตัวไปเยี่ยมฮูหยินที่จวนอวิ๋น ตอนนั้นเป็นอวิ๋นเสวียนฉั่งที่ปล่อยให้ฝ่าบาทเข้าจวนมาโดยไม่ห้ามปราม
เพราะในตอนที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังเล่าเรื่องนี้ น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความรังเกียจอวิ๋นเสวียนฉั่ง เมี่ยวเอ๋อร์จึงจำได้แม่นยำนัก
ฝ่าบาทยามนี้กลับตรัสว่าสวี่ฮูหยินแต่งงานไป ทั้งสองก็มิได้พบกันอีก…เห็นได้ชัดว่าทรงโกหกไทเฮา
พอได้ยินเสียงไทเฮาตรัสสั่ง เมี่ยวเอ๋อร์จึงครุ่นคิดอันใดต่อไม่ทัน เอ่ยรับคำไปคราหนึ่ง เลิกม่านเดินเข้าไปพยุงหนิงซีฮ่องเต้เข้าไปพัก
ณ นอกเขตพระราชฐาน
รถม้าของจวนอ๋องจอดรออยู่นาน ซย่าโหวซื่อถิงก็ยังไม่ส่งคนมาบอกกล่าวอันใดเสียที อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก นางฟุบลงกับหน้าต่าง จ้องประตูใหญ่ของวังหลวงเขม็ง
ทันใดนั้น ห่วงสำริดของประตูเจิ้งหยางก็พลันกระทบกันเกิดเป็นเสียงกึงๆ ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกมาด้านนอก
ภายในประตูนั้น มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นวุ่นวายพร้อมกับเสียงร้องไห้คลอมาเบาๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันรีบร้อนเลิกม่านออกกว้าง ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
ประตูเจิ้งหยางเป็นหนึ่งในประตูหลักของเขตพระราชฐาน ทั้งกว้างทั้งสูง พอประตูเปิดออกก็จะเห็นทั้งในทั้งนอกได้อย่างถ้วนทั่วชัดเจน
เกาจ๋างสื่อกับชูซย่าก็ต่างรีบลงจากรถมามองหาเช่นกัน
เห็นเพียงนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนคุณชายถูกขันทีกลุ่มหนึ่งกุมตัวออกมา หน้าประตูมีม้านั่งยาววางอยู่หลายตัว