ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 222 มีสาเหตุการตายอื่น (2)
ด้านข้างของประตูเฟิ่งเทียนเมื่อเทียบกับประตูใหญ่บานอื่นๆ และประตูข้างแล้วมันเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นประตูที่เหล่านางกำนัลขันทีมักใช้เข้าออกไปทำธุระ และพระญาติที่เป็นสตรีที่เข้ามาถวายพระพรก็ใช้ประตูนี้เช่นกัน
ไม่ไกลกันนัก มีทหารรักษาพระองค์ยืนเรียงกันเป็นแถวเพื่อขวางทางสัญจรไว้
“เหนียงเหนียงเจ้าคะ ต้องพบหน้าพระมาตุลาเจี่ยงให้ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” เมื่อวานชูซย่าได้ทราบมาว่าวันนี้อวิ๋นหว่านชิ่นจะไปพบเจี่ยงยิ่น นางก็เริ่มกังวลขึ้นมา
“ใช่ ต้องพบ” เรื่องบางเรื่อง เกรงว่าต้องถามจากปากของเจี่ยงยิ่นให้รู้เรื่องเท่านั้น ยามล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครานั้น เขาบอกนางว่า ท่านแม่กับฝ่าบาทแม้ว่าจะเคยคบหากันช่วงหนึ่ง แต่ก็รักษาจารีตกันไว้ตลอด ทว่าสถานการณ์ยามนี้ ทำให้นางอดสงสัยขึ้นมามิได้
อีกทั้ง ประโยคก่อนที่เจี่ยงฮองเฮาจะสิ้นใจในตำหนักซือฝาได้ถูกฝ่าบาทขัดขึ้นมา มันคาดเดาได้ง่ายเกินไป
ทว่า หากยืนยันได้ว่าฝ่าบาทกับท่านแม่ผิดจารีตต่อกันจริง เช่นนั้นก็หมายความว่า…อวิ๋นหว่านชิ่นกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะไม่กล้าคิดต่อ
นางชิ่นสงบจิตใจ ตัดสินใจแน่วแน่ เอ่ยปากขึ้นสั่ง คนรถก็ฟาดแส้บังคับบังเหียนมุ่งหน้าไปเบื้องหน้าต่อ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างประตู
ทหารรักษาพระองค์ที่เห็นรถม้าแม้จะเรียบง่าย ทว่าก็สวยสง่า ผ้าม่านที่คลุมอยู่มีลวดลายเมฆลอยสีทองสลับม่วง พลขับก็แต่งตัวสง่างาม แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพระญาติสกุลใดสกุลหนึ่ง ทว่าก็ยังคงเข้าไปขวางรถนั้นเอาไว้
คนขับที่อยู่หน้ารถลงจากรถเดินไปหาสองสามก้าว ส่งป้ายแขวนเอวจากหน้าอกให้ดู “ข้าน้อยเป็นคนของจวนฉินอ๋อง มาส่งพระชายาถวายพระพรพระสนมเอกเฮ่อเหลียน ได้บอกแก่กองกิจการภายในไว้ก่อนแล้ว”
แม้ว่าจะตั้งใจมาถามเจี่ยงยิ่นให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลย อวิ๋นหว่านชิ่นได้เตรียมตัวไว้พร้อมตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว นางให้เกาจ๋างสื่อส่งจดหมายให้ที่วัง ใจความว่ามิได้เข้าไปถวายพระพรเสด็จแม่มานาน อีกสองวันจะเข้าวังไปเยี่ยม พระสนมเอกเฮ่อเหลียนก็ตอบรับมาแล้วเช่นกัน
ทหารรักษาพระองค์รับป้ายมาดูคราหนึ่ง กำลังจะโบกมือสั่งให้เปิดประตูให้ผ่านเข้าไป กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ดังขึ้น “พระชายาฉินอ๋องหรือ”
“ขอรับ” ทหารรักษาพระองค์เห็นใต้เท้าหานที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าทหารรักษาพระองค์จึงเอ่ยตอบไป
หานทงเดินมายังรถม้าอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเคารพนอบน้อม “ถวายพระพรเหนียงเหนียง อวิ๋นเหนียงเหนียงจะเข้าวังไปถวายพระพรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นบิดาของหานเซียงเซียง ชูซย่าแปลกใจอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องของหานเซียงเซียงหรือไม่ นางจึงไม่ค่อยประทับใจต่อบิดาอีกฝ่ายอย่างหานทงเท่าใดนัก
ภายในรถม้า เสียงของสตรีลื่นหูดังขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจหลังผ้าม่านผืนบาง “ใต้เท้าหาน วันนี้เป็นวันที่ต้องเข้าวังเพื่อถวายพระพรเสด็จแม่”
หานทงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เกรงว่าวันนี้จะมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ชูซย่าไม่พอใจ ทว่าน้ำเสียงกลับยังเคารพนบนอบอยู่ “ใต้เท้าหานหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“พระมาตุลาเจี่ยงเพิ่งจะกลับวังหลวงมาวันนี้ ร่วมไว้อาลัยอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งจ๋า อีกทั้งยังจัดสถานที่ประกอบพิธีศพสวดพระคัมภีร์ถวายแก่ฮองเฮาด้วยตัวเอง ฉินอ๋องทรงจัดพิธีทางศาสนาเต๋า รับสั่งเข้มงวดให้งดเข้าออกวัง งดงานรื่นเริงทุกชนิด” หานทงบอก
“แล้วนี่มันเกี่ยวอันใดกับเหนียงเหนียงของข้าที่จะไปถวายพระพรพระสนมเอกกันเจ้าคะ หรือการที่เหนียงเหนียงเข้าวังไปถวายพระพรจะกระทบกับพิธี ทำคนตายตกอกตกใจเข้า”
หานทงค้อมตัว เอ่ยอย่างผวาว่า “เหนียงเหนียงล่วงเกินแล้ว นี่เป็นฉินอ๋องที่รับสั่งไว้ก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจำเป็นต้องทำตาม หากพระมาตุลาออกจากวังไปแล้ว เหนียงเหนียงจะมาถวายพระพรใหม่ก็มิสาย”
จะไปยากอันใด ก็ให้เขาไปบอกองค์ชายสามที่นั่น ดูซิว่าจะอนุญาตให้เหนียงเหนียงเข้าวังหรือไม่! เดิมทีการบอกกล่าวว่าจะมาถวายพระพรในวันนี้ได้นัดแนะเรียบร้อยแล้ว นี่มันทำให้พระสนมเอกคิดว่าเหนียงเหนียงผิดนัด จนเกิดไม่พอพระทัย ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมารดาของสวามีกับลูกสะใภ้ชัดๆ หานทงผู้นี้ไม่รู้ว่าแกล้งอิงตามความยุติธรรมจริงๆ หรือเพราะเรื่องส่วนตัวกันแน่
ชูซย่ากำลังจะพูดกลับรู้สึกถึงอวิ๋นหว่านชิ่นจับข้อมือตัวเองไว้ นางมองไปด้านนอก “ในเมื่อเป็นเจตนาของฉินอ๋อง ก็เอาตามที่พระองค์ว่าก็แล้วกัน”
หานทงถอนหายใจ “ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”
“แต่ว่า” เสียงสตรีดังขึ้นมาอีกครา “ใต้เท้าหาน ไม่ทราบว่าพิธีในวันนี้จะเสร็จสิ้นเมื่อใดหรือ”
หานทงตอบว่า “ดำเนินไปตลอดทั้งวันพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่ายังไม่ค่ำก็คงจะไม่แล้วเสร็จง่ายๆ”
“หากเสร็จสิ้นแล้ว ตามธรรมเนียมก็คงจะเข้าวังได้แล้วกระมัง”
หานทงตกตะลึง “ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เอ่ยอันใดอีก นางยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้คนขับหันหัวรถกลับ
หานทงงงงัน เห็นรถม้าหันกลับไปจึงได้สั่งให้ทหารรักษาพระองค์กลับไปประจำตำแหน่งดังเดิม ส่วนเขาก็หันหลังจากไป
ภายในรถ ชูซย่าหัวเราะเยาะเบาๆ “ข้าว่าหานทงทำเพื่อลูกสาวตัวเองจึงได้จงใจอ้างคำสั่งขององค์ชายสามขึ้นมา คิดว่าพวกเราจะล้มได้ง่ายๆ เพียงนั้นหรือ สองพ่อลูกคู่นี้เหมือนกันจริงๆ เหมือนกันอย่างมาก ภายใต้ชื่อเสียงอันงดงามนี้ คนพ่อก็เพื่องานในหน้าที่ เหตุผลถูกต้องและวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม คนลูกก็เพื่อความรัก ซาบซึ้งเสียจนสะเทือนฟ้าดินไปหมด! ทำแต่เรื่องน่ารังเกียจ เอาเถิด พูดไว้แล้วว่าวันนี้จะเข้าวังไปถวายพระพรพระสนมเอก เหนียงเหนียงเข้ามิได้ ต่อให้มีเหตุผล ก็เกรงว่าพระสนมเอกคงไม่พอพระทัยอยู่ดี นี่มันยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเหนียงเหนียงกับพระสนมเอกมากยิ่งขึ้นมิใช่หรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังชูซย่าบ่น กลับมิได้พูดอันใดมาก ทำเพียงให้รถม้าจอดห่างจากประตูข้างไปไม่ไกลนัก
ชูซย่าเห็นนางยังไม่คิดกลับจวนก็อดถามมิได้ว่า “จะรอให้พิธีเลิกจริงหรือเจ้าคะ”
พรุ่งนี้เจี่ยงยิ่นก็ไปสุสานหลวงแล้ว วันนี้ต้องได้พบเขาให้ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “รอ”
เวลาผ่านไปใกล้จะถึงเวลาเที่ยงตรง ค่อนวันไปแล้ว อย่างไรเสียภายในรถก็คับแคบ อุดอู้อยู่ด้านในก็ทรมานอยู่ ชูซย่าอดมิได้ที่จะถุยน้ำลายใส่หานทงอยู่ในใจ เอ่ยว่า “เที่ยงแล้ว บ่าวไปซื้อของแห้งที่หอสุราด้านข้างให้นะเจ้าคะ เหนียงเหนียงจะได้ไม่หิว”
พูดจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกถึงท้องที่ร้องโครกครากขึ้นมาจริงๆ เมื่อเช้ารีบร้อนออกมา อยากจะเสร็จธุระไวๆ กระทั่งมื้อเช้าก็มิได้ทาน กำลังจะพยักหน้า ประตูข้างประตูเฟิ่งเทียนก็ขยับจนเกิดเสียงขึ้นกุกกัก เห็นเงาคนเดินออกมา แต่งตัวเหมือนนางกำนัล ด้านข้างยังมีขันทีอีกสองนาย
ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูอยู่พูดคุยกับนางกำนัลคนนั้นด้วยท่าทางนอบน้อม นางกำนัลนางนั้นจึงพาพวกขันทีออกจากประตูไป ท่าทางราวกับออกวังไปทำธุระให้ผู้เป็นนายอย่างไรอย่างนั้น
นางกำนัลกลับไม่แปลกหน้า เป็นนางกำนัลข้างกายองค์หญิงฉางเยว่ซย่าโหวถิงนามว่าอิ๋นเชวี่ย อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ครุ่นคิดนาน นางกระซิบสั่งคนรถว่า “ตามไป”
อิ๋นเชวี่ยนเพิ่งจะเดินผ่านรถม้ามา ได้ยินเสียงสตรีนุ่มนวลลื่นหูดังขึ้นจากหน้าต่าง “แม่นางอิ๋นเชวี่ย ไม่พบกันนานทีเดียว”
อิ๋นเชวี่ยเห็นใบหน้าหลังม่านหน้าต่างคุ้นๆ ก็ตื่นเต้นดีใจอยู่ไม่น้อย นางหยุดฝีเท้าลง ให้ขันทีทั้งสองรั้งรอก่อน แล้ววิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา “พระชายาฉินอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ เตรียมจะเข้าวังหรือ องค์หญิงของบ่าวยังเป็นห่วงท่านอยู่เลยเพคะ”
ชูซย่าทอดถอนใจเอ่ยตอบไปว่า “เจ้าค่ะ เตรียมจะเข้าวังไปถวายพระพรพระสนมเอก แต่ดูท่าแล้วคงจะได้มาเสียเที่ยว”
“เพราะเหตุใดเล่า”
“ทหารรักษาพระองค์บอกว่าวันนี้พระมาตุลาเจี่ยงกลับวังหลวง กำลังทำพิธีทางศาสนาถวายแด่ฮองเฮา ไม่อนุญาตให้เข้าออก เพราะจะเป็นการรบกวนในการทำพิธี”
อิ๋นเชวี่ยครุ่นคิด “ไม่ให้เข้าออกหรือ นี่บ่าวกำลังจะออกไปซื้อของให้องค์หญิงแหน่ะเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน แต่รอยยิ้มในแววตากลับเบ่งบานขึ้น เอ่ยทักว่า “หมู่นี้องค์หญิงของเจ้าเกิดสนใจของแปลกใหม่อันใดขึ้นมาอีกเล่า สิ่งใดบ้างที่ในวังหลวงจะไม่มี ซ้ำยังให้เจ้าไปหาซื้อจากตามท้องตลาดอีก”
อิ๋นเชวี่ยกลับถูกนางพูดตรงประเด็นเป๊ะ พระชายาฉินอ๋องสนใจรสนิยมองค์หญิงมาโดยตลอด ทั้งยังมองเจตนาขององค์หญิงออกอย่างทะลุปรุโปร่ง นานแล้วเช่นกันที่องค์หญิงมิได้พบนาง ในเมื่อวันนี้มาแล้ว หากองค์หญิงได้พบปะกับนางก็ดีไม่น้อย จึงยิ้มเอ่ยว่า “ของแปลกใหม่อันใดก็ไม่สู้ให้องค์หญิงได้พบพระชายาหรอกเพคะ…จริงสิ พระชายากำลังจะกลับหรือเพคะ”