ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 224 ปกป้องเขาให้ดี (1)
เหยากวงเหย้าฟังแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่ออวิ๋นหว่านชิ่น อุตส่าห์คิดหาวิธีรักษาโรคที่ยากจะรักษาของสามี แล้วจะให้สตรีคนอื่นมาเอาหน้ารับผลงานไปเช่นนี้หรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนที่เขาเรียกได้ว่าลูกศิษย์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชินที่นางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้
พอออกจากตำหนักชุ่ยหมิงมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็กำลังจะเดินไปทางประตูเฟิ่งเทียน ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นด้านหลัง “ดีเสียจริง พี่สะใภ้สามช่างไม่รักษาสัจจะเอาเสียเลย ไหว้พระไหว้เจ้าเสร็จแล้วก็จะกลับไปทั้งนั้นเสียแล้ว ถวายพระพรพระสนมเอกแล้วก็ไม่เห็นจะไปหาข้าตามที่บอกเลย!”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางหันหลังเดินเข้าไปหา เอ่ยว่า “องค์หญิงฉางเยว่ ความจริงแล้ววันนี้มีธุระเยอะนัก คราหน้าเข้าวังมาอีกจะไปหาแน่นอน ถึงเวลานั้นองค์หญิงก็ขังข้าไว้ที่ตำหนักโซ่วเซียนเสีย ข้าก็จะไม่แย้งสักแอะ พรุ่งนี้เป็นอย่างไร” พรุ่งนี้ต้องเข้าวังมาพบเจี่ยงยิ่นด้วยพอดี อย่างไรเสียก็ต้องหาขออ้างให้มาอยู่แล้ว วันนี้เพิ่งจะถวายพระพรพระสนมเอกไปแล้ว มิอาจมาในวันพรุ่งนี้ได้อีก ซ้ำยังไม่สะดวกจะสวมหน้ากากเข้าหาอีก พูดตามตรงเลยว่าต่อให้สะดวกก็ไม่อยากจะไปอีกแล้ว หลายครั้งหลายครามานี้ต้องได้ปะทะคารมกับนางทุกครั้ง เลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงไว้เป็นดีที่สุด
บังเอิญนัก องค์หญิงฉางเยว่เหมือนฝนตกลงมาทันเวลา มาได้ทันเวลาพอดี!
เดิมทีซย่าโหวถิงตั้งใจเย้าแหย่นางเฉยๆ ไหนเลยจะโทษนางจริงๆ ได้ พอได้ยินนางป้อนคำหวานว่าพรุ่งนี้จะเข้าวังมาเล่นเป็นเพื่อนก็ยิ่งดีใจเหลือแสน พยักหน้าหงึกหงักแล้วยิ้มตรัสว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าขังเจ้า ไม่กลัวพี่สามมาหาข้าเพื่อแย่งเจ้าไปหรือ!” องค์หญิงดึงข้อมือนางไว้แล้วยิ้มถามว่า “ว่าแต่ว่า ยามนี้ธุระของเจ้าเสร็จหรือยัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าอีกฝ่ายที่ชอบเล่นสนุกอยากจะให้นางเล่นด้วยตอนนี้ พรุ่งนี้ต้องอ้างชื่อนางเข้าวัง แต่ก็ไม่อยากให้นางไม่พอใจจึงเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “องค์หญิงจะให้ข้าไปที่ตำหนักหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงเข้ามาใกล้นาง พูดเสียงเบาลงว่า “วันนี้เห็นพี่สะใภ้สามเดินไปนั่นมานี่ ก็คงจะเหนื่อยแล้ว จึงไม่อยากให้มาเล่นกับข้าแล้ว ให้ข้าไปที่ที่หนึ่งด้วยก็พอ”
“ไปที่ใดหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นถามอย่างแปลกใจ
ซย่าโหวถิงไม่พูดให้มากความ มองซ้ายแลขวา ลากนางไปอีกด้านหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “พอพี่สะใภ้ออกจากวังไป ก็ใช้ชีวิตเปรมปรีมีความสุข ลืมคนที่ยังนอนอยู่ในวังไปจนสิ้นแล้วหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักตกใจแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “อาการบาดเจ็บของไท่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นอย่างไรบ้างนั้นพี่สะใภ้ก็ไปตำหนักซงหยวนดูเอาเองก็ได้แล้ว” ซย่าโหวถิงยิ้ม “ระยะห่างแค่สองสามก้าวเท่านั้น ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่ไกลหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ฉางเล่อ ข้ามิได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เกรงว่าจะไม่ดี อย่างไรก็ต้องรักษาระยะห่างไว้”
“เป็นอย่างที่ท่านพี่ไท่จื่อว่าไว้เลย พี่สะใภ้ช่างใจดำเสียจริง” ซย่าโหวถิงโมโห ทว่าก็มิได้โกรธเป็นจริงเป็นจัง กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสองจิตสองใจขึ้นมา “อาการบาดเจ็บของท่านพี่ไท่จื่อนั้น คนอื่นคิดว่าตกม้า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ความจริงหรือไร พี่สะใภ้แค่ไปดูสักครั้งก็ไม่ยอมไป”
เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่กล่าวคำ ซย่าโหวถิงก็รีบตีเหล็กในตอนที่ยังร้อน กระซิบข้างหูว่า “…นอนอยู่บนแท่นบรรทมแท้ๆ ก็ยังให้เหนียนกงกงไปช่วยญาติพี่สะใภ้สามเลย”
พอพูดถึงพี่ชายกับหงเยียนขึ้นมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชักจะลังเลขึ้นมาจริงๆ พี่ถูกส่งไปยังหลิ่งหนานแล้ว แต่หงเยียนกลับยังต้องได้รับความช่วยเหลืออยู่ เห็นว่าเวลาไม่มากนัก ขณะกำลังเป็นกังวล วันนี้ไปดูสักคราก็ดีเหมือนกัน ดูว่าจะขอให้ไท่จื่อช่วยคิดหาวิธีให้ได้หรือไม่
ซย่าโหวถิงอาศัยจังหวะที่นางกำลังผ่อนลมหายใจ จับข้อมือนางไว้ แย้มยิ้มออกมา “ไปๆ ยังมัวรีรออันใดอยู่อีก รีบไปจะได้รีบกลับ!”
เพียงครู่เดียวเท่านั้น ทั้งคู่ก็มาถึงตำหนักตงกง
ก้าวเข้าประตูมา หลานเจาซวิ่นที่อุ้มพระนัดดาน้อยไว้ก็เดินนำพี่เลี้ยงกับแม่นมมายืนรออยู่ภายในตำหนัก ดูเหมือนว่าจะรออยู่นานแล้ว
พอเห็นทั้งสองมา ใบหน้าหลานเจาซวิ่นก็ฉายแววดีใจ รีบเข้าไปต้อนรับ “องค์หญิงกับพระชายาฉินอ๋องเสด็จมาแล้ว”
ท่าทางเช่นนี้ ดูก็รู้ว่าได้เตรียมการกันมาแล้ว
ทราบมานานแล้วว่าโอรสธิดาคู่นั้นของพระสนมรองมีความสัมพันธ์อันดีกับไท่จื่อ ก่อนแต่งงาน นางเข้าวังมาถวายงานช่วยไทเฮาทรงเครื่อง ก็เป็นซย่าโหวถิงที่นำนางไปหาไท่จื่อมิใช่หรือ วันนี้จึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมององค์หญิงคราหนึ่ง
ซย่าโหวถิงกลับไม่รู้สึกผิดสักนิด ตรงข้ามยังทรงถามหลานเจาซวิ่นอย่างไม่สนใจอีกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หลายวันมานี้พี่ไท่จื่อดีขึ้นบ้างหรือไม่”
หลานเจาซวิ่นตอบเสียงเบา “เป็นบุญนักเพคะที่ไท่จื่อหายวันหายคืน ยามนี้ลงจากเตียงได้แล้ว เพียงแต่หมอหลวงบอกว่าบริเวณที่บาดเจ็บนั้นเปราะบางนัก เกรงว่าจะมีโรคที่ตกค้างอยู่อาจจะแสดงอาการเอาภายหลังได้ จึงกำชับกับไท่จื่อว่าระยะนี้อย่าขยับมาก รอให้หายดีก่อนค่อยเดินเหินเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าไท่จื่อไม่เป็นอันใดมากก็หายตระหนก ยื่นแขนทั้งสองข้างไปหาหลานเจาซวิ่น
หลานเจาซวิ่นรีบอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์ส่งไปให้ ยิ้มเอ่ยว่า “รีบให้พระชายาดูเร็ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นรับเซี่ยวเอ๋อร์มาจากอกหลานเจาซวิ่น เห็นเด็กน้อยร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงกว่าคราก่อน ดวงหน้ารูปไข่ถูกขุนเสียจ้ำม่ำ ดวงตาดำคู่นั้นใสแจ๋ว พอเห็นว่าเป็นผู้ใดก็เหมือนจะรับรู้ได้ ปากน้อยๆ เบะออกเหมือนกำลังยิ้มให้
นางอมยิ้มกุมมือน้อยๆ ที่ขาวเหมือนรากบัวเอาไว้ ส่ายไปมา บนข้อมืออ้วนป้อมนั้นมีเสียงกำไรทองดังขึ้น หยอกเย้าให้เซี่ยวเอ๋อร์หัวเราะออกมาน้อยๆ ซ้ำยังยู่ปากมู่ทู่ บุ้ยใบ้อยู่สองครั้ง
“ไม่กี่วันก่อนคนรับใช้ของพระชายามาส่งของกำนัลให้ หม่อมฉันยังมิได้ขอบพระทัยเลยเพคะ เป็นของดีจริงๆ เมื่อก่อนเซี่ยวเอ๋อร์เด็กคนนี้ชอบป่วยชอบไข้นัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะนอนหลับได้ไม่ดี พอมีกำยานก็หลับได้สนิทขึ้นมากเพคะ” หลานเจาซวิ่นยิ้มบอก
ออกจากวังไปไม่นาน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ให้ชูซย่าส่งของขวัญจากนอกเมืองไปยังวังหลวง เป็นของขวัญในการเยี่ยมญาติครั้งแรก เด็กน้อยในราชวงศ์จะขาดตกสิ่งใดกัน นางลงมือปรุงกำยานกลิ่นอ่อนๆ ที่เหมาะสำหรับการนอนหลับของทารกด้วยตัวเอง ทำให้เป็นถุงแป้ง สะดวกอย่างมาก เปิดออกเอาผงกำยานใส่ลงในกระถางก็เป็นอันเรียบร้อย
ในคราที่ซย่าโหวถิงถวายพระพรแด่ไทเฮานั้นก็แอบได้ยินเรื่องที่เซี่ยวเอ๋อร์นับพระชายาฉินอ๋องเป็นมารดาบุญธรรม วันนี้มาเห็นกับตาจึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง จึงยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้พระชายาก็เป็นมารดาบุญธรรมของเซี่ยวเอ๋อร์นี่เอง เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าพี่สามก็เป็นบิดาบุญธรรมของเซี่ยวเอ๋อร์น่ะสิ เซี่ยวเอ๋อร์นี่นับว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่น้อย พระบิดาแท้ๆ เป็นถึงองค์รัชทายาท บิดามารดาบุญธรรมก็เป็นถึงฉินอ๋องกับพระชายา”
ประโยคนี้ทำเอาหลานเจาซวิ่นกับอวิ๋นหว่านชิ่นต่างเงยหน้าขึ้นจากห่อผ้าอ้อม
ครู่ต่อมา หลานเจาซวิ่นจึงได้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ฉินอ๋องรู้เรื่องที่พระชายารับเซี่ยวเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรมหรือยังเพคะ”
แม้เรื่องนี้จะมิได้ทำอย่างเปิดเผยเป็นทางการ แต่ภายในวังก็มีชนชั้นสูงหลายคนที่ทราบ อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าองค์ชายสามก็น่าจะทราบแล้วเช่นกัน
ทว่าเขามิได้พูดถึงมันเลย นางคิดว่าเดิมทีเขาก็เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้อยู่แล้ว อีกทั้งหมู่นี้ก็ยุ่งเสียจนเท้ามิได้ติดพื้น คาดว่าคงมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ดังนั้นนางจึงมิได้ถามมาก
ขณะนั้นเอง ซย่าโหวถิงเห็นว่านานมากแล้ว จึงส่งสายตาให้หลานเจาซวิ่น
หลานเจาซวิ่นจึงหันไปมองตำหนักซงหยวนคราหนึ่ง อุ้มเซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาเพคะ ไท่จื่อทรงพักผ่อนอยู่ด้านใน โปรดตามหม่อมฉันเข้าไปเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งเสียงอืมรับคำแล้วเตือนซย่าโหวถิงว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้ามาใหม่ แล้วไปหาที่ตำหนักโซ่วเซียน”
ซย่าโหวถิงพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าก่อนยามเหม่า[1] ข้าจะให้อิ๋นเชวี่ยไปรับเจ้าที่ประตูเฟิ่งเทียน” อวิ๋นหว่านชิ่นนัดแนะกับองค์หญิงเสร็จก็เดินตามหลานเจาซวิ่นเข้าตำหนักซงหยวนไป
ซย่าโหวถิงเบิกบานไปทั้งตัว เดินนำอิ๋นหมิงด้วยความเปรมปรีดาออกจากตงกงไป
สองคนนายบ่าวเพิ่งจะออกไป ห่างจากตำหนักซงหยวนไปไม่ไกลนัก บนระเบียงทางเดินยาว เจี่ยงอวี๋ที่นั่งพิงเหม่ยก็เหรินดึงสายตากลับมา หัวเราะเยาะออกมาเบาๆ โบกพัดทรงกลมที่ทำจากผ้าไหมเล็กน้อย “ฉางเยว่ผู้นี้ ว่างเสียจนไม่มีอันใดทำแล้วกระมัง ทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักอย่างหน้าชื่นตาบาน ชอบยุ่งเรื่องผู้อื่นเช่นนี้ เหตุใดไม่ทูลขอฝ่าบาทให้ออกราชโองการแต่งนางเข้าตงกงมาเลยเล่า จะได้มายุ่มย่ามที่จวนองค์หญิงเสียให้หนำใจ!”
——————————————-
[1] ยามเหม่า 05.00 – 06.59 น.