ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 224 ปกป้องเขาให้ดี (2)
ประโยคนี้แม้จะดูเหมือนคำพูดตามตลาด หยาบคายอย่างมาก ทว่าสาวใช้ข้างกายกลับพยักหน้าเห็นด้วยไม่หยุด นางเอ่ยว่า “ไท่จื่อกับจิ่งอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน องค์หญิงฉางเยว่กับจิ่งอ๋องเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน ย่อมเชื่อฟังไท่จื่อตามจิ่งอ๋อง ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นความจริง ก่อนจะแต่งงานยังดีอยู่แท้ๆ พอแต่งงานไปแล้วกลับพาพี่สะใภ้มาพบไท่จื่อ มีเช่นนี้ด้วยหรือไร องค์หญิงฉางเยว่ผู้นี้ไม่รู้จักหลักครองตนในสังคมเอาเสียเลย ถูกพระสนมตามใจจนเสียคนไปแล้ว”
“แค่ฉางเยว่คนเดียวยินยอมก็เปล่าประโยชน์ มันต้องมีคนหนึ่งยินยอมพร้อมใจร่วมด้วย เจ้าดูสิ แม่นางสกุลอวิ๋นนั่นมาอีกแล้ว ข้าบอกแล้วว่านางกับไท่จื่อไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น มีฉินอ๋องอยู่แล้วก็ไม่ตัดสัมพันธ์กับไท่จื่อ” เจี่ยงอวี๋ออกแรงที่ข้อมือจนพัดในมือโบกไปมาแรงขึ้นตาม น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ซ้ำยังให้แม่นางสกุลหลานนั่นอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์มาเป็นฉากบังหน้า ให้ทั้งคู่ได้หน้ามึนหลอกลวงผู้คน หากพูดออกไปก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก! ข้าว่าที่รับเซี่ยวเอ๋อร์เป็นลูกบุญธรรม ก็คงมิได้มีจุดประสงค์ที่บริสุทธิ์อันใดกระมัง! ถุย! แพศยากันทั้งหมด!” กล่าวจบก็จ้องไปยังประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของตำหนักซงหยวนเขม็ง ราวกับว่าดวงตาทั้งสองนั้นจะมองทะลุเข้าไปได้แล้วไปเห็นภาพบาดตาอันใดเข้าอย่างไรอย่างนั้น
สาวใช้ข้างกายเห็นนายหญิงโมโหก็เอ่ยปลอบว่า “แต่นี่เป็นเจตนาของไท่จื่อนะเจ้าคะ จะทำอันใดได้ พระสนมก็อย่าได้เอ็ดไปเลย หากไท่จื่อมาได้ยินเข้าจะไม่พอพระทัยเอาได้”
เจี่ยงอวี๋โบกพัดถี่ขึ้น ขับไล่ไฟแห่งความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ออกไป แววตาเคลื่อนไหวไปมา ทันใดนั้นก็หยุดลงอย่างนึกอันใดขึ้นมาได้ “นั่นเป็นผู้ใดกัน”
สาวใช้มองตามสายตาของพระสนมไป เห็นคนรับใช้ในวังสวมชุดคลุมสีมรกต หมวกสีดำ ยืนอยู่ห่างจากประตูตำหนักซงหยวนออกไปไม่ไกลนัก กำลังเข้าไปใกล้หน้าต่างที่แง้มเอาไว้น้อยๆ มือถือถาดรอง ดูๆ แล้วเหมือนว่ามาส่งน้ำส่งท่าให้ในตำหนักตงกง แต่ตัวคนกลับแอบมองเข้าไปในหน้าต่างบานนั้น
“เป็นกงกงนายหนึ่งที่ประจำประตูข้างของตงกงมีตำแหน่งงานเบ็ดเตล็ดเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยตอบ
“พาเขามานี่ที”
สาวใช้ทำตามที่สั่ง เรียกคนผู้นั้นให้มาหา
กงกงคนนั้นได้ยินข่าวมาว่าหลานเจาซวิ่นพาพระชายาฉินอ๋องเข้าตำหนักซงหยวนมา ก็รีบตามเข้ามา ขณะที่กำลังจ้องมองความเคลื่อนไหวภายในหน้าต่างอยู่นั้น ก็ถูกสาวใช้ข้างกายของพระสนมตะโกนเรียกจากด้านหลัง ตกอกตกใจจนขวัญกระเจิง ถาดในมือเกือบจะตกลงพื้น พอมาถึงที่พระสนมรองนั่งอยู่ก็ยังสั่นอยู่ไม่หาย
เจี่ยงอวี๋แค่เห็นขาทั้งสองข้างของเขาสั่นเทาเช่นนี้ก็รู้อยู่ในใจแล้ว นางขว้างพัดใส่หน้ากงกงคนนั้น “ไม่เลวนี่พ่อลูกกระต่ายขี้สอดรู้สอดเห็น นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ในตงกงแห่งนี้ ซ้ำยังมาแอบด้อมๆ มองๆ ที่ตำหนักซงหยวนอีก เป็นขโมยมือเท้าสกปรกใช่หรือไม่ หรือว่ามีแผนการร้ายอันใดในใจ คิดจะทำให้ตงกงเดือดร้อน!”
พระสนมรองนางนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในตงกงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฮองเฮาถูกเปิดโปงในงานเลี้ยงของราชวงศ์วันนั้น ก็ได้รับความสำคัญจากไท่จื่อเป็นอย่างมาก กงกงมิกล้าล่วงเกินนาง จึงคุกเข่าลง “กระหม่อมมิกล้าทำให้ตงกงเดือดร้อนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
สาวใช้ตำหนิขึ้นว่า “เช่นนั้นเหตุใดพอพระชายาฉินอ๋องเข้าไป เจ้าก็แอบด้อมๆ มองๆ เช่นนั้นกัน ยังจะมาโกหกอีก!”
กงกงตอบด้วยแข้งขาอ่อนแรง “กระหม่อมเพียงแค่ช่วยจับตาดู…จับตาดูเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นสั่งไว้ว่า หากพระชายาฉินอ๋องมาที่ตงกงก็ต้องจับตาดูไว้…”
ทันใดนั้นเจี่ยงอวี๋ก็พบทางสว่าง เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ผู้ใดกัน”
กงกงอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง มิกล้าไม่ตอบคำ “ปะ…เป็นฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่โลภมากอยากได้เงินเท่านั้น อีกทั้งจางเต๋อไห่ตำหนักชุ่ยหมิงเป็นคนบ้านเดียวกันกับกระหม่อม จึงได้โลภจนหน้ามืด ทว่า…กระหม่อมนอกจากจะจับตาดูทุกย่างก้าวพระชายาฉินอ๋องในตงกงเอาไว้ ก็มิได้ทำเรื่องนอกเหนือจากนี้อีกเลย เป็นคืนงานเลี้ยงของฮองเฮาวันนี้ที่ได้รายงานแก่ฉินอ๋องไปครั้งหนึ่ง ขอพระสนมรองโปรดอภัยด้วย โปรดอย่าได้ทูลเรื่องนี้ให้ไท่จื่อทรงทราบเลยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิกล้าทำอีกแล้ว!”
เจี่ยงอวี๋มุมปากหยักขึ้น นางไม่สนแล้ว ขัดขวางไท่จื่อมิได้ แต่มีคนที่ทำได้ ขัดขวางไว้ได้
ทันใดนั้น นางก็เอ่ยขึ้นเสียงดังและรุนแรงว่า “ไม่เลวนี่สุนัขรับใช้เยี่ยงเจ้าน่ะ เป็นคนรับใช้ของตงกงแต่กลับไปช่วยคนอื่นจับตามองเรื่องราวภายในตงกง กินบนเรือนขี้บนหลังคา ยังจะกล้าห้ามข้ามิให้ทูลไท่จื่ออีก!”
กงกงตกใจจนปัสสาวะแทบราด รีบโขกหัวขอร้องไม่หยุด “กระหม่อมรายงานอย่างพอเหมาะพอควรทุกครา มิได้ทำเกินไปแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไท่จื่อกับพระชายาฉินอ๋อง แล้วก็กลัวไท่จื่อจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอพระสนมรองโปรดเข้าใจด้วย!”
พอเหมาะพอควรรึ เหตุใดจึงทำแค่นั้น! เจี่ยงอวี๋ปรับสีหน้าให้กลับเป็นดังเดิม น้ำเสียงอ่อนโยน “หากอยากให้ข้าไม่ทูลไท่จื่อก็ย่อมได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทำคุณทดแทนโทษ”
กงกงปรีดาเป็นล้นพ้น “ขอพระสนมรองโปรดรับสั่งมา”
เจี่ยงอวี๋เลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อเจ้าจับตามองความเคลื่อนไหวพระชายาฉินอ๋องในตงกงมาตลอด เช่นนั้นก็คงรู้ดีในรายละเอียดทุกเม็ดที่นางกับไท่จื่อไปมาหาสู่กันกระมัง เจ้าไปทูลรายละเอียดทุกเม็ดให้แก่ฉินอ๋องฟังซะ”
ภายในตำหนัก ไท่จื่อเท้าคาง เอนกายพักผ่อนอยู่บนตั่งนุ่มนอกตำหนัก
หลานเจาซวิ่นเอ่ยอย่างอ่อนโยนโดยมีม่านบางๆ กั้นอยู่ “ไท่จื่อเพคะ พระชายามาเข้าเฝ้าเพคะ”
ไท่จื่อลุกขึ้นนั่ง ยังคงสวมฉลองพระองค์ตัวใหญ่หลวมโพรก สะดวกในการดูแลแผล พระองค์ตรัสขึ้นว่า “อืม พวกเจ้านั่งลงเถิด”
หลานเจาซวิ่นรู้ใจไท่จื่อดีจึงบอกคนรับใช้ให้ออกไปให้หมด ส่วนตัวนางก็อุ้มเซี่ยวเอ๋อร์นั่งอยู่เสียไกลลิบ ก้มหน้าก้มตาหยอกล้อลูกชาย มิได้ส่งเสียง เว้นที่ให้ทั้งสองได้พูดคุยกัน
อวิ๋นหว่านชินเห็นพระองค์นั่งได้มั่นคงก็คิดว่าบาดแผลคงดีขึ้นไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “แผลของไท่จื่อใกล้หายแล้วกระมัง”
“ฝืนลงจากเตียงได้อยู่ แต่เดินไปมายังคงลำบาก” ไท่จื่อแย้มยิ้ม “ดังนั้น เจ้าสามยังได้อยู่ในราชสำนักอีกหลายวันจนหนำใจพอดู”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยว่า “ไท่จื่อล้อเล่นแล้วเพคะ พระองค์เป็นถึงรัชทายาท ฉินอ๋องเป็นเพียงขุนนางที่คอยช่วยเหลือเท่านั้น”
ไท่จื่อทำให้นางต้องชื่นชมพระองค์ กะพริบตาทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอ๊ะ มีเรื่องใดจะขอร้องข้าหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลังเลอีกต่อไป “เรื่องของท่านพี่เพคะ ขอบพระทัยไท่จื่อมาก”
รอยยิ้มของพระองค์พลันจางหาย สีหน้าอึมครึมขึ้นมาก “มิต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ามิได้ช่วยเหลือเขา น่าเสียดายนัก เดิมทีเป็นคนที่ต้องเข้าจวนจันซื่อมาเพลิดเพลินกับเกียรติยศไม่รู้จบแท้ๆ ยามนี้เกรงว่าคงเดินทางไปหลิ่งหนานได้ครึ่งทางแล้วกระมัง ข้าคิดทุกครั้งในใจก็เจ็บปวดทุกครั้ง” ประโยคนี้มิได้หลอกลวง บ่มเลี้ยงคนที่สนิทที่ไว้ใจได้มาคนหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ทันไรก็ถูกย้ายไปไกลตัวเป็นพันๆ ลี้ ไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว แล้วจะมิให้ไท่จื่ออัดอั้นตันใจได้อย่างไร
“กฎหมายบ้านเมืองสูงที่สุด ไท่จื่ออย่าได้โทษตัวเองเลยเพคะ ในความเป็นจริง ท่านพี่ก็ฆ่าคนจริงๆ ทำความผิดจริง ทั้งยังมีฝ่าบาทที่ประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย มิอาจเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษได้” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย เว้นไปครู่หนึ่ง “แต่ว่า หงเยียนรับโทษแทนพี่หม่อมฉัน ไท่จื่อก็น่าจะทรงทราบ ตายไปเช่นนี้ ช่างไร้ความเป็นธรรมยิ่งนัก”
ไท่จื่อทรงรู้ในสิ่งที่นางสื่อ พระองค์เงียบไปครู่ใหญ่จึงได้ตรัสขึ้น “ชิ่นเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งจะบอกว่า กฎหมายอยู่สูงที่สุด ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ซ้ำยังมาติดงานไว้ทุกข์อีก คดีนี้อย่างไรก็ต้องมีคนรับโทษตาย หากมิใช่แม่นางสกุลหง ก็จะเป็นพี่ชายเจ้า”
ตรัสจบ ถ้วยชาในมืออวิ๋นหว่านชิ่นก็คลายลง เสียง เพล้งงง ดังขึ้นกระทบโต๊ะ
นางลุกขึ้นอย่างเหม่อลอย แล้วคุกเข่าลงบนพรมแดง “ไท่จื่อ!”
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าไม่ขอเจ้าสามให้ช่วยแล้วมาขอข้าได้เช่นนี้ ข้ามีความสุขนัก” ไท่จื่อกลับมิได้รีบร้อนบอกนางให้ลุกขึ้น “แต่ว่า ครานี้ข้าคงต้องขอโทษเจ้าแล้ว”
เหตุใดจะไม่ขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม เพียงแค่นางคิดอยากได้อีกโอกาสหนึ่งมาเพิ่มเท่านั้นเอง แต่ไม่นึกว่าจะยากถึงเพียงนี้
หากพระองค์บอกว่าไม่ได้ เช่นนั้นก็คงไม่ได้ดังว่าแล้ว ปกติพระองค์ขี้เล่นอารมณ์ดีไม่เปลี่ยน ใจกว้างไม่เหี้ยมโหด แต่สำหรับเรื่องสำคัญแล้ว กลับเข้มงวดกว่าคนที่เคร่งครัดถึงสามส่วน
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเหมือนลำคอมีละอองน้ำชั้นหนึ่งมาปิดกลั้นอยู่ กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก เรื่องใหญ่ถูกตัดสินแล้ว หงเยียน หงเยียนของนาง หรือว่าจะเสียนางไปทั้งอย่างนี้แล้ว