ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 225 จับตามอง (1)
หลังม่านกั้นนั้นไท่จื่อเห็นขนตาของนางมีน้ำตาเกาะพราวอยู่ แววตาเก็บอารมณ์ พระองค์ฝืนลุกขึ้น เดินเข้าไปคิดอยากจะดึงนางเข้ามากอด
หลานเจาซวิ่นเห็นไท่จื่อไม่สนใจอาการบาดเจ็บ พอโน้มตัวลงสีหน้าก็เครียดเกร็ง ราวกับกำลังฝืนทนความเจ็บอยู่ นางรีบลุกขึ้น “ไท่จื่อเพคะ…”
โชคดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเข้าจึงรีบลุกขึ้นมา “ไท่จื่อโปรดนั่งลงก่อนเพคะ”
ไท่จื่อดึงมือกลับไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วย”
หลานเจาซวิ่นแอบตกใจอยู่เงียบๆ นางกอดลูกไว้แนบอกแน่น ก้มหน้าลง ทำเป็นไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นฝืนกลั้นน้ำตาไว้ “ไท่จื่อฐานะสูงส่ง มีคนมากมายจับตามอง ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งมิอาจแตะต้องกฎหมายบ้านเมืองได้โดยง่าย หม่อมฉันไม่ขอกล่าวโทษพระองค์หรอกเพคะ พระองค์อย่าได้ตรัสเช่นนี้อีก” ทว่านางไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อแล้ว จึงทำตัวให้สดชื่นขึ้น “นี่ก็ได้เวลาแล้ว หม่อมฉันต้องขอตัวก่อน”
“อืม เจาซวิ่น ส่งพระชายาที” ไท่จื่อเห็นนางผิดหวังก็พระทัยหดหู่ แทบจะสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง
หลานเจาซวิ่นรับคำ อุ้มเซี่ยวเอ๋อร์ออกจากตำหนักซงหยวนไปพร้อมกับอวิ๋นหว่านชิ่น
ณ พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
บนแท่นบรรทมนั้น หนิงซีฮ่องเต้เห็นเหยาฝูโซ่วกลับมาแล้วก็วางช้อนยาที่เคลือบฝ้าหลาง[1]ลงในชาม แล้วให้เมี่ยวเอ๋อร์ยกออกไป
พระองค์ลุกขึ้นนั่ง ขนงเลิกขึ้น “มีอันใดรึ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมให้พระมาตุลากลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งคู่น่าจะยังมิได้พูดคุยอันใดกันมาก” เหยาฝูโซ่วรายงาน
หนิงซีฮ่องเต้พระพักตร์ผ่อนคลายลง ทว่ากลับถอนใจออกมาอีกครา “เด็กคนนี้ เราประเมินค่านิสัยของนางต่ำไป เหตุใดจึงได้ไถ่ถามไม่ถอดใจเช่นนี้”
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวใดล้วนมิใช่เรื่องดี อีกทั้งเกี่ยวข้องกับน้องชายแท้ๆ ที่สนิทที่สุดอีก ผู้ใดบ้างจะไม่สนใจใคร นางดันรู้จักกับเจี่ยงยิ่นพอดี คำที่ติดอยู่แค่ปลายลิ้นจะไม่ถามได้อย่างไร เหยาฝูโซ่วก็มิได้กล่าวอันใดอีก ทูลไปว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย อย่างไรเสียพระชายาฉินอ๋องก็กลับไปแล้ว วันรุ่งขึ้นพระมาตุลาก็จะกลับเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้กลับยังไม่วางพระทัยอย่างเห็นได้ชัด พระองค์ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า “เราได้บทเรียนจากนางมาแล้ว วันนี้กลับไป ไม่แน่พรุ่งนี้ก็ยังจะมาอีก ต่อให้ไม่อนุญาตให้นางเข้าวัง เกรงว่านางก็คงหาโอกาสไปพบพระมาตุลาที่ด้านนอกอยู่ดี! เหยาฝูโซ่ว”
เหยาฝูโซ่วเข้าใจในความหมายที่พระองค์ตรัสมาจึงรีบค้อมตัวลง “กระหม่อมทราบแล้ว จะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้พยักหน้า
เหยาฝูโซ่วเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์มีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว จึงหยั่งเชิงไปว่า “หมู่นี้สีผิวของฝ่าบาทดีขึ้นมามากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม”
“อืม เป็นเพราะ…ตั้งแต่ได้พบหน้าคุณชายอวิ๋น ฝ่าบาทก็อารมณ์ดีขึ้นมาก อารมณ์ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ดังนั้นร่างกายจึงได้ดีขึ้นตามไปด้วย”
ร่างกายของตนเป็นเช่นไร หนิงซีฮ่องเต้ทรงทราบอยู่แก่ใจพระองค์ดี อาการประชวรนี้ มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ไหนเลยจะมาดีขึ้นเรื่อยๆ ได้ บางทีอาจเพราะอารมณ์ดี สดชื่นกระปรี้กระเปร่าอยู่สักหน่อย จึงดูแล้วไม่เหี่ยวแห้งเหมือนวันคืนก่อนๆ แต่ภายในกลับเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว
เหยาฝูโซ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกดเสียงเบาเอ่ยว่า “ความจริงแล้ว ให้พระชายาฉินอ๋องทรงทราบก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด กระหม่อมขอเอ่ยวาจานอกเหนือขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทยังทรงแสดงความรักและสงสารต่อคุณชายอวิ๋น...อีกหน่อยต่อให้…ต่อให้มอบสถานะที่ชัดเจนแก่คุณชายอวิ๋นไปก็มิใช่ว่าจะทำมิได้ หากภายหน้าคุณชายอวิ๋นเข้าวังมา ฝ่าบาทก็มิอาจดูแลเขาได้ตลอด เกรงว่าคุณชายจะลำบากในวังหลัง มิได้รับการปฏิบัติที่ดีด้วยได้ ซ้ำยังเกรงว่าจะโดนวางยาพิษเข้า…ทว่ายามนี้ ฮองเฮาสิ้นแล้ว ต่อให้ไทเฮาทรงไม่เห็นด้วย ให้คนไปเกลี้ยกล่อมเสียหน่อยก็ได้แล้ว หากสองตำแหน่งหลักไร้ซึ่งการคัดค้านล่ะก็ บรรดาพระสนมคนอื่นๆ ก็ยิ่งมิกล้าว่าอันใดได้…ยามนี้ กลับเป็นโอกาสที่ดี เช่นนี้แล้วจะได้มีเหตุมีผลน่าวางใจ มิต้องแอบ…”
“ไม่” หนิงซีฮ่องเต้เอ่ยขัดขึ้น
ทรงโปรดเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้ ทั้งยังแอบบ่มเลี้ยงอย่างสุดกำลัง แต่มิให้สถานะที่ชัดเจนแก่เขา เหยาฝูโซ่วไม่เข้าใจว่าฝ่าบาททรงคิดอันใดอยู่
หนิงซีฮ่องเต้กลับเอ่ยอย่างเหนื่อยว่า “เจ้าไปจัดการธุระเถิด”
รอจนเหยาฝูโซ่วออกไปแล้ว พระองค์จึงได้เงยพิงหมอนจับชีพจรด้วยพระทัยที่กังวล
วังหลังมิได้ขัดขวาง เช่นนั้นในราชสำนักเล่า
สตรีในวังหลังประทุษร้ายกันเช่นนี้ล้วนประจักษ์แก่สายตาจนน่าหวาดหวั่น ในราชสำนักยิ่งลงมือกันอย่างไร้ปรานี
หากให้สถานะเด็กคนนั้นอย่างชัดเจนก็เหมือนเอาเขามาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย
ร่างกายพระองค์นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ บัลลังก์นี้ มีคนจับจ้องอยู่ตั้งเท่าใด พระองค์จะไม่รู้เลยหรือ
โอรสองค์อื่นๆ ต่อให้ไร้ประโยชน์ แต่บ้างก็มีตระกูลของมารดาให้พึ่งพิง บ้างก็เลี้ยงขุนนางผู้ภักดีไว้ข้างกายมาหลายปี บ้างก็มีประสบการณ์ขององค์ชายมานานรู้จักรับมือกับเรื่องราวและผู้คน พอฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ อย่างน้อยก็เอาตัวรอดปกป้องตัวเองได้
แต่เด็กคนนั้น นอกจากตำแหน่งที่ตกลงมาจากฟ้าอย่างฉับพลันแล้ว ก็ไม่มีอันใดอีกเลย อายุก็น้อย ไม่ต่างอันใดกับแก้ผ้าอยู่ท่ามกลางมีดบินกระบี่เหินพวกนั้น
หากพระองค์ยังอยู่ก็ยังสามารถปกป้องเขาได้รอบด้าน ทว่าพอไม่อยู่แล้ว รับรองได้หรือว่าเด็กคนนั้นจะไม่ถูกริษยาเอา
อีกทั้งจะให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ได้อย่างไร หากนางรู้เข้าก็อาจแสดงว่าเจ้าสามก็รู้ด้วย
ความคิดของเจ้าสาม พระองค์รู้ดี
ยามปกติไม่ยื้อไม่แย่งกับผู้ใด สมถะเรียบง่าย ในเมื่อครานี้ทำตามราชโองการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็เผยให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ
ให้เจ้าสามรู้เข้า พระองค์ก็ยิ่งไม่วางพระทัย
การฟื้นฟูสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องเป็นเกียรติยศอันหาที่สุดมิได้ องค์ชายคนอื่นๆ ได้เห็นเขาในสายตา ต่อให้ไม่มองว่าเด็กคนนั้นเป็นศัตรู ก็จะดึงเขามาเป็นพวก หรือไม่ก็ใช้เขาให้เป็นประโยชน์
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยังมีคำสั่งเสียอันขมขื่นของนางในปีนั้น...
พระหัตถ์ไหลลง หยิบผ้าเช็ดหน้าของบุรุษที่อยู่ข้างหมอนออกมา มันยังคงสีสดเหมือนใหม่ รอยขาดที่ถูกตัดรอยนั้นยังคงทำให้พระทัยสั่นไหว
ประทับยังราชนิเวศน์ครานั้น ตั้งแต่อวิ๋นหว่านชิ่นเอาของต่างหน้ามาให้ พระองค์ก็ทรงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้ข้างกายตลอด
พระองค์ยกมันขึ้นชิดริมจมูก กระซิบเสียงเบา “เรารู้ดีว่าเจ้าเกลียดเรา เราจึงปกป้องเขาตามที่เจ้าขอ”
พอกลับมายังจวนก็ใกล้จะเย็นย่ำแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเหนื่อยมาตลอดทั้งวันจนแทบยืนไม่อยู่ อารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ พอกลับมาถึงเรือนความง่วงงุนก็มาเยือน นางปล่อยผมงามลง เปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ชั่วคราวแล้วนอนหลับให้เต็มอิ่ม พอลืมตาขึ้นฟ้าก็มืดสนิทไปทั้งผืนแล้ว นอกห้องนอนสว่างไสวด้วยแสงเทียน เป็นสีทองเข้มไปทั้งผืน
อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ นางสวมชุดกันลมผ้าไหมผืนอ่อนนุ่ม สวมรองเท้าปักด้วยไข่มุก ลงจากเตียงมา “ชูซย่า”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
“เจินจู ฉิงเสวี่ย”
ก็ยังไร้เสียงคนตอบรับ แปลกพิกล นางมิได้ชอบให้มีสาวใช้มากมายมานั่งรับใช้อยู่ในห้อง แต่ปกติก็มักจะมีคนใดคนหนึ่งอยู่ห้องด้วย นางลุกขึ้นเดินไปด้านนอก พอเลิกม่านขึ้นก็เห็นเงาคนนั่งหันหลังให้นางอยู่หลังโต๊ะหนังสือที่ติดหน้าต่าง จ้องฎีกาที่เอากลับจากวังมาด้วยเขม็ง เงียบกริบอย่างมีสมาธิ
นางขยี้ตาไปมาจึงได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นองค์ชายสามที่กลับมาจริงๆ แต่ตามนิสัยของเขาแล้ว พอกลับมาก็จะรีบไปถอดรัดเกล้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าสบายๆ ที่ใส่อยู่บ้าน วันนี้กลับยังใส่ชุดคลุมสีทองปักลายมังกรกางกรงเล็บอยู่ คงเปลี่ยนไม่ทันกระมัง
เมื่อครู่นางตะโกนเรียกอยู่หลายคราก็ไม่เห็นเอ่ยรับสักคำ คงจะมีสมาธิอยู่มาก
อวิ๋นหว่านชิ่นเขย่งเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบ กางแขนออกโอบร่างกำยำแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ เหมือนกับฝ้ายที่แนบอยู่บนแผ่นหลังกว้างของเขา หน้าผากเนียนแนบลงบนไหล่เขา เป่าลมใส่หูเขาเบาๆ “ฉีกงกงบอกว่าสองวันนี้ท่านจะพักอยู่ที่วัง ไม่กลับมามิใช่หรือ”
————————————-
[1] ฝ้าหลาง เป็นการเคลือบ การลงยา