ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 226 ดุร้าย (1)
อวิ๋นหว่านชิ่นตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มบางออกมาอย่างอดมิได้เช่นกัน มิน่าเล่าจึงได้ให้บ่าวไพร่ออกไปกันหมด ในห้องบุปผามีเขาแค่เพียงคนเดียว ที่แท้ก็กะจะไต่สวนนางหรือแอบไต่สวนลับๆ นี่เอง
นางมองไปยังหรุ่ยจือ ไม่รีบร้อนแก้ต่าง โน้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ลายบุปผาสกุนาแช่มชื่นตัวหนึ่งที่ตำแหน่งหลัก กางแขนวางลงบนพนักทั้งสองข้าง หลังงามตั้งตรง
หรุ่ยจือเห็นนางไม่ทุกข์ร้อนใจ ซ้ำยังวางท่าวางทางเป็นเจ้านายเสียเต็มเปี่ยม อีกทั้งยังหยิ่งจองหองคล้ายว่าคร้านที่จะมาอธิบายให้สาวใช้อย่างตนฟัง ความเย็นชาบนใบหน้าของหรุ่ยจือจึงยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม นางข่มอารมณ์ไว้แล้วเอ่ยว่า “ในตอนรุ่งสางบ่าวก็เข้าเมืองมาแล้ว จ้องดูอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าออกของเขตพระราชฐานอยู่นาน ตอนที่บ่าวเห็นพระชายาออกมากับองค์หญิงฉางเล่อ ด้านหลังมีเหนียนกงกงจากตำหนักตงกงเดินตามมาด้วยเจ้าค่ะ ทั้งคู่ยังได้พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ทีเดียว แค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับบัญชามาจากผู้เป็นนายให้มาส่งพระชายา บ่าวยังเห็นเหนียนกงกงแอบส่งจดหมายลับให้แก่พระชายาอีกด้วยนะเจ้าคะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าคือจดหมายอันใดเจ้าค่ะ” แม้จะไม่พูดออกมาให้แน่ชัด แต่ก็มองออกว่าเป็นจดหมายลับส่วนตัวระหว่างไท่จื่อกับอวิ๋นหว่านชิ่นแน่นอน
ชูซย่าที่ยืนอยู่บนระเบียงของห้องบุปผาได้ยินไปไม่น้อยแล้ว ยามนี้จึงร้อนใจมาก นางไม่สนกฎเกณฑ์ธนนมเนียมใดทั้งนั้น เดินเข้าไปเยาะเย้ยเบาๆ ว่า “หรุ่ยจือ เจ้าเดินทางตั้งหลายเดือนยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดีเลย พอกลับมาจวนก็สร้างเรื่องแล้วรึ เหนียงเหนียงมิได้พบไท่จื่อ เหนียนกงกงตามออกมาทีหลังต่างหาก พอคนของตงกงมาแล้วเหนียงเหนียงของข้าจะตีไล่เขากลับไปไม่เป็นหรือไร เจ้าอย่าได้มาเหลวไหลใส่ความ ส่วนจดหมายลับนั่นก็เป็น…”
“บ่าวไหนเลยจะกล้าใส่ความพระชายากัน แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้นเอง” หรุ่ยจือไม่ยอมอ่อนข้อให้ ยังเอ่ยเสริมอีกว่า “องค์ชายสามจะได้ไม่โดนหลอก”
กลัวว่าองค์ชายสามจะโดนหลอกอย่างนั้นรึ สาวใช้นางนี้เอาตัวเองมาเป็นมือที่สามระหว่างนางกับองค์ชายสามไปแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงเอาจดหมายลับออกมาแล้วปาใส่หน้าของนางจนเกิดเสียง “เช่นนั้นเจ้าก็อ่านจดหมายนี้ดู”
แม้หรุ่ยจือจะเป็นคนรับใช้ ทว่าตั้งแต่ติดตามฉินอ๋องมา ค่าตอบแทนที่ได้รับอย่างอาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ การร่ำเรียนอ่านเขียน เล่าเรียนวรยุทธล้วนสูงกว่าคุณหนูธรรมดาทั่วไปอยู่มากโข ไม่ว่าใครในจวนนี้ ต่างเรียกนางด้วยความยกย่องว่าแม่นางหรุ่ยจือ ไหนเลยจะเคยโดนคนปาของใส่หน้าเช่นนี้มาก่อน ทันใดนั้นหน้านางจึงแดงก่ำ โมโหเสียจนตัวสั่น แล้วมองไปทางฉินอ๋อง
ซย่าโหวซื่อถิงไม่มีอารมณ์จะมาตัดสินให้นาง เขารำคาญอยู่เต็มทนแล้ว “ทำตามที่พระชายาบอก อ่าน”
หรุ่ยจือกลืนโทสะลงไป โน้มกายลงหยิบจดหมาย ดึงหัวจดหมายออก อ่านไปทีละคำว่า “ท่านพ่อและฮูหยินที่เคารพ ลูกอกตัญญูมู่เจินเองขอรับ…” ยิ่งอ่านเสียงก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ สีหน้าจากแดงก่ำกลายเป็นซีดขาว
ชูซย่ายิ้มเย็นชาออกมาอย่างอดไม่อยู่ “พอใจเจ้าแล้วหรือยัง นี่เป็นจดหมายถึงบ้านของคุณชายสวี่เฉยๆ แม่นางหรุ่ยจือกลับมีความคิดสกปรก ใส่ความพระชายาที่บริสุทธิ์!” พูดจบก็ยืดตัวตรงเดินเข้าไปแย่งจดหมายคืนมา
หรุ่ยจือไม่สนใจที่ถูกชูซย่าต่อว่า นางกัดฟันเอ่ยว่า “แต่บ่าวเห็นเหนียนกงกงกับพระชายากับตาตัวเอง…บ่าวไม่เชื่อ…”
“พอได้แล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงพลันเอ่ยปากขึ้นมาทันที น้ำเสียงเคร่งขรึมจนทำคนผวา “อาศัยแค่การคาดเดาของตัวเองก็มาสงสัยพระชายาโดยไร้เหตุไร้ผล กล่าวหาอย่างเหลวไหล ยังไม่ยอมรับผิดขอโทษพระชายาให้อภัยแก่เจ้าอีก!”
หรุ่ยจือนิ่งอึ้ง เห็นสีหน้าของเขาดั่งน้ำค้างแข็ง ท่าทางจริงจัง จึงจำต้องคุกเข่าลงต่อหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความไม่เต็มอกไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย “เป็นหรุ่ยจือที่บุ่มบ่ามใจร้อน เข้าใจพระชายาผิดไป ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”
“ที่แท้ธรรมเนียมของจวนฉินอ๋อง พอคนรับใช้หยายคายต่อผู้เป็นนาย ใส่ความผู้เป็นนายให้ชื่อเสียงมัวหมอง คุกเข่าพูดไม่กี่คำก็ได้แล้วหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องนางนิ่ง
หรุ่ยจือกล้ำกลืนความเจ็บแค้น พอเห็นสายตาขององค์ชายสามก็จำต้องโน้มตัวโขกหัวลงไปสามรอบ ในยามที่เงยหน้าขึ้นมานั้น หน้าผากก็มีเลือดซึมออกมา นางเอ่ยด้วยความเจ็บแค้นว่า “ทำเช่นนี้แล้ว ไม่ทราบว่าพระชายาพอใจหรือยัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นแววตานุ่มนวล “ข้ารู้ว่าเจ้ามีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาในสายตาขององค์ชายสาม เทียบกับสาวใช้ขั้นหนึ่งที่กองกิจการภายในจัดสรรมาให้แล้วยังสูงส่งยิ่งกว่า ตั้งแต่เข้าจวนมาจนถึงตอนนี้ ไม่เคยพบเจอกับความยากลำบากอันใดมาก่อน และยิ่งไม่เคยโดนตำหนิลงโทษ แต่วันนี้หากปล่อยให้เรื่องจบลงเพียงเท่านี้ เจ้าว่าข้ายังมีอันใดให้น่าเกรงขามในจวนอ๋องแห่งนี้อยู่อีก”
หรุ่ยจือทำแค่โขกหัว อีกทั้งองค์ชายสามก็อยู่ด้วย นางจึงต้องปล่อยเลยตามเลย คิดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมรามือกับนางอีก จึงมีความเดือดดาลที่ต้องการจะระบายออกไป “พระชายาต้องการให้บ่าวทำเช่นไร”
“ชูซย่า ไปเรียกผู้คุ้มกันเรือนมา พาตัวแม่นางหรุ่ยจือไปขังไว้ที่ห้องว่างที่อยู่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของจวน ถ้าไม่มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ออกมา”
หรุ่ยจือกัดริมฝีปากจนแตก มองไปทางฉินอ๋องอย่างขอความช่วยเหลือ
ซย่าโหวซื่อถิงมองอวิ๋นหว่านชิ่นแต่เห็นนางเพ่งมองทางตนอยู่ก่อนแล้ว นางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ฝ่ายในฝ่ายนอกต่างกัน ราชสำนักก็มีเรื่องมากมายให้ท่านอ๋องเหน็ดเหนื่อยพออยู่แล้ว เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ไม่ต้องลำบากท่านหรอกเพคะ หม่อมฉันจะดูแลเอง”
น้ำเสียงนางอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเคารพ แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับเจือไว้ด้วยความเยือกเย็นที่อธิบายไม่ถูก เขาหรี่ตาลงไม่กล่าวคำใด
พอได้รับการบอกเป็นนัยของทั้งสองแล้ว ชูซย่าก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางออกจากห้องบุปผาไปเรียกคนมาทันที
ยังไม่ถึงครึ่งเค่อ[1] ผู้คุ้มกันเรือนสองคนก็เข้ามาในห้องบุปผา เห็นแม่นางหรุ่ยจือผู้สูงส่งเพิ่งจะกลับมาถึงจวนก็ลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้ว ปล่อยผมให้ยาวสยาย บนหน้าผากบวมเป่ง ก็ตกใจอย่างมาก
ผู้คุ้มกันเรือนคุมตัวหรุ่ยจือออกไปจากห้องบุปผาได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายและรีบร้อนดังขึ้นตรงประตูวงพระจันทร์
เป็นสาวใช้และมอมอของจวนกลุ่มหนึ่ง หรือก็คือคนที่ได้รับประโยชน์จากหรุ่ยจือ หรือไม่ก็พวกที่มาขอความความช่วยเหลือจากหรุ่ยจือมาโดยตลอด
ในขณะนี้มีบางคนมาขวางผู้คุ้มกันเรือนเอาไว้ บางคนบุกเข้ามาตรงธรณีประตูห้องบุปผา คุกเข่าลง
“ได้ยินว่าเหนียงเหนียงจะขังแม่นางหรุ่ยจือ ไม่ทราบว่าเป็นโทษอันใดหรือเพคะ”
“เวลานี้แม่นางหรุ่ยจือออกไปหาของให้คุณหนูเปี่ยว เดินทางไกลเป็นพันลี้ เพิ่งจะกลับมาถึงจวน เดิมทีก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ได้ยินว่าระหว่างทางเจอทั้งลมฝนทั้งน้ำค้าง ทั้งยังล้มป่วยหลายครา ไร้ซึ่งคุณูปการแต่ก็ลำบากนัก ขอท่านอ๋องทรงยกโทษให้แม่นางหรุ่ยจือด้วยเถิดเพคะ! พอกลับมาก็จะโดนขัง ร่างกายไหนเลยจะรับไหวกันเพคะ!”
“แม่นางหรุ่ยจือติดตามท่านอ๋องมาหลายปีเพียงนี้ ดูแลแนบชิดมาโดยตลอด นางนิสัยเช่นไรท่านอ๋องจะไม่ทราบเชียวหรือเพคะ และหากนางจะทำผิด ก็ต้องเป็นการทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจแน่นอนเพคะ!”
ลานหน้าบ้านฝุ่นคลุ้งตลบไปหมด คำพูดร้องขอความเมตตาทยอยเข้าหูมาอย่างไม่ขาดสาย แทบจะหนวกหูไปทั่วทั้งเรือน
ซย่าโหวซื่อถิงกำลังจะลุกขึ้น แต่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นมาก่อนแล้ว นางจับแขนชูซย่าพยุงตัวเองไว้เดินออกไปกวาดสายตามองสาวใช้และมอมอที่อยู่ด้านล่างบันได
คนทั้งกลุ่มพอเห็นพระชายาออกมาก็พลันเงียบเสียงลง แต่ก็ยังมีพวกที่ใจกล้าเอ่ยอ้อนวอนว่า “แม่นางหรุ่ยจือจงรักภักดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโทษใด ต้องมิได้ตั้งใจเป็นแน่ ขอเหนียงเหนียงโปรดอภัยให้แม่นางหรุ่ยจือสักครั้งเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขึ้นว่า “กระทั่งความผิดของหรุ่ยจือพวกเจ้าก็ยังไม่ทราบกันเลย ก็พากันคิดว่านางไม่ได้ตั้งใจกันแล้ว รวมตัวกันมาร้องขอความเมตตาโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์และธรรมเนียม ข้าว่า คนที่จงรักภักดีคงมิใช่หรุ่ยจือ แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากกระมัง!”
เหล่าสาวใช้ไม่กล้าระบายโทสะออกมา คำว่าจงรักภักดีนี้ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนใช้แสดงถึงผู้น้อยที่มีต่อผู้เป็นนาย พระชายาบอกว่าพวกนางจงรักภักดีต่อแม่นางหรุ่ยจือ มิใช่เป็นการกล่าวหาโทษให้พวกนางหรือ ทันใดนั้นจึงเงียบเสียงกันลง
อวิ๋นหว่านชิ่นเสียงค่อยๆ เบาลงมาหลายส่วน “เดิมทีจะแค่กักขังสักหน่อยเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับทำร้ายนาง และทำร้ายตัวเองด้วย ใครก็ได้ เพิ่มโทษให้หรุ่ยจือ ลากนางไปยังลานของเรือนใต้ โบยยี่สิบไม้ค่อยเอาไปขัง ให้คนที่ว่างงานในจวนมาดูกันเพื่อเตือนใจด้วย คนที่มาร้องขอความเมตตาในวันนี้และคนที่มีสัญญาทาสกับจวนให้เอาไปขายให้หมด ส่วนคนที่กองกิจการภายในจัดสรรมาให้ทั้งหมดนั้น ส่งกลับไปด้วยโทษทัณฑ์ที่ไร้ความเคารพยำเกรง ให้ทางกองกิจการจัดการสำเร็จโทษเอาเอง!”
—————————-
[1] เค่อ หน่วยนับเวลาจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที