ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 226 ดุร้าย (2)
ทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี “พวกบ่าวทำผิดอันใดกันเพคะ เหตุใดจึงลงโทษพวกเราหนักเพียงนี้”
ในขณะนั้นเอง เกาจ๋างสื่อที่ได้ยินความเคลื่อนไหวของห้องบุปผาจึงรีบพาบ่าวรับใช้เข้ามากระซิบว่า “ขายคนออกไปมากมายภายในคราวเดียวโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีนะขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเกาจ๋างสื่อ “รอให้พวกบ่าวไพร่มาก่อเรื่องใหญ่โตก่อนจึงจะดีหรือไร”
แล้วจึงหันไปมองกลุ่มบ่าวไพร่เหล่านั้น “ปฏิบัติต่อสาวใช้เยี่ยงเจ้านาย ทำลายกฎธรรมเนียมของจวน ทำลำดับของเจ้านายและบ่าวไพร่ให้วุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด พวกเจ้าว่าควรจะลงโทษให้หนักหรือไม่” เสียงนางพลันเปลี่ยน มองไปยังหรุ่ยจือ “จวนอื่นข้าไม่สน แต่จวนแห่งนี้บ่าวไพร่ก็คือบ่าวไพร่ ไม่มีใครสูงส่งไปกว่าใคร และไม่อนุญาตให้มีการนับถือใครเป็นนายในหมู่บ่าวไพร่ ต่อให้สูงส่งเพียงใด ก็ยังคงเป็นแค่บ่าวไพร่”
เกาจ๋างสื่อไม่ลังเลอีกต่อไป เขาส่งสายตาไปให้ผู้คุ้มกันเรือนทันที
หรุ่ยจือตัวสั่นเทา ผู้คุ้นกันเรือนหามนางคนละแล้วลากตัวไปยังเรือนฝั่งใต้
สาวใช้คนอื่นๆ ต่างหมดเรี่ยวแรงลงกับพื้น บางคนร้องห่มร้องไห้ บางคนร้องขอความเมตตาให้แก่ตัวเองอย่างสุดชีวิตโดยไม่สนใจหรุ่ยจืออีกต่อไป ทุกคนล้วนถูกเกาจ๋างสื่อพาบ่าวรับใช้มาจับกุมตัวออกไปตามลำดับ
เสียงคร่ำครวญร้องขอความเมตตาและเสียงฝีเท้าวุ่นวายหายไปจากลานบ้าน อวิ๋นหว่านชิ่นเตรียมจะกลับเข้าห้องไป แต่ได้ยินเสียงคนด้านหลังยืนขึ้นเรียกนางไว้เสียก่อน “จะไปแล้วรึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังกลับมา ย่อกายคำนับ “ดูสมองข้าสิ ลืมทูลลาท่านอ๋องเสียได้” พอนางคำนับเสร็จก็จะเดินออกไป
ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยเสียงเบากับชูซย่าว่า “ออกไปเสีย”
ชูซย่าแลบลิ้นแหยๆ รีบออกจากห้องบุปผามา ถือโอกาสปิดประตูเอาไว้ด้วย
ภายในห้องเงียบงันลง ซย่าโหวซื่อถิงเดินเข้าไปหา “ตามใจเจ้าให้เจ้าลงโทษแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น “ที่ท่านอ๋องตรัสนั้นหมายความว่า เรื่องนี้หม่อมฉันทำเกินเหตุไป เดิมทีไม่ควรลงโทษหนักเพียงนี้ หรือหมายความว่าท่านเจ็บปวดใจต่อหรุ่ยจือกันเล่าเพคะ”
เขาเห็นว่านางจะออกไปจึงดึงข้อมือนางไว้ “พอแล้ว เรื่องนี้จบแล้ว”
พอแล้วอันใดกัน หรือเรื่องนี้เป็นนางที่เริ่มก่อนอย่างนั้นรึ อวิ๋นหว่านชิ่นคว้ามือเขาที่จับตนไว้ค่อยๆ ปล่อยลง “หรุ่ยจือไปจับตามองข้า ไม่ใช่เจตนาขององค์ชายหรอกหรือ ตอนเริ่มก็เป็นท่าน ตอนจบก็เป็นท่าน ข้าตามท่านไม่ทันสักก้าวเลยจริงๆ”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ปฏิเสธ “เป็นข้าที่ให้หรุ่ยจือไปจับตามองเจ้าไว้ แต่หากก่อนหน้านี้เจ้ามิได้สนิทสนมกับไท่จื่อเกินไป ข้าจะสงสัยได้อย่างไรเล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นฝีเท้าชะงักลง เขาสาวเท้าเข้าไปหา คว้าไหล่นวลของนางไว้ ลมหายใจที่รินรดข้างหูค่อยๆ หนักขึ้น “เจ้ายอมไปขอร้องไท่จื่อให้นำจดหมายสวี่มู่เจินมาให้แก่เจ้า แต่ไม่ยอมมาขอกับข้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังกลับไป “ข้ามิได้ขอพระองค์ นั่นเป็นไท่จื่อที่ทรงทำเอง” พอหันไปก็เจอเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนราวกับปกคลุมไปด้วยหมอทมิฬเข้าพอดี “เรื่องนี้เป็นไท่จื่อที่ทรงยินดีช่วยเหลือ เช่นนั้นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองพบกันเป็นการส่วนตัวที่ตำหนักตงกงเล่า วันนี้มิได้พบ แล้วเมื่อวานเล่า แล้วตอนที่เจ้าอยู่ที่อารามฉางชิง ถูกเขาเรียกเข้าเฝ้าที่ตงกงอีกเล่า การกระทำของพวกเจ้าสนิทชิดเชื้อกันเกินไป เจ้ารับพระนัดดามาเป็นลุกบุญธรรม แม้ข้าจะไม่ได้เห็นแต่ก็มีคนเห็นมากับตาอย่างชัดเจน! เจ้าไม่อยากพูดย่อมมีคนพูดแทนเจ้า!”
ที่แท้ก็เริ่มจับตามองมาตั้งแต่ครั้งตงกงครานั้น นางนิ่งอึ้ง ด้านหลังราวกับมีหนามแหลมผุดออกมา “ท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนี้ ข้าเป็นนักโทษของท่านหรือไร…”
เขาเอ่ยต่อโดยไม่กระดากอายว่า “คนในวังจิตใจไม่อาจคาดเดาได้ ข้าให้คนจับตามองเจ้าไว้มันผิดตรงไหนกัน”
เหอะ! ยังจะบอกว่าหวังดีอีก! นางหมดคำจะพูด
เขามองว่าการลังเลของนางชั่วขณะนี้คือการรู้สึกผิด จึงจับข้อมือนางพลางดึงเข้าหาอ้อมอก เอ่ยอย่างชั่วร้ายว่า “เมื่อคืนข้ากลับมาที่จวนได้ให้โอกาสเจ้าไปคราหนึ่งแล้ว แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยงเอาแต่เลี่ยง ไม่ยอมรับ บอกว่าหันทงขวางเจ้าไว้ทำให้เจ้าเสียเวลา เหตุใดไม่เล่าว่าเจ้าไปตงกงมา”
อวิ๋นหว่านชิ่นแทบจะได้กลิ่นเขม่าปืนมาจากร่างเขา นางมองเขาตรงๆ “ยามนี้ท่านปักใจไปแล้วว่าข้าเอาแต่พูดจาโกหกหลอกลวง ข้าพูดอันใดไปก็คงไม่ฟังแล้วกระมัง”
ทะเลาะกับคนใจร้อนนั้นไร้ความหมายที่สุด นางคร้านจะไปหาความน่าเบื่อมาใส่ตัวอย่างการเถียงกับเขาแล้ว จึงสะบัดมือออกจะจากไป
เขาเห็นนางจะออกไปอีก พิษร้อนในกายก็ไหลเวียนรวดเร็วมากนัก ไม่ทราบเช่นกันว่าควรจะสั่งสอนนางอย่างไรดี ตีก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ โทสะพลุ่งพล่านท่วมร่าง เขารั้งแขนทั้งสองข้างของนางไว้ไม่ให้นางไป พอก้มหน้าลงก็กัดลงบนริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของนาง
เป็นแรงกำลังที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน เจ็บ! อวิ๋นหว่านชิ่นมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา คิดจะเรียกชูซย่าให้เข้ามา “ชะ…ชู…ชูซย่า…อื้อ…อื้ม...”
ยังไม่ทันจะเรียกออกมาได้ครบทั้งชื่อ ริมฝีปากก็ถูกเขาครอบครองเอาไว้แล้ว เสียงจึงกลายเป็นขาดๆ หายๆ
เขารีบบีบเอวนางไว้ ต้อนไปยังกำแพง ใช้มือล่ามแขนทั้งสองข้างของนางไว้หลังท้ายทอยให้มั่นคงกว่าเดิมไม่ยอมปล่อย เพื่อไม่ให้นางได้หนี
แขนนางถูกเขาดึงไปด้านหลังกดไว้ไม่ปล่อย ในขณะที่ยื้อยุดกันไปมานั้น ชายแขนเสื้อผืนบางลายลูกไม้ของนางก็ขาดดังแควก เผยให้เห็นข้อมือเล็กขาวผ่องดั่งหยก
เสียงฉีกขาดคล้ายกับไปกระตุ้นเขาเข้า การกระทำจึงได้ดุร้ายรุนแรงขึ้น เขาดึงทึ้งส่วนหน้าของเสื้อนางออกอย่างแรง กดเสียงต่ำแหบพร่า “หากเจ้าถูกตาต้องใจเขาจริงๆ แล้วจะแต่งเข้าจวนนี้มาทำไมเล่า แต่จากนิสัยของเจ้าแล้ว หากไม่อยากแต่งก็น่าจะมีวิธีปฏิเสธได้ มิใช่ทำลายมู่หรงไท่ไปหรอกเนอะ” กล่าวคำพูดร้ายกาจจบก็สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อนางอย่างได้คืบจะเอาศอก “เป็นอย่างไร เขาทำเช่นนี้กับเจ้าใช่หรือไม่…หากเจ้าชอบ ข้าก็…”
มือทั้งสองข้างของนางเจ็บปวดจนเหมือนจะขาดด้วนแล้ว บริเวณที่น่าอับอายตรงนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกเขาบีบหรือหยิกเอา เจ็บจนแทบแดดิ้น อาศัยจังหวะที่เขายังสนองความต้องการตัวเองไม่สิ้นทำเรื่องเหิมเกริมกับร่างกายนางนั้น ฟันขาวสะอาดเดี๋ยวแยกเดี๋ยวกระทบกัน หาจังหวะกัดเข้าอย่างแรงคำหนึ่ง!
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งเต็มปาก ไม่รู้ว่าเป็นเลือดจากริมฝีปากใคร นางผลักเขาออกไปแล้วดันประตูเปิดเดินออกไป
ชูซย่าเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นอาภรณ์ไม่เรียบร้อย หน้าแดงเหมือนตูดลิง อีกทั้งริมฝีปากเหนียงเหนียงยังบวมหนัก จึงตกใจยกใหญ่ “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ…” แต่ถูกนางดึงไว้ “คนผู้นี้บ้าไปแล้ว!” นางลากชูซย่ากลับไปยังเรือนหลักทันที
ซือเหยาอันเห็นเหนียงเหนียงเดินออกไปอย่างโมโหก็รีบขึ้นบันไดไป ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกมา บุรุษผู้นั้นดึงคอเสื้อด้วยใบหน้าอึมครึมเดินออกมา พอเห็นซือเหยาอันจ้องมองตนอยู่ก็อับอายกลายเป็นโมโห ลูบริมฝีปากบางที่แตกจากการโดนกัดคราหนึ่ง “ดูอันใดอยู่ได้ ประสาทกลับหรือไร!”
ซือเหยาอันรีบเข้าไปหา
ท่านอ๋องกับพระชายาทำสงครามเย็นกันมาหลายวันแล้ว พวกบ่าวไพร่ในจวนระมัดระวังกันมากราวกับเดินบนน้ำแข็งบางๆ กระทั่งหายใจยังไม่กล้า
อีกทั้ง แม้ว่าพระชายานางนี้จะแต่งเข้ามาในจวนได้ไม่นาน แต่ก็นับว่าปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ในจวนด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน ครานี้ไม่รู้ว่าหรุ่ยจือไปทำผิดเรื่องใดเข้า เพิ่งจะกลับมาก็ถูกจับไปขังไว้แล้ว บ่าวไพร่ที่มาร้องขอความเมตตาของต่างโดนพระชายาไล่ออกจากจวน ยิ่งทำให้เหล่าคนรับใช้ของจวนได้ประจักษ์ถึงวิธีในการคุมอำนาจของพระชายา ก็ยิ่งทำเอาต้องก้มหน้าเดินขึ้นทุกวันแล้ว
แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านอ๋องจะทรงพักอยู่ในวังเป็นส่วนใหญ่ แต่พอไร้ซึ่งราชกิจหรือต่อให้ดึกกว่านี้ก็จะรีบกลับมายังจวน หากอยู่ที่วังไม่กลับมาติดต่อกันหลายวัน ไม่ว่าอย่างไรตอนกลางวันก็ต้องหาเวลาว่างกลับมาที่จวนสักครั้งหนึ่ง
ทว่าหลายวันมานี้ กลับไม่เห็นท่านอ๋องกลับมาที่จวนเลย ทรงอยู่แต่ในวังตลอด หัวจุ่มอยู่แต่กับงาน ขนาดส่งคนกลับมาส่งข่าวยังไม่มีสักคน
ภายในจวนจึงพลันเงียบงันมาก
วันนี้ หลี่ว์ชีเอ๋อร์หาโอกาสออกจากจวน นัดแนะเจอกับหันเซียงเซียงที่โรงน้ำชาและบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้แก่นางทันที หันเซียงเซียงได้ฟังก็นิ่งอึ้ง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ผลักนางเบาๆ “ดีใจจนเลอะเลือนเลยรึเจ้าคะ”