ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 227 ตามใจจนเสียนิสัยแล้ว (3)
“ท่านอ๋องโปรดตรัสเพคะ” ดวงใจนางแทบจะกระเด็นออกมา
“จากนี้ไปอย่าได้พูดเหลวไหลต่อหน้าบิดาของเจ้า เพื่อยุยงสร้างความบาดหมางอีก” ทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง รถม้าก็เคลื่อนไปเบื้องหน้าต่อ ล้อรถแข็งแกร่งเยือกเย็น คล้ายกับพระทัยของบุรุษภายในรถที่มิอาจกอบกู้คืนมาได้
หันเซียงเซียงนิ่งงัน ราวกับร่างกายถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด โชคดีที่เสี่ยวถงมาพยุงไว้ได้ทัน นางพิงอกสาวใช้นิ่ง พึมพำว่า “พระองค์ทรงคิดว่าข้าฟ้องท่านพ่อ จาบจ้วงพระชายาฉินอ๋อง…”
ยามเสี่ยวถงอยู่ในบ้านก็ได้ยินนายท่านเคยบอกว่าหลายวันก่อนพระชายาเข้าวังไปถวายพระพร เนื่องจากในงานมีพิธีศพสวดพระคัมภีร์ถวายแก่ฮองเฮา นายท่านจึงขวางพระชายาเอาไว้ ทำให้พระชายาต้องคอยอยู่นอกวังเสียนาน
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะทำให้ท่านอ๋องเกิดความพะวงในใจอยู่ตลอดเวลา แล้วเอาโทสะมาลงที่คุณหนู
บางทีนายท่านอาจจะจงใจกลั่นแกล้งด้วยเจตนาที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณหนูเลยสักนิด
เสี่ยวถงรู้ว่าไม่ยุติธรรม แต่ก็ทำอันใดมิได้ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูฉินอ๋องผู้นี้ ในพระทัยมีแต่แม่นางแซ่อวิ๋น ไหนเลยจะมีที่เหลือไว้ให้คนอื่นเข้ามาแทรกได้…บ่าวกลัวว่าท่านเข้าจวนไปแล้วจะโดนรังแกมากกว่านี้นะเจ้าคะ”
หันเซียงเซียงทำอันใดไม่ถูก ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม ขณะนั้นเอง คนเบื้องหน้าก็ยื่นแขนเรียวยาวออกมา คล้ายว่าส่งบางอย่างมาให้
ท่ามกลางน้ำตาที่คลอหน่วย เยี่ยนอ๋องยืนอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด นึกไม่ถึงว่าจะลงจากรถม้ามา ในมือถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวเอาไว้
“ฝ่าบาท” เสี่ยวถงตกใจ รู้ดีว่าคุณหนูกลัวเยี่ยนอ๋องอยู่เล็กน้อย จึงจับมือคุณหนูไว้แน่น
“เจ้าวางใจเถิด” เยี่ยนอ๋องเหลือบมองผ้าในมือ เอ่ยเย้าว่า “ครานี้มิใช่ผ้าของข้า เป็นกระดาษชำระผ้าแพรที่สำนักพระราชวังทำขึ้น อ่อนนุ่มฝ้ายละเอียด ดูๆ แล้วเหมือนผ้าเช็ดหน้า แต่ความจริงแล้วใช้ได้ครั้งเดียว ใช้แล้วก็ทิ้ง เจ้าไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะคืนข้าอย่างไรอีก”
หันเซียงเซียงก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน บางทีวันนี้ได้พูดคุยส่วนตัวกับฉินอ๋องเป็นคราแรก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับโดนโจมตีอย่างสาหัส เจ็บปวดนัก และไม่คิดจะหลบเลี่ยงเยี่ยนอ๋อง นางยื่นมือออกไปรับผ้ามาเอง สะอื้นว่า “ขอบพระทัยเยี่ยนอ๋องเพคะ”
ณ จวนองค์ชายสาม เหล่าบ่าวไพร่เห็นท่านอ๋องกลับมาแล้วก็รีบเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง เทน้ำต้มชา เกาจ๋างสื่อเห็นใบหน้าเขาไร้อารมณ์จึงสั่งออกไปว่า “ไปห้องสรง เตรียมน้ำสรงกลิ่นหอมให้ท่านอ๋อง”
ซย่าโหวซื่อถิงคลายอาภรณ์ลง รูดแขนเสื้อไหมสีทองขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นข้อมือแกร่ง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่รีบ ข้าจะไปเรือนหลักผลัดผ้าก่อน”
เกาจ๋างสื่อนิ่งอึ้งไป เรียกเสียงเบา “ท่านอ๋อง…”
เขาสัมผัสได้ถึงท่าทางที่แปลกไปของเกาจ๋างสื่อ ในใจก็พอจะคาดเดาได้แล้ว “ทำไมรึ”
เกาจ๋างสื่ออ้อมแอ้มว่า “เหนียงเหนียงของท่าน…นาง…”
คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่น “นางทำไมรึ”
เกาจ๋างสื่อรู้ว่ารายงานให้ท่านอ๋องฟังวันนี้เป็นเรื่องที่จัดการยาก แต่เห็นสีหน้าดูไม่ได้ของพระองค์แล้วก็หวาดกลัวอยู่เล็กน้อย ไม่กล้าพูดให้ชัดเจนเท่าใดนัก “เหนียงเหนียงยามนี้ไม่อยู่ที่จวนขอรับ…”
สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สาวเท้ายาวๆ ไปยังเรือนหลัก ก้าวขึ้นบันไดเรือนมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เดินผ่านด้านนอกมา เสียงเย็นเยียบดังขึ้นทันที
เจินจูกับฉิงเสวี่ยเห็นเขากลับมาแล้วก็รีบเข้าไปต้อนรับ “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว…”
เขาเดินตรงไปเบื้องหน้า เลิกม่านขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนนาง เป็นไปดังคาด!
โต๊ะเก้าอี้เป็นระเบียบเรียบร้อย โต๊ะหนังสือติดหน้าต่างที่ยามปกติมีหนังสือด้านการแพทย์กับบันทึกซ้อนกันอยู่ก็สะอาดสะอ้าน ที่นอนหมอนมุ้งไร้ซึ่งไออุ่นแม้แต่น้อย!
“นางล่ะ” เสียงของเขาค่อยๆ อึมครึมขึ้น
ฉิงเสวี่ยกับเจินจูเดินเข้าไปหา “เหนียงเหนียงปวดหัวมาหลายวัน ติดโรคระบาดมานิดหน่อยเจ้าค่ะ เมืองหลวงอากาศไม่ค่อยดีนัก จึงพาชูซย่ากลับบ้านสวนโย่วเสียนที่ชานเมืองพักอยู่สองวัน”
หากป่วยจริง บ่างไพร่ในจวนก็ต้องรีบส่งจดหมายเข้าวังมาบอกตนแล้ว เกรงว่านางคงงอนออกไปพาลเกเรด้านนอกแน่ นับดูแล้ว ก็เป็นสองวันที่ทั้งคู่มีปากเสียงกัน
สตรีนางนี้นี่ อารมณ์เดือดยิ่งกว่าเขาอีก! ปกติเขาก็โอนอ่อนตามนาง ยอมให้นาง สงสัยคงตามใจจนนางเสียนิสัยแล้วจริงๆ แต่จะด่าก็ไม่ได้ แตะต้องก็ไม่ได้อีก!
ซือเหยาอันตามเข้ามา เห็นท่านอ๋องสีหน้าดำทะมึน จึงไกล่เกลี่ยว่า “พวกเจ้านี่ เหตุใดไม่บอกสักคำ ให้คนส่งจดหมายไปบอกที่วังมันยากนักรึ!”
เป็นไปดังคาด เจินจูเอ่ยว่า “เหนียงเหนียงไม่ให้เราส่งจดหมายเจ้าค่ะ บอกว่าแค่ไปชานเมืองพักรักษาตัวสองวันเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ไกล อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วก็ยังบอกอีกว่าหมู่นี้ท่านอ๋องไม่กลับมา กระทั่งจดหมายก็ไม่ส่งมา คงเพราะราชกิจในวังล้นมือแน่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ต้องส่งจดหมายไปให้ท่านอ๋องต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”
นี่กำลังข่มขู่เขาชัดๆ ซย่าโหวซื่อถิงยิ่งถมึงทึงมากขึ้นกว่าเดิม
เกาจ๋างสื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างนอกเช่นกัน
ซือเหยาอันขยับไปใกล้กระซิบว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้นไปรับเหนียงเหนียงดีหรือไม่ขอรับ”
ซย่าโหวซื่อถิงใบหน้าเกร็งเขม็ง ก้าวออกจากห้องนอนไป “ตัวเองไปเอง ออกไปเองได้ก็กลับมาได้ นางบอกว่าเดี๋ยวก็กลับมิใช่หรือไร!”
ซือเหยาอันยู่ปาก พูดได้คล่องแคล่วนัก จะดูซิว่าท่านจะทนได้สักกี่วัน
ณ บ้านสวนโย่วเสียน
สภาพอากาศชานเมืองเร็วกว่าในเมืองหลวง เมืองหลวงยังเป็นฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเย็น แต่บ้านสวนของนางเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว ทิวทัศน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของสารทและคิมหันตฤดู
หูต้าชวนและภรรยาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมา รู้ดีว่าสถานะของนางไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงใช้นิสัยซื่อสัตย์ของคนรับใช้มาคบหากับนาง โดยเฉพาะป้าเว่ยที่เป็นห่วงอวิ๋นหว่านชิ่นมาเนิ่นนาน พอเห็นว่าคุณหนูเล็กมาก็ดีใจจนออกนอกหน้า ทุกวันจะมาพูดคุยกับนางไม่จบไม่สิ้น แต่พอได้ยินเรื่องของคุณชายกับหงเยียนก็เช็ดน้ำตาอย่างโศกเศร้าอาดูร
คุณชายเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลสวี่ และเป็นคุณชายของบ้านของป้าเว่ยอีกด้วย เรียกได้ว่าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ย่อมเสียใจอยู่แล้ว ส่วนแม่นางหงเยียนผู้นั้น มักจะมาบ้านสวนจัดการและเติมสินค้า กระตุ้นให้เร่งมือทำงานอยู่บ่อยๆ ป้าเว่ยก็ชอบนางมากเช่นกัน ยามนี้เห็นทั้งคู่เป็นเช่นนี้แล้วย่อมโศกเศร้า ถูกอวิ๋นหว่านชิ่นพูดปลอบอยู่สองสามประโยคจึงได้หอบเอาความหวังมาบอกกับตัวเองว่าในเมื่อมีคุณหนูใหญ่อยู่ แม่นางหงเยียนต้องไม่เป็นอันใดแน่
สองสามีภรรยาเห็นนางแต่งกายเรียบง่ายพาชูซย่ามาคนเดียวพร้อมรถม้าอีกคัน ก็เดาว่าคงไม่อยากให้ใครรู้ จึงไม่ได้ถามให้มากความ จัดเก็บทำความสะอาดห้องที่นางเคยพักอยู่ให้เรียบร้อย เพิ่มสิ่งของหลากหลายประเภทเข้าไป ให้นางได้พักอยู่สบาย แล้วเรียกรวมพลคนในบ้านสวนเป็นการส่วนตัว ห้ามไม่ให้ใครพูดเหลวไหล ปกติก็เรียกนางว่าคุณหนูใหญ่อยู่แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจะได้ไม่อึดอัด เพลิดเพลินไปกับความสงบและความสะดวกสบายในระยะนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นพักอยู่สองสามวัน ตอนกลางวันไปตรวจดูแปลงดอกไม้ พลิกดินตัดกิ่ง ตรวจเรือนเพาะชำกับต้าหูชวนและภรรยา พอตกกลางคืนก็พิงหน้าต่างอ่านหนังสือและบันทึกใต้แสงโคม
พอสามวันผ่านไป คืนนี้อากาศอบอุ่นขึ้นมามากแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจุดเทียนเล่มหนึ่ง กำลังพลิกหน้าหนังสืออยู่ ก็ได้ยินชูซย่าผลักประตูเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน
“มีอันใดรึ” นางปิดหนังสือลง
ชูซย่าปิดประตู ล้วงเอาจดหมายหนังวัวที่ถูกประดับตราสีแดงร้อนๆ ออกมาจากแขนเสื้อส่งให้นาง กระซิบว่า “จดหมายที่ส่งจากวังหลวงเจ้าค่ะ”
จากวังรึ จะมีใครได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นคิ้วกระตุก “พระสนมม่อรึ”
ชูซย่าพยักหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นแกะจดหมาย เขย่าหัวจดหมายให้เปิดออก อ่านใจความทีละบรรทัด สีหน้าก็เปลี่ยนไปพลัน
“ทำไมรึ เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ชูซย่าเห็นสีหน้านางแปลกไปจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ระงับอาการตกใจ นางเดินไปข้างโต๊ะหนังสือ รนหัวจดหมายกับไฟเทียน จ้องเปลวไฟที่เหมือนดั่งงูพิษพ่นไส้ตะเกียง กลืนกินจดหมายไปจนสิ้น “ให้คนขับรถม้าลากรถออก แล้วไปแจ้งพ่อบ้านหูกับภรรยา”