ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 228 เปิดโลงย้ายศพ (2)
เหยาฝูโซ่วเห็นนางอารมณ์พลุ่งพล่านจึงดึงข้อมือนางไว้ ปิดบังต่อไปมิได้แล้ว เขากดเสียงต่ำลง เอ่ยขึ้นว่า “พระชายาฉินอ๋องยังไม่เข้าใจเจตนาของฝ่าบาทอีกรึ ฝ่าบาทจะไม่เคารพต่อดวงวิญญาณของสวี่ฮูหยินได้อย่างไร! ฝ่าบาททรงต้องการย้ายศพของสวี่ฮูหยินต่างหาก!” เขาหยุดเว้นแล้วกัดฟันพูดต่อว่า “ย้ายไปยังสุสานเซี่ยนหลิงที่เขาเทียนโซ่ว!”
สุสานเซี่ยนหลิงคือสุสานหลวงของฮ่องเต้และฮองเฮาในรัชสมัยนี้ เหมือนกับฮ่องเต้ในรัชสมัยก่อน เริ่มบูรณะใหม่ในตอนที่หนิงซีฮ่องเต้เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ย้ายพระศพของฮองเฮาเข้าไป
ฝ่าบาท…ทรงต้องการให้กระดูกของท่านแม่เข้าไปฝังในสุสานหลวงรึ หรือว่าฝังที่สุสานเซี่ยนหลิง
ทั้งสองตกตะลึงนิ่งงันไป พักใหญ่ต่อมา อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้ายิ่งเย็นเยียบ ขอบตานางแดงก่ำ “ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ เคยคำนึงถึงชื่อเสียงของท่านแม่ข้าบ้างหรือไม่ แม่ข้าเป็นสะใภ้สกุลอวิ๋น พวกท่านทำลายสุสานเปิดโลงย้ายกระดูกไปภูเขาเทียนโซ่ว หากเรื่องนี้แพร่พัดออกไป ท่านแม่ข้าจะเป็นเช่นไร ท่านแม่ถูกย้ายเข้าไปยังสุสานเซี่ยนหลิงโดยไร้เหตุไร้ผล ในฐานะอันใดกัน”
“ฝ่าบาทก็ทรงไม่อยากทำลายชื่อเสียงของสวี่ฮูหยินเช่นกัน จึงได้ปิดทางเข้าทุกด้านไว้ คนที่มาเปิดโลงย้ายศพก็ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอนเช่นกัน” เหยาฝูโซ่วเอ่ย
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าโน้มน้าวเหยาฝูโซ่วไม่สำเร็จ จึงเอ่ยขึ้นเสียงดังไปให้ถึงด้านใน “อยู่ที่สุสานบรรพบุรุษตระกูลอวิ๋น แม่นางสกุลสวี่ยังคงเป็นฮูหยินสกุลอวิ๋น เทศกาลในทุกๆ ปียังสามารถให้ลูกหลานได้กราบได้ไหว้อย่างเปิดเผยเหมาะสม หากไปฝังไว้ที่สุสานเซี่ยนหลิง กระทั่งคนที่จะจุดธูปไหว้แม้แต่คนเดียวก็ไม่เหลือ นี่คือวิธีการแสดงความกรุณาของฝ่าบาทที่มีต่อแม่นางสกุลสวี่หรือเพคะ!”
เหยาฝูโซ่วตกตะลึง เขาปิดปากนางไว้ แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเหยาะๆ ดังขึ้นมาหลังประตูใหญ่ ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาอยู่หน้าประตูว่า “ฝ่าบาทเชิญให้ผู้มาเยือนเข้าไปด้านใน” แล้วผายมือให้อวิ๋นหว่านชิ่นไปยังด้านใน “เชิญ”
อวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดมือของเหยาฝูโซ่วออก สาวเท้าเดินเข้าไปในสุสาน เพิ่งจะเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นเขม่าควันปืนอันเข้มข้น เป็นกลิ่นของดินปืนขนาดเล็กที่ใช้ระเบิดหิน
ที่ดินของสุสานบรรพบุรุษตระกูลอวิ๋นไม่ใหญ่นัก อีกทั้งหลุมศพของท่านแม่สร้างได้สะดุดตาเป็นพิเศษ อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปก็เห็นประตูหลังหลุมศพถูกระเบิดจนเปิดออก บนพื้นมีเศษหินชิ้นใหญ่เกลื่อนกลาด นายช่างถือเชือกเส้นใหญ่ไว้ในมือ เตรียมพร้อมจะยกโลงศพด้านในสุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ยามนี้ต่างพากันก้มหน้าถอยออกไปด้านข้างกันหมด ไม่มีใครลงมือ คาดว่าเพราะนางเข้ามาอย่างกะทันหัน ขัดแผนการทำงานไป
บุรุษวัยกลางคนที่คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่ ประทับอยู่บนเสลี่ยงที่ปูรองด้วยฟูกผ้าไหมสีสันสวยงามผืนหนา หันพระพักตร์เข้าหาหลุมฝังศพ ผ่านการเดินทางด้วยความลำบากอันยาวไกล สีพระพักตร์จึงซีดขาวและเห็นถึงความเหนื่อยล้าหนักอย่างชัดเจน กำมือเป็นหมัดเป็นครั้งคราว ไอออกมาอีกหลายครั้ง
รอบด้านมีเจ้าหน้าที่แต่งกายเรียบง่ายอยู่รายล้อม บางคนถือร่มกางไว้เพื่อกันแดดยามเที่ยงจะส่องดวงเนตรของบุรุษผู้นั้น บางคนคอยดูแลอยู่ด้านหลังอยู่ตลอดเวลา เผื่อมีอะไรขาดเหลือ
บุรุษผู้นั้นเงยพระพักตร์ไร้สีโลหิตอยู่ภายใต้แสงตะวัน สุรเสียงอ่อนระโหยตรัสว่า “เจ้ามาแล้ว” แล้วตรัสอีกว่า “พวกเจ้าทุกคนออกไปให้หมด ยกเว้นเหยาฝูโซ่ว”
ทุกคนต่างทยอยกันออกจากสวนไป
สุสานที่เดิมทีเงียบงันอยู่แล้วยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นกว่าเดิม
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปสองสามก้าว คุกเข่าลง “ขอฝ่าบาททรงปล่อยท่านแม่ไปเถิดเพคะ หลายปีเพียงนี้แล้ว เหตุใดต้องมารบกวนความสงบของท่านแม่ด้วย!”
เหยาฝูโซ่วเคร่งเครียดจนอยู่ไม่สุข แต่เห็นหนิงซีฮ่องเต้มิได้กริ้ว ทรงอ่อนโยนต่อพระชายาฉินอ๋องเหมือนดังเก่าก่อน สุรเสียงเย็นเยียบจนคนฟังสั่นสะท้าน “ครานี้เราจะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว”
คำพูดดั่งมีดจากเหล็กกล้า หมดหนทางที่จะดึงสถานการณ์กลับคืนมา อวิ๋นหว่านชิ่นหยัดกายขึ้น ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เสียง
หนิงซีฮ่องเต้หรี่เนตรลง “เจ้าหัวเราะอันใด”
“หม่อมฉันหัวเราะฝ่าบาท ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทะนุถนอมเห็นค่า ไม่เคยทุ่มเทเพื่อแย่งชิงมา ยามนี้เอากระดูกกองหนึ่งมาครอบครองเป็นของตนเอง แล้วคิดว่าตัวเองได้ครอบครองไว้แล้ว ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน!”
“พระชายาฉินอ๋องบังอาจนัก! ยังไม่หุบปากอีก! อย่าได้อกตัญญูต่อฝ่าบาท” เหยาฝูโซ่วตกใจจนหน้าถอดสี
“ให้นางพูด” หนิงซีฮ่องเต้จ้องมองนาง “เจ้ายิ่งพูดเยี่ยงนี้ เราก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและโกรธตัวเองในสิ่งที่ทำลงไป รู้สึกว่าตัวเองหนีนางไปไม่พ้นแล้ว จำต้องให้นางอยู่กับเราด้วยกันหลังความตาย”
“ที่นี่คือสุสานบรรพบุรุษตระกูลอวิ๋น รายล้อมไปด้วยดวงวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลอวิ๋น ฝ่าบาทพูดทำนองนี้กับสะใภ้ตระกูลอวิ๋น ไม่กลัวเสียวสันหลังบ้างหรือเพคะ”
“แล้วอย่างไรเล่า!” ฮ่องเต้โบกแขนเสื้ออย่างรุนแรง ตีลงไปยังพนักแขน “เราเป็นเจ้าแผ่นดิน จะมากลัวภูตผีปีศาจอันใดกัน เราแย่งสะใภ้ของพวกเขามาแล้วอย่างไร!”
“ฝ่าบาทอยากทำอันใด ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขวาง ขนาดภูตผีและทวยเทพยังต้องเคารพพระองค์สามส่วน ทว่า” นางเหลือบมองหลุมศพ “คนในหลุมนั้น ฝ่าบาททรงคิดว่านางจะยินยอมหรือเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้สีพระพักตร์เศร้ารันทด มุมปากกลับมีรอยยิ้มขันแผ่ซ่าน “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ยินยอม เจ้าคิดว่าตอนที่นางนอนอยู่ในสุสานบรรพบุรุษสกุลอวิ๋น นางจะสงบสุขและมีความสุขได้จริงหรือ มิฉะนั้นแล้ว เจ้าว่าเรามาที่สุสานด้วยเหตุใดกันเล่า มีสามีเช่นนี้ มารดาเจ้าก็คงไม่อยากนอนอยู่ที่นี่หรอก เราจึงได้มารับนางไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุก
ฝ่าบาทพาคนมาย้ายศพที่สุสานตระกูลอวิ๋นในไท่โจว จะไม่ทรงบอกกล่าวอันใดท่านพ่อสักคำเลยรึ ท่านพ่อจะไม่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร!
แม้จะบอกว่าฝ่าบาทยิ่งใหญ่คับฟ้า เจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็จำต้องตาย แต่ชายคนหนึ่งสามารถเลือดเย็นได้เพียงนี้ ช่างสุดยอดนัก!
พอคิดไปถึงว่าเมื่อท่านพ่อได้รับรู้เจตนารมณ์ของฝ่าบาทก็รีบตกปากรับคำ พลิกเปิดร่างและกระดูกของภรรยาตนถวายให้แก่ชายอื่น เกรงว่าคงจะช่วยปิดบังทุกคนอีกด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกขยะแขยงนัก นางฝืนปรับอารมณ์ให้คงที่ จ้องฮ่องเต้พลางจงใจเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงบอกได้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่มิได้รักใคร่ปรองดองกัน แต่อย่างไรเสียท่านแม่ข้าก็ยังเป็นฮูหยินสายตรงของตระกูลอวิ๋นอยู่ดี และเคยมีลูกให้ท่านพ่อข้ามาแล้วสองคนชายหญิง ทว่าฝ่าบาทกับท่านแม่ข้า นับว่าเป็นอันใดกันหรือเพคะ เป็นเพียงไมตรีจิตอันฉาบฉวยเหมือนน้ำค้างเท่านั้นเอง ต่อให้ลึกซึ้งกว่านี้ พอตะวันขึ้นสู่ฟากฟ้าก็มลายหายไปไม่เห็นร่องรอยแล้ว”
สีพระพักตร์หนิงซีฮ่องเต้ปรากฏอารมณ์ขึ้นแวบหนึ่ง มุมโอษฐ์กระตุก คล้ายว่าทรงกำลังข่มอันใดบางอย่างอยู่สุดกำลัง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมันทั้งหมด นางหยุดเว้นไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ข้าจะมีสิทธิอันใดไปร่วมฝังลงโลงกับฝ่าบาท ร่วมครองคู่อยู่ในดินแดนหลังความตายได้เล่าเพคะ สตรีงดงามดั่งบุปผาที่มีโอรสธิดาให้ฝ่าบาทมากมายในวังหลวงต่างมิได้รับเกียรตินี้กันเลยสักคน! แล้วหญิงสาวภรรยาของขุนนางอื่นนางหนึ่ง เพียงแค่ก่อนแต่งงานได้รู้จักกับฝ่าบาท ได้พระทัยของฝ่าบาทไป จะได้รับเกียรตินี้ได้อย่างไรเพคะ!”
“พอได้แล้ว! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามารดาเจ้าไม่มีสิทธินี้!” คำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่น รบกวนอารมณ์ของหนิงซีฮ่องเต้จนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องตำหนิออกไป
“ฝ่าบาท…” เหยาฝูโซ่วตกใจ
หนิงซีฮ่องเต้กลับโบกหัตถ์ “หากวันนี้ไม่พูดให้นางเข้าใจแจ่มแจ้ง เกรงว่าต่อให้นางเอาหัวโขกสุสานของมารดานางจนตายก็ต้องขวางเราให้ได้แน่”
เหยาฝูโซ่วก้มหน้าลง ไม่ห้ามปรามอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหายใจ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เรานึกว่าพอมารดาเจ้าแต่งงานไปแล้ว วันเวลาล่วงเลยไป เราจะไม่คิดอีก เราสามารถหักใจได้” สุรเสียงของหนิงซีฮ่องเต้มีความเศร้ารันทดมากขึ้นกว่าเดิม “แต่เรากลับพบว่า ค่อนข้างยาก”
ค่อนข้างยาก สามคำนี้ทรงตรัสได้สงบนิ่งนัก แต่กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นระงับโทสะมากมายที่บุรุษเบื้องหน้าทรงกระทำกับหลุมศพมารดาตามอำเภอใจไว้ไม่อยู่
สีพระพักตร์ของพระองค์ซีดขาว ดึงปมในใจขึ้นมา ไอออกมาอีกหลายครั้ง จึงมองนางแล้วตรัสต่อ “หลังจากที่เจ้าเกิดแล้ว มีวันหนึ่ง เราปลอมตัวไปวัดเซียงกั๋ว เห็นตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า จึงนึกไปถึงยามที่เจอกับนางเป็นครั้งแรก เราอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์สงสารหรือไม่ จึงได้ให้เราได้พบนางมาไหว้พระพร้อมกับคนในจวนมากมายอย่างไม่คาดคิด คนที่มาด้วย ยังมีบิดาเจ้าอีกคน ได้เห็นนางอีกครั้งในแวบแรก เรายินดีจนแทบบ้า จึงได้รู้ว่าเราไม่เคยสามารถปล่อยวางจากนางไปได้เลยมาตั้งแต่แรก ตื่นเต้นเสียจนทำอันใดไม่ถูก สุดท้าย…” ตรัสถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ก็แดงขึ้นเล็กน้อย พระพักตร์แห้งตอบพลันมีชีวิตชีวา แล้วไอออกมาอีกสองสามครั้ง