ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 228 เปิดโลงย้ายศพ (3)
เหยาฝูโซ่วทอดถอนใจ เอ่ยต่อจากฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาททรงไม่สนใจฐานันดรของพระองค์ หลบอยู่หลังประตูตำหนักใหญ่ แอบมองสวี่ฮูหยิน จนนายท่านและฮูหยินสกุลอวิ๋นไปแล้ว จึงได้จากไป หลายวันต่อจากนั้น ฝ่าบาทก็ทรงอาลัยอาวรณ์ไม่คลาย ทรงคิดอยากจะไปวัดเซียงกั๋วอีก คิดไม่ถึงว่า สวรรค์เห็นใจในความรักของฝ่าบาท จึงได้ให้พบกับสวี่ฮูหยินที่วัดเซียงกั๋วอีกครา พอได้พูดคุยจึงได้ทราบว่าหลายวันมานี้สวี่ฮูหยินจิตใจว้าวุ่น นายท่านอวิ๋นมีเจตนา ตั้งใจให้คนไปส่งสวี่ฮูหยินที่วัดเซยงกั๋วทุกวันเป็นพิเศษ เพื่อสวดมนต์สงบจิตใจทุกเช้าค่ำ”
ช่วงเวลานั้น ความสัมพันธ์ของท่านพ่อท่านแม่กำลังจืดจางเพราะแม่นางสกุลไป๋ ท่านพ่อจะเอาใจใส่ดูแลละเอียดอ่อนต่อท่านแม่เพียงนั้นเลยหรือ
ซ้ำยังบังเอิญส่งไปยังวัดเซียงกั๋วที่ฝ่าบาทเสด็จไปบ่อยๆ ด้วยน่ะนะ
ความคิดในหัวของอวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา…ที่ฝ่าบาททรงแอบมองท่านแม่ที่วัดครานั้น ท่านพ่อคงพบเข้า หลังจากนั้นต้องได้ทราบถึงเรื่องราวก่อนแต่งงานของท่านแม่กับฝ่าบาทเป็นแน่
จากนิสัยของชายทั่วไป น่าจะต้องหลบเลี่ยงตั้งแต่นั้น ไม่ให้ภรรยาตนได้มีโอกาสพบหน้ากับผู้นั้นอีก
แต่จากนิสัยของท่านพ่อ เกรงว่าคงคิดว่าฝ่าบาททรงตกหลุมพรางเข้าแล้ว ดีใจเหลือคณานักแน่! นึกไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะเคยมีการคบหากับคนผู้นั้นที่สูงส่งที่สุดในใต้หล้า สำหรับเขาอาจจะเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมที่จะได้เลื่อนตำแหน่งก็ได้!
จึงจับภรรยาใส่พานถวายอย่างนั้นรึ ไม่ได้! เขาเดาไม่ออกหรอกว่าฝ่าบาททรงคิดเช่นไร ความรู้สึกที่มีต่อภรรยาจะมากน้อยแค่ไหน…
เกรงว่าคำพูดที่สะเพร่าจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วได้ แล้วผลลัพธ์จะกลายเป็นตรงกันข้าม!
ท่านพ่อจึงใช้เหตุผลอย่างการขจัดภัยสะสมพร ส่งท่านแม่ไปที่วัดเซียงกั๋วเพื่อสวดมนต์ขัดเกลาจิตใจทุกวัน ก็เพื่อรอให้ฝ่าบาทได้มาหาอีกครั้ง!
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าร่างกายหนาวยะเยือก นี่เหมือนเป็นการเอาท่านแม่มาเป็นเหยื่อล่อ เพื่อตกความสำเร็จและความรุ่งเรืองของเขา…
ได้ยินเพียงเสียงบุรุษในเสลี่ยงดังขึ้น “ช่วงเวลาเหล่านั้น เป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุด เราไปวัดเพื่อหาชิงเหยาทุกวัน หลังจากที่นางรู้ ก็เริ่มตื่นตระหนก หลบเลี่ยง กระทั่งจะกลับไป เกรงว่าเป็นเพราะฐานันดรของเรา อีกทั้งนางยังไม่กล้าส่งเสียงอย่างโจ่งแจ้ง สุดท้ายจึงอดกลั้นไว้ แต่ก็ไม่สนใจเราเลย ต่อให้เป็นเช่นนั้น เราก็ยังพอใจ ทุกครั้งต่างยืนอยู่นอกรั้วด้านนอกของห้องนั่งฌาน มีกำแพงกางกั้น ยึดมั่นในธรรมเนียมปฏิบัติต่อกัน แต่ก็ดีเช่นกัน ดีกว่าเราไม่ได้เห็นนางอีกต่อไปอยู่มากนัก ชิงเหยากับเจ้าแม้จะหน้าตาเหมือนกันมาก แต่นิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง นางขี้อายมาก พะว้าพะวงเรื่องชื่อเสียงเกินไป ยอมหดหู่ใจจนตายดีกว่าทำเรื่องผิดต่อจารีตประเพณีและความเป็นกุลสตรี เราก็ไม่อยากบังคับนางทำเรื่องเสื่อมเสียไร้คุณธรรมจรรยาเช่นกัน…จนกระทั่งวันนั้น” ตรัสถึงตรงนี้ก็ทรงเว้นหยุดไปนาน แล้วตรัสว่า “วันนั้น เราทำเหมือนทุกวัน แอบไปห้องนั่งฌาน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงนางสวดมนต์ จึงได้รู้ว่านางเป็นลมอยู่ในห้องนั้น ข้างกายไร้ซึ่งคนรับใช้แม้แต่คนเดียว เราทนไม่ไหว ประคองนางเข้ามาในห้อง เราคิดไม่ถึงว่านาง...จะตอบสนองเราก่อน เราคิดว่าใจนางมีเพียงสามีและลูกมาตั้งแต่แรก…เราควบคุมตัวเองไม่อยู่…”
“พอแล้วเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นกัดริมฝีปาก ทนฟังต่อไม่ได้อีก
กล่าวเช่นนี้ หลังจากที่ท่านแม่แต่งงาน เนื่องจากการจัดฉากอย่างลับๆ ของท่านพ่อ จึงได้พบกับฝ่าบาทหลายครั้ง แต่ท่านแม่ล้วนเย็นชาต่อพระองค์ตลอด ไม่เคยให้โอกาสพระองค์เลย แต่เหตุใดครานั้นจึงแปลกไปจากปกติ ซ้ำยังเป็นคน…
จู่ๆ ท่านแม่ก็เป็นลม…คนรับใช้ที่บ้านต่างไม่อยู่…ซ้ำยังตอบสนองฝ่าบาท…
ทั้งหมดเป็นแผนของคนผู้หนึ่ง!
หรือว่าท่านแม่จะโดนวางยา
เป็นท่านพ่อ เป็นท่านพ่ออีกนั่นแหละ!
อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาทั้งสองแดงก่ำ “อาศัยจังหวะยามคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ฝ่าบาทช่างเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องนัก”
ในเมื่อหนิงซีฮ่องเต้ทรงแบไพ่แก่นาง ก็ไม่สนใจที่จะถูกนางดูถูก พระองค์ฝืนประคองร่างกาย เดือดดาลขึ้นว่า “เรากับชิงเหยารู้จักกันมาก่อน เดิมทีนางควรเป็นของเรา! อวิ๋นเสวียนฉั่งได้นางไปก่อนเราก้าวหนึ่ง เราไม่ฆ่าเขาก็นับว่าใจกว้างอารีมากแล้ว! เราได้นางมา กลับไม่เสียใจสักนิด สิ่งที่เสียใจเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ก่อนหน้านี้เรารักษาขนบธรรมเนียมเกินไป เสียเวลาไปมากมาย!” เห็นนางหน้าซีดเผือดก็ยิ้มอ่อนตรัสว่า “แต่เจ้าวางใจเถิด มีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว ตั้งแต่วันนั้นมา ชิงเหยาก็ไม่ไปวัดเซียงกั๋วอีกเลย และไม่เคยออกจากประตูบ้านอีก ไม่ให้โอกาสเราได้พบนางอีกเลย จนกระทั่ง…น้องชายเจ้าเกิดมา เราจึงอดใจไม่ไหว แอบไปดูที่จวนอวิ๋น”
เหยาฝูโซ่วกลัวว่าพระชายาฉินอ๋องจะแค้นเคืองฮ่องเต้จึงเอ่ยว่า “พระชายา ฝ่าบาททรงจริงใจต่อสวี่ฮูหยินจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ หลายปีเพียงนี้ ปลูกป่าเหมยไว้ในวังก็เพราะสวี่ฮูหยินชอบเหมย สตรีที่ได้รับการโปรดปรานภายในวังล้วนมีส่วนที่เหมือนสวี่ฮูหยินกันทั้งนั้น ตั้งแต่วัยหนุ่มของฝ่าบาทจนกระทั่งยามนี้ ทรงประชวรเป็นโรคปอด ทุกครั้งที่ถึงฤดูหนาวอาการก็จะกำเริบ เดิมทีถูกลมหนาวไม่ได้ คืนในฤดูหนาวปีนั้นทรงแอบไปเยี่ยมสวี่ฮูหยินที่เพิ่งคลอด อาการก็กำลังกำเริบเช่นกัน แต่ฝ่าบาทกลับไม่สนใจความหนาวเหน็บนั้น ไปเยี่ยมทั้งที่กำลังประชวร พอกลับมาก็ล้มป่วยอย่างหนัก”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นกลับสงบลงแล้ว มุมปากนางปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ฝ่าบาททรงไปเยี่ยมเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เอง จะกลัวความหนาวเหน็บอันใดกันเล่า”
เหยาฝูโซ่วลูกกระเดือดขยับไหว
หนิงซีฮ่องเต้มองนางพลางตรัสว่า “ในเมื่อยามนี้เจ้ารู้แล้ว ก็น่าจะกระจ่างแจ้งว่าเรากับมารดาเจ้า มิใช่พรหมลิขิตน้ำค้างที่พบกันโดยบังเอิญอันใดนั่นแน่นอน ร่างและกระดูกของนางย้ายไปฝังที่สุสานเซี่ยนหลิง เป็นเรื่องที่สมควร ก่อนหน้านี้ เราให้สถานะกับนางมิได้ ในปรโลก เราต้องได้ร่วมสุขรับการกราบไหว้จากคนรุ่นหลังไปกับนาง ที่เราจะบอกเจ้าเพราะไม่อยากหลอกเจ้าต่อหน้าชิงเหยา ยามนี้เจ้าก็น่าจะสบายใจขึ้นมาแล้วกระมัง เจ้าเห็นด้วยก็ดี ไม่เห็นด้วยก็ช่าง เรื่องย้ายศพในวันนี้ก็จะยังดำเนินต่อไป”
“บิดาข้าทราบเรื่องจิ่นจ้งหรือไม่เพคะ” มือนางกำเป็นหมัดแน่นทั้งสองข้าง
หนิงซีฮ่องเต้ตรัสว่า “พอนางทราบว่าตั้งครรภ์ก็บอกเรื่องครรภ์ช้าไปสองเดือน จากนั้นก็ไปหาหมอลับ กินยาเลื่อนคลอด นับเดือนเอา ทุกคนต่างคิดว่าเป็นลูกชายของสกุลอวิ๋น เราก็คาดไว้แล้ว หากไม่แอบถามหมอลับที่แม่เจ้าฝากครรภ์ล่ะก็ คงไม่ได้รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา ความจริงแล้วขอเพียงนางยินยอม พูดแค่คำเดียว ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะคิดหาวิธีรับพวกนางสองคนแม่ลูกเข้าวัง แต่มารดาเจ้ารักษาหน้าตานัก ตอนที่เราแอบไปเยี่ยมนาง นางทัดทานเราสุดชีวิต ขอให้เราเหลือศักดิ์ศรีสักเล็กน้อยให้แก่นาง อย่าได้เปิดเผยฐานันดรของจิ่นจ้ง สัญญาว่าจะไม่ไปพบจิ่นจ้งอีกตลอดไป ให้จิ่นจ้งได้ใช้ชีวิตเป็นลูกชายตระกูลขุนนางธรรมดา…เรารับปากนาง หลายปีเพียงนี้ ไม่เคยได้พบจิ่นจ้งเลยสักครั้ง แต่ยามนี้ไม่ได้แล้ว เรา…” ร่างกายค่อยๆ เน่าเสีย วันที่จะจากโลกนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน พระองค์ต้องจัดการเรื่องของจิ่นจ้งให้เรียบร้อย
“แม่มิได้รักหน้าตา แม่เกลียดต่างหาก” อวิ๋นหว่านชิ่นมองพระองค์ “การกินยาเลื่อนคลอดนั้นอันตรายต่อครรภ์และคนท้องอาจถึงชีวิต แม่ไม่สนใจครรภ์นี้เลยแม้แต่น้อย หากไม่อาจปิดบังสถานะอันแท้จริงของครรภ์นี้ได้ แม่ยอมให้ครรภ์นี้ตายอยู่ในท้อง! เช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทยังทรงคิดโดยปรารถนาอยู่ฝ่ายเดียวว่าแม่ข้าจะยินยอมฝังกลบไปด้วยกันกับพระองค์อยู่หรือไม่เพคะ”
สองสามปีในบั้นปลายสุดท้ายของท่านแม่ เป็นโรคหัวใจยากจะรักษา จากไปโดยเศร้าสร้อยไร้ซึ่งความสุข มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็นับว่ากระจ่างแจ้งแล้ว
ถูกสามีวางยา วางแผน และส่งให้ถึงเตียงผู้เป็นนาย ให้คนอื่นหยอกเล่น ซ้ำยังคลอดลูกให้คนอื่น นางถูกเลี้ยงไว้ในห้องส่วนตัวของสตรีมาตั้งแต่เด็ก เป็นสตรีที่อ่อนแอและไม่เคยมีประสบการณ์ที่ลำบากและอันตรายมาก่อน จึงเป็นการกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ
ต่อให้ก่อนแต่งงานท่านแม่กับฝ่าบาทจะเคยรักใคร่กันมาก่อน แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ตามนิสัยของท่านแม่ จะต้องมองตัวเองเป็นสะใภ้ตระกูลอวิ๋นตั้งแต่นั้นจนวันตาย ไม่มีใจเป็นอื่นแน่ เพราะสามีเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย แม่จึงถูกทำให้ร่างกายสกปรก ซ้ำยังให้กำเนิดเด็กที่เตือนตัวนางเองตลอดเวลาในเรื่องการไร้ความเป็นกุลสตรี จะไร้ซึ่งความหนักอึ้งทางจิตใจได้อย่างไร ทั้งยังกังวลเรื่องฐานันดรของจิ่นจ้งอีก สองคนแม่ลูกล้วนชื่อเสียงสูญสิ้น…วันเวลานานเข้าจึงส่งผลต่อร่างกายให้ทรุดโทรม