ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 229 เผาศพ (1)
และหลายปีหลังจากนั้น ก็มิได้คิดว่าแม่นางสกุลไป๋เป็นภรรยาหลวงอีกเลย ปล่อยให้นางได้เป็นใหญ่ในเรือนหลัง เกรงว่าก็เพราะท่านแม่ละอายแก่ใจ มีความมั่นใจไม่มากพอกระมัง…
หนิงซีฮ่องเต้สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลังเลยสักนิด “สิ่งที่เราควรพูดก็ได้บอกเจ้าไปหมดแล้ว! ต่อให้มารดาเจ้าเกลียดเรา เราก็ไม่สนแล้ว! รอเราลงไปค่อยอธิบายขอโทษแก่นาง! ใครก็ได้!”
เหยาฝูโซ่วเข้าใจในเจตนาของฮ่องเต้จึงเอ่ยเรียกเสียงดัง “ใครก็ได้ ปล่อยเชือก ดึงโลง!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันจะหลุดจากภวังค์ เหยาฝูโซ่วกลัวนางจะมาขวางอีก จึงส่งสายตาให้ขันทีสองนายมาหิ้วปีกนางไว้ แล้วลากไปด้านข้าง ปิดหน้าและปากของนาง
นางเบิกตามองโลงไม้หนาโลงหนึ่งถูกเชือกเส้นใหญ่ดึงขึ้นมา เคลื่อนย้ายอย่างช้าๆ และมั่นคง มาวางลงด้านข้าง
มีนายช่างเข้าไปหยิบเครื่องมือมางัดหัวท้าย จากนั้นจึงเปิดโลงออก แล้วยกฝาโลงไปไว้ด้านข้าง
หลังจากเปิดโลงแล้ว เหล่านายช่างก็ชะโงกหน้าไปเหลือบดูในโลงแวบหนึ่ง แต่กลับพากันตกตะลึง “เหยากงกง ท่านเข้ามาดู!”
เหยาฝูโซ่วได้ยินถึงความไม่ปกติจึงเดินเข้าไปสองสามก้าว มองด้านในโลงแล้วก็ตกใจเช่นกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นถลึงตาโต หยุดการดิ้นลงชั่วขณะ ทอดมองไป
“เกิดอันใดขึ้น!” หนิงซีฮ่องเต้พระทัยเต้นแรง ไม่สนใจจะพยุง กางแขนออกฝืนประคองวรกายอันผอมแห้ง
ภายในโลงไม่มีร่างและกระดูก มีเพียงโถลายครามหยกขาวทรงกลมใบหนึ่ง
ฝาลายครามใช้กระดาษปิดเอาไว้ เหยาฝูโซ่วยกออกมาด้วยความตกตะลึง ดึงเปิดออกด้วยความระมัดระวัง พึมพำว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นะ…นี่มัน…”
“มัน…เหมือนจะเป็นเถ้ากระดูกของคน!” นายช่างคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพอจะเคยเห็นมาก่อนโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ!
หนิงซีฮ่องเต้ไม่อยากจะเชื่อ ทรงทิ้งท่าทางสูงส่งไป สะบัดคนข้างกายทิ้ง พุ่งไปข้างโลง!
ภายในโลงว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง ไร้ซึ่งร่างและกระดูกนาง กระทั่งสิ่งของของผู้วายชนและเสื้อผ้าก็ยังไม่มี!
มีเพียงเถ้ากระดูกในโถนั้นในมือเหยาฝูโซ่ว
หลังจากหายจากการตกพระทัย พระองค์ก็กระจ่างแจ้งขึ้นในที่สุด เส้นเอ็นบนหน้าผากแทบนูนและเต้นตุบๆ ลำคอคำรามจนคนตกใจ “อวิ๋นเสวียนฉั่ง ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ตรัสจบ เรี่ยวแรงก็ไม่เหลือหลอ ทรุดลงกับพื้น ความคะนึงหาสุดท้ายมลายหายไปกลายเป็นเถ้าถ่าน พระทัยสลายดั่งธุลี
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ…” เหยาฝูโซ่วกับคนอื่นๆ เห็นฮ่องเต้เดือดดาลสุดแสน จึงพากันคุกเข่าลง
อวิ๋นหว่านชิ่นดิ้นสะบัดแขนทั้งสองข้าง ขันทีทั้งสองนายที่จับนางไว้เนื่องจากได้รับความตกใจจึงคลายมือลง ครานี้ไม่ต้องออกแรงดิ้นก็หลุดจากพันธนาการ นางเดินเข้าไปด้านหน้า “ฝ่าบาททรงคิดว่าท่านพ่อข้าจะขวัญกล้าเพียงนั้นหรือเพคะ”
ยามนี้ ฮ่องเต้มาเปิดโลงย้ายศพที่ไท่โจว หากอวิ๋นเสวียนฉั่งเผาร่างของแม่นางสวี่ไป จะกล้าตอบรับอย่างเปรมใจสบายอารมณ์หรือ
ต่อให้ไม่คิดหาสารพัดวิธีมาขัดขวางก็ต้องหาร่างสักร่างมาใส่ไว้แทนแน่!
เกรงว่า…อวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่รู้เรื่องนี้แต่แรก!
หนิงซีฮ่องเต้เข้าใจที่อวิ๋นหว่านชิ่นพูดทันที ทั่วทั้งวรกายเย็นเยียบ กลับได้ยินนางพูดขึ้นว่า “เป็นเจตนาของแม่ข้าเองเพคะ”
การเผาศพนั้น สำหรับชาวจงหยวนแล้วเป็นเรื่องที่โหดร้ายป่าเถื่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเหลือร่างศพเอาไว้ เพื่อจะได้กลับชาติมาเกิด
ท่านแม่น่าจะมีความตั้งใจเผาร่างหลังตายมาแต่แรกแล้ว รู้แต่แรกว่าสกุลอวิ๋นจะไม่เห็นด้วย ต่อให้เห็นด้วย อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่กล้าทำ
สุสานนี้เป็นท่านลุงที่สร้างให้ท่านแม่ เรื่องงานศพของท่านแม่ก็เป็นท่านลุงที่จัดการ คงเป็นก่อนที่ท่านแม่จะจากไปได้ขอร้องท่านลุงเอาไว้ แม้ว่าท่านลุงจะจนใจ แต่ก็จำต้องตอบรับความปรารถนาสุดท้ายของน้องสาว จึงแอบมาจัดการเงียบๆ
หนิงซีฮ่องเต้ตกตะลึง ขอบตาแดงก่ำ “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดนางจึงต้องการเช่นนี้ เหตุใดนางจึงโหดร้ายต่อตนเองเช่นนี้…”
“นางไม่เต็มใจเป็นสะใภ้สกุลอวิ๋น แต่ก็เบื่อหน่ายที่จะมีโซ่ตรวนจากใครๆ มาผูกมัดไว้ เปลวไฟกองเดียว สะอาดหมดจด ไม่ว่าใครก็พันธนาการนางไว้ไม่ได้อีก” นางเว้นจังหวะไปแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยามนี้ฝ่าบาทยังทรงปรารถนาอยู่ฝ่ายเดียวคิดว่าแม่นางสกุลสวี่อยากจะย้ายไปยังสุสานเซี่ยนหลิงอยู่หรือไม่เพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้วรกายโงนเงน ผลักคนข้างกายที่ประคองอยู่ ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป!” พระองค์เดินไปยังข้างกายเหยาฝูโซ่วอย่างเชื่องช้า รับโถเถ้ากระดูกมา ก้มพระพักตร์ลง หน้าผากแตะลงบนฝาโถ ดวงเนตรปิดลง ถูไถเบาๆ การกระทำละเมียดละไมเหลือใดเปรียบ
ครู่ต่อมากลับหนังตาขยับไหว “เจ้าเกลียดเราจริงๆ หรือ…ตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีมาไม่ปฏิเสธการพบเราอีก…”
ในขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังโศกเศร้า กลับเห็นพระองค์ส่งโถเถ้ากระดูกไปให้เหยาฝูโซ่วแล้วหันหลังเดินไปยังเสลี่ยง ฝีเท้าไม่มั่นคง โซเซอย่างมาก
เหยาฝูโซ่วเข้าใจเจตนาของฝ่าบาทจึงอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด ทอดถอนใจออกมา เรียกนายช่างคนหนึ่งให้มารับกระดูกวางกลับไปในโลงดังเดิม
การย้ายศพครานี้ ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว ขนาดพระชายาฉินอ๋องมาขวางไว้ยังทรงไม่ฟัง คิดไม่ถึงเลยว่า ยังคงเป็นฮูหยินสวี่ที่มาห้ามฝ่าบาทไว้โดยอ้อม
ฮูหยินสวี่เป็นชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้ของฝ่าบาทโดยแท้!
หลังจากที่เหยาฝูโซ่วสั่งให้นายช่างไปจัดการแล้วก็หันหน้าไป เห็นเพียงฝ่าบาทเดินไปกี่ก้าว วรกายผอมสูงก็โงนเงน
เขายังไม่ทันจะได้ขยับ ฝ่าบาทก็โน้มตัวไปด้านหน้า กระอักเลือดดำลงบนพื้น ราวกับกำแพงเมืองได้พังทลายลง!
“ฝ่าบาท…” เหล่านายช่างตกใจจนหน้าถอดสี เอ่ยเรียกกันขึ้น
บรรดาขันทีในสุสานก็ตระหนกตกใจเช่นกัน ต่างพากันกรูเข้าไป พยุงฮ่องเต้ให้ลุกขึ้น แต่พระองค์กลับหมดสติไปแล้ว!
เหยาฝูโซ่วสีหน้าซีดเผือด แต่ก็รีบตัดสินใจโดยไม่ลังเลทันที เขาหันไปหาขันทีคนหนึ่ง “ไปเชิญใต้เท้าย่วนพั่นมา!” แล้วหันไปพูดกับบรรดานายช่าง “พวกเจ้าไปเฝ้าอยู่นอกสุสาน ผู้ใดกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแม้ครึ่งคำ โทษประหารเท่านั้น!”
ขันทีน้อยคนนั้นวิ่งออกไปเรียกคนด้วยความรีบร้อน บรรดานายช่างไหนเลยจะยังกล้าพูดอะไรอีก รีบรับคำด้วยใบหน้าไร้สีเลือด ออกจากสุสานไปด้านนอกทันที
“เหยากงกงดูสิขอรับ ฝ่าบาทกระอักเลือดออกมาไม่หยุดเลยขอรับ!” ขันทีคนหนึ่งที่กอดฮ่องเต้ไว้ท่าทางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
เหยาฝูโซ่วไหนเลยจะคาดการณ์ได้ว่าวันนี้ฝ่าบาทจะทรงเจอเข้ากับเรื่องกระทบกระเทือนพระทัยเช่นนี้ เขาสาวเท้าเข้าไปเห็นโลหิตที่ฮ่องเต้กระอักออกมาเลอะเปื้อนฉลองพระองค์ส่วนหน้า จึงสะบัดแขนเสื้อเร่งว่า “เหตุใดยังไม่มาอีก!”
“เหยากงกง ส่งตัวฝ่าบาทออกไปดีกว่ากระมัง ให้พวกนายอำเภอไท่โจวส่งไปยังศาลาว่าการจังหวัด…” ขันทีเอ่ยขึ้น
“หุบปาก!” เหยาฝูโซ่วตะคอกแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารีบออกไปเร่ง ดูว่าเหยาย่วนพั่นมาหรือยัง!”
บรรดาขันทีต่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่ฝ่าบาทล้มป่วย นอกจากพระสนมม่อที่ปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกายแล้ว ก็มีแค่ท่านเหยาทั้งสองนี้เท่านั้น แม้พวกเขาจะเข้าวังถวายการรับใช้ฝ่าบาท แต่ก็มักจะอยู่นอกพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนตลอด อันที่จริงคนรับใช้ในวังต่างแอบคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าการประชวรของฝ่าบาทครานี้ เกรงว่าจะไม่ใช่การป่วยธรรมดาอย่างการจับไข้ที่เรื้อรังไม่หาย ยามนี้เห็นเหยากงกงเคร่งเครียดเพียงนี้ ฝ่าบาทกระอักเลือด เขายังไม่ยอมให้พวกนายอำเภอไท่โจวรู้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงรับสั่งอย่างเคร่งครัดไว้แน่
แต่ละคนจึงไม่กล้าพูดอะไรกันอีก
แม้อวิ๋นหว่านชิ่นจะรู้ว่าหนิงซีฮ่องเต้ทรงปกปิดการประชวรต่อทุกคนไว้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเก็บเป็นความลับขนาดนี้ นางก้าวเข้าไปหาสองสามก้าว นั่งยองๆ ลง ยกข้อมือพระองค์ขึ้น มองพระพักตร์พระองค์อย่างละเอียด
โหนกแก้มแดงและร้อนวูบ ชีพจรเล็กบาง ลิ้นแดงและมีฝ่าอมเหลือง กระอักเลือดไม่หยุด เป็นอาการขาดหยินของปอด เกรงว่าเป็นระยะเรื้อรังแล้ว จะช้าแม้เพียงครึ่งเค่อไม่ได้ มิฉะนั้นต่อให้เหยากวงเหย้ามาถึงก็คงไม่ทันการณ์แล้ว
เหยาฝูโซ่วเห็นท่าทางของนางก็พลันนึกขึ้นได้ เขารีบเอ่ยว่า “ได้ยินย่วนพั่นบอกว่าพระชายาฉินอ๋องร่ำเรียนกับเขามานาน มีวิชาแพทย์อยู่บ้าง! เหมือนว่าจะเคยช่วยชีวิตพระนัดดาน้อยในตงกงมาก่อน...ขอพระชายาโปรดดูให้หน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”