ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 229 เผาศพ (2)
นางวางข้อมือหนิงซีฮ่องเต้ลง “อาการกำเริบกะทันหัน รีบส่งพระองค์ออกไปให้แพทย์เฉพาะทางรักษาจะดีกว่า”
“พระชายาฉินอ๋อง!” น้ำเสียงเหยาฝูโซ่วเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ไม่หลบเลี่ยงข้อห้ามอันใดอีก “อาการประชวรของฝ่าบาทเป็นอย่างไร ยามนี้ท่านก็น่าจะมองออกแล้ว ที่ท่านปิดบังไว้ตลอด ไม่แพร่งพรายออกไปก็เพราะกลัวว่าราชสำนักกับแดนเหนือจะเกิดคลื่นลมขึ้นและกลัวว่าจะมีคนคิดไม่สัตย์ซื่อนอกลู่นอกทาง ผู้นำตระกูลใหญ่ๆ ล้มป่วยหนัก ไม่รู้ว่ามีคนภายในเรือนเท่าใดต่อเท่าใดที่ในใจเกิดความโลภขึ้น นับประสาอะไรกับราชวงศ์เล่า เหมิงหนูจ้องจะตะครุบดั่งพญาเสือมาโดยตลอด หาโอกาสอย่างไม่หยุดไม่หย่อน เรื่องตลาดการค้าข้ามแดนครานี้ท่านก็ทราบดี นี่ก็เหมือนกัน หากรู้ว่าฮ่องเต้ต้าเซวียนประชวรหนัก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายใดขึ้นมาอีก…อีกไม่กี่วัน เฮ่อเหลียนอวิ่นจะมาเยี่ยมเยียนเยี่ยจิง เวลานี้เดิมทีฝ่าบาทควรบำรุงและสะสมกำลังให้มีพลังเพื่อต้อนรับชาวเป่ยเหริน แต่ก็ยังจะทรงคะนึงหาฮูหยินสวี่ไม่คลาย ทรงเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้พบนางอีก จึงได้ฝืนพระวรกายมายังไท่โจว”
ลมหายใจของพระองค์ยิ่งแผ่วอ่อนเรื่อยๆ มุมโอษฐ์มีโลหิตไหลลงมาไม่หยุด เข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นไปนานแล้ว
ครู่ต่อมา อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกแขนเสื้อของพระองค์ขึ้น นิ้วขาววางลงบนจุดข่งจุ้ยที่ห่างจากข้อมือมาเจ็ดชุ่น[1]อย่างมั่นคง นางเพิ่มแรงกดลงไปลึกขึ้น
เหยาฝูโซ่วกลั้นหายใจ ไม่ถึงครึ่งเค่อก็เห็นฝ่าบาทแหงนศีรษะขึ้น สันหลังเหยียดตรง กระอักโลหิตออกมาเล็กน้อย ไอออกมาอีกสองสามครั้ง ได้สติขึ้นมา
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทรู้สึกพระวรกายดีขึ้นบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหยาฝูโซ่วดีใจสุดแสน แต่ก็ตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น โลหิตของฝ่าบาทยังไม่หยุดไหล ซ้ำยังไอหนักกว่าเดิม ทรงสำลักลิ่มเลือดออกจากโอษฐ์ไม่หยุด วรกายก็ชักกระตุกเพราะการกระอักโลหิต
ยามนี้ต้องช่วยรักษาอย่างฉุกเฉินเพื่อให้พระองค์ได้สติ จะได้ไม่สำลักลิ่มเลือดในขณะที่ไม่ได้สติจนสิ้นพระชนม์ อาการยังไม่พ้นขีดอันตราย
นางมองไปรอบๆ หลังหลุมฝังศพหยกขาวมีต้นหญ้าหลายต้นที่หันหน้าเข้าหาแสงแดดถูกร่มเงาปกคลุมไว้กว่าครึ่ง ปรากฏให้เห็นเพียงรูปร่างเลือนลาง
นางเดินเข้าไปดึงต้นหญ้านั้นมา ฉีกให้ขาดรุ่งริ่ง แล้วใช้ฝ่ามือถูคั้นให้มีน้ำออกมา “มีน้ำหรือไม่”
“มี! เร็ว รีบหน่อย!” เหยาฝูโซ่วรีบโบกมือ ขันทีคนหนึ่งหยิบน้ำเต้าที่ติดตัวออกมาส่งให้ เห็นนางหยดลงรวมเข้ากับน้ำจากหญ้าที่กลายเป็นของเหลวแฉะ จากนั้นหนุนท้ายทอยของฝ่าบาทขึ้นมา เปิดโอษฐ์ฝ่าบาทออก กรอกป้อนลงไป
แม้ว่าเหยาฝูโซ่วจะให้คนทำตามที่นางบอก แต่ก็ยังกังวลอยู่มาก ยาที่ฝ่าบาทเสวยในวัง มีอันใดบ้างไม่ยอดเยี่ยมราคาแพง ไม่รู้ว่าผ่านกระบวนการสกัดให้บริสุทธิ์มากี่ขั้นตอน ไม่รู้ว่าพืชที่ดึงมาจากซอกหินในป่าในทุ่งนี้คือสิ่งใด จะใช้ได้ผลหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นทำเพียงนั่งยองๆ นวดถูและดันจุดข่งจุ้ยกับไท่ซางของพระองค์ต่อไป
เพียงไม่นาน ก็เห็นหนิงซีฮ่องเต้วรกายสงบนิ่งลง ไม่สั่นกระตุกอีกต่อไป เสียงไอก็เบาลง แม้ว่าจะไม่หยุดลง แต่จากที่สำลักโลหิตออกมาก็กลายเป็นไอแห้ง…เห็นได้ชัดว่าหยุดเลือดเอาไว้ได้ชั่วคราว
เหยาฝูโซ่วกับบรรดาขันทีตรวจดูครู่หนึ่งก็เห็นฮ่องเต้หายใจสม่ำเสมอ และสามารถลืมตาได้แล้ว จึงพากันพรูลมออกมา ยกฮ่องเต้ขึ้นไปวางบนเสลี่ยง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “พระชายาฉินอ๋องเมื่อครู่นี้ใช้อันใดหรือ”
“ใบจ้วนไป่ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหุนเฉ่า สามารถหยุดเลือดภายในและอาการชักกระตุกได้เร่งด่วน”
เหงื่อเย็นของเหยาฝูโซ่วแห้งเหือดไปไม่น้อย เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบพระทัยพระชายา!”
สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นตกสู่ใบจ้วนไป่สีเขียวขจีเล็กๆ ด้านหลังหลุมศพ ท่านแม่แอบช่วยพระองค์ไว้
บางทีท่านแม่อาจจะมีความรักความห่วงใยต่อพระองค์อยู่กระมัง มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดจึงมีพืชที่ช่วยชีวิตเช่นนี้มาอยู่ในสุสานได้อย่างพอดิบพอดีได้
นางเห็นฮ่องเต้ทรงมีสีพระพักตร์มีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว “เหมิงหนูไท่จื่อจะมาเยี่ยจิง หากยามนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกับฮ่องเต้แห่งต้าเซวียน ก็จะเป็นการให้โอกาสคนนอกได้มาฉวยไป”
เหยาฝูโซ่วเห็นนางจะจากไปจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “พระชายารอก่อนพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีคุณงามความดีช่วยฝ่าบาทไว้ รอฝ่าบาทปลอดภัยก่อนจะต้องประทานรางวัลให้แน่นอน!”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงซ่อมแซมหลุมศพมารดาข้าให้เป็นดังเดิมก็พอ” กล่าวจบก็หันหลังเดินออกจากสุสานไป
เหยาฝูโซ่วตกตะลึง เห็นแผ่นหลังนางหายวับไปจากหน้าประตูสุสาน
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะจากไป เหยากวงเหย้าก็สาวเท้าเข้าไปในสุสานอย่างรีบร้อน เขาไปจับชีพจรให้ฮ่องเต้ด้วยความเร็วรี่ แล้วหยิบเข็มสามเหลี่ยมออกมาจากกระเป๋าใส่เข็มมาฝังเข็มถวายฮ่องเต้ เห็นว่าชีพจรคงที่จึงสั่งว่า “ตอนนี้ยังไม่มีอันใดร้ายแรง แต่ก็ยังคงต้องรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด อย่างไรเสียสภาพแวดล้อมของไท่โจวและปัจจัยมีจำกัด ซ้ำยังไม่อาจให้คนนอกรู้ได้ ส่งฝ่าบาทไปหอพักม้าออกเดินทางทันที”
เหล่ากงกงรีบดึงผ้าม่านของเสลี่ยงลง ส่งฝ่าบาทออกจากสุสานไป
ภายในรถม้าขากลับเมืองหลวง ชูซย่าได้ฟังเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในสุสานก็ตกใจจนเหงื่อตกไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทเกือบจะขี่มังกรขึ้นสวรรค์ไปเข้าเฝ้าเทพสวรรค์แล้ว!
โชคดีที่เหนียงเหนียงช่วยไว้ได้ทัน มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นใหญ่โตเพียงใด
ชูซย่าไม่สามารถรับประกันเรื่องการสวรรคตของฮ่องเต้ได้ ราชสำนักจะวุ่นวายหรือไม่ เหมิงหนูจะอาศัยจังหวะนี้ก่อกบฏหรือไม่ นางรู้แค่ว่าฝ่าบาทปลอมตัวแอบไปรื้อหลุมศพของภรรยาขุนนาง พระชายาฉินอ๋องมาขวางไว้ สุดท้ายฝ่าบาทสิ้นพระชนม์หน้าหลุมศพ!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เหนียงเหนียงจะไม่เกี่ยวข้องได้หรือ ซ้ำยังไม่รู้ว่าคนนอกจะคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างไร!
ทว่า หากทรงสวรรคตจริง ก็กลับมิใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทีเดียว หากฝ่าบาทสวรรคต เรื่องที่แม่นางสกุลหันจะเข้าจวนมาก็ต้องยืดเวลาออกไป
รถม้าออกจากประตูเมืองไท่โจวมา วิ่งตรงไปยังเยี่ยจิง กลับมาถึงบ้านสวนโย่วเสียนในเวลายามสอง[2]
เมื่อคืนผู้ดูแลหูและภรรยาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่ารีบร้อนออกไป ทั้งไม่ทราบว่ามีเรื่องใด จึงมารออยู่หน้าบ้านสวนเนิ่นนาน
พอเห็นรถม้ากลับมา สองสามีภรรยาจึงพรูลมกันออกมา รับทั้งสองลงจากรถ ไม่รอให้ทั้งคู่ได้ยืนมั่นคงก็เอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ…”
ชูซย่ามองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้ดูแลหู ป้าเว่ย ยามนี้ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ วางใจเถิด”
หูต้าชวนและภรรยาจึงไม่ถามอะไรต่อ เห็นทั้งคู่เดินทางกันมาลำบากและเหนื่อยล้ามาก โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ คล้ายว่าใช้กำลังวังชาไปไม่น้อย ใบหน้ารูปไข่ซีดเซียวนัก หากไม่ได้ชูซย่าพยุงไว้ ป่านนี้คงได้โงนเงนลงไปกองกับพื้นแล้ว
ป้าเว่ยสงสารจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่รีบกลับห้องเถิด ตาเฒ่า ยังไม่ให้คนรีบไปต้มน้ำอีก คุณหนูใหญ่เข้าไปล้างหน้าล้างตา ทานอะไรก่อนเถิด แล้วค่อยนอนพักผ่อน”
หูต้าชวนรีบหันไปจัดการทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พักตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงยามนี้ ได้รู้เรื่องเก่าก่อนที่สุสาน ซ้ำยังช่วยชีวิตฮ่องเต้อีก ยามนี้ไร้เรี่ยวแรงจริงๆ แต่ในใจยังมีเรื่องหนึ่งที่วางไม่ลง นางฝืนเรียกสติไว้ “ป้าเว่ย ข้าจำได้ว่าคราก่อน ตอนที่ข้าพาจิ่นจ้งมาที่บ้านสวน ป้าเคยเปรยกับข้าว่าเมื่อก่อนท่านแม่ข้ามีสาวใช้คนสนิทอยู่ที่บ้านท่านแม่ชื่อหมิงชุ่ย ไปไหนมาไหนล้วนมีนางไปเป็นเพื่อน ใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” ป้าเว่ยแปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ นางจึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ต่อมานางได้เข้าไปอยู่ในตระกูลอวิ๋นเป็นเพื่อนหรือไม่”
ป้าเว่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ หมิงชุ่ยเป็นสาวใช้ที่เข้าไปอยู่ด้วยหลังท่านแม่ของท่านแต่งงาน แต่ว่าอยู่ที่สกุลอวิ๋นได้ไม่นาน พอท่านอายุได้สี่ขวบ นางก็ถูกท่านพ่อท่านไล่ออกจากจวนไป ตอนนั้นท่านยังเด็กนัก จึงจำนางไม่ได้”
เป็นไปดังคาด…ตอนนางอายุได้สี่ขวบ ก็เป็นตอนที่ท่านแม่ถูกท่านพ่อส่งไปวัดเซียงกั๋ว ที่ท่านแม่ได้เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ในปีนั้น หมิงชุ่ยก็น่าจะอยู่ข้างกายท่านแม่ด้วย
“ข้าจะต้องหานางให้พบ เพื่อสอบถามสองสามคำ บางทีอาจจะยากมาก แต่คนที่ออกจากสกุลอวิ๋นไป มักจะมีร่องรอยให้ติดตาม ป้าเว่ยรู้จักคนกว้างขวาง คงคิดหาวิธีได้อยู่กระมัง”
—————————————
[1] ชุ่น นิ้ว (หน่วยวัดของจีน)
[2] ยามสอง 21:01 - 23:00 น.