ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 230 ไม่กลัวถูกแพร่เชื้อหรือ (4)
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า ราวกับกระดูกหลุดจากข้ออย่างไรอย่างนั้น
ในยามที่รถม้ามาถึงเป่ยเฉิงก็เป็นย่ำค่ำแล้ว
พอเกาจ๋างสื่อเห็นเหนียงเหนียงกลับมาก็รีบเรียกเจินจูกับฉิงเสวี่ยออกมารับ แล้วตัวเองวิ่งไปเรือนฮั่นม่อเพื่อแจ้งท่านอ๋อง
แสงไฟจากประทีปภายในจวนสว่างไสว ลานบ้านและระเบียงแต่ละแห่งล้วนมีแสงไฟสาดส่อง อวิ๋นหว่านชิ่นและคนอื่นๆ เดินไปได้ครึ่งทางก็เห็นแสงสว่างเบื้องหน้าใกล้เข้ามาช้าๆ เป็นคนรับใช้ถือโคมไฟเดินตรงมาทางนี้
ห้อมล้อมเงาร่างสูงใหญ่ไว้ตรงกลาง สีหน้าดำทะมึนอย่างยิ่งภายใต้แสงไฟนั้น
ชูซย่ารีบดึงมุมแขนเสื้อของนายหญิงตนยิกๆ “ท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
ท่านอ๋องจากไหนก็สนใจไม่ไหวแล้ว ยามนี้นางเหนื่อยมาก สมองหนักอึ้งไปหมด
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางไม่มีท่าทีจะทักทายเขาก่อน อารมณ์ก็ยิ่งอึมครึมกว่าเดิม สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปหา คนรับใช้ข้างกายก็เร่งฝีเท้าตามเข้าไป
“ออกจากจวนไม่บอกสักคำ กลับมาก็ยังไม่รู้จักบอกอีกหรือ ตอนเจ้าไปพักบ้านสวนสองวันก็ช่างมันเถิด แต่เจ้ากลับ กลับไม่ยอมกลับมาตั้งหลายวัน” ภายใต้ราตรีสีมืด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ เขายืนหยุดนิ่งตรงหน้านาง ขวางทางไว้อย่างไร้ซึ่งท่าทีจะยอมอ่อนข้อให้ ราวกับต้นไม้อายุเก่าแก่ที่แข็งแรงและสูงตระหง่าน
“ท่านอ๋องเพคะ ก่อนที่เหนียงเหนียงจะออกไปได้บอกคนในบ้านไว้แล้วเพคะ” ชูซย่าอดจะอธิบายขึ้นมิได้ “แต่ช่วงนั้นท่านอยู่ในวัง มิได้ส่งจดหมายมาหาเลยสักฉบับ ทิ้งให้เหนียงเหนียงอยู่ในจวน เหนียงเหนียงเพียงแค่หมดหนทางจะบอกท่านเท่านั้นเพคะ ส่วนที่ไม่กลับมาตั้งหลายวันเป็นเพราะ…”
“หุบปาก” เขาไม่เคยโมโหคนของนางมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
แล้วมองดอกไม้ขาวที่เสียบอยู่บนศีรษะนาง ทั่วร่างสวมชุดขาว คิ้วคมก็ยิ่งขมวดมุ่น “ข้าตายแล้วหรือไร” ลมหายใจหนักขึ้นอย่างอดไม่ได้
คิดมีไหวพริบ กตัญญู ชุดไว้ทุกข์สีขาวตลอดร่าง ยิ่งขับให้นางดูงดงามเพริศแพร้ว พิลาสโสภา เหมือนว่าจะผอมลงไปนิดหน่อย จึงยิ่งดูอ่อนแอ
แต่มิใช่อย่างนั้น ชูซย่าพึมพำ เมื่อครู่เหนียงเหนียงเพิ่งจะเป็นแม่หม้ายที่เสียสามีไป แสดงได้สมบทบาทไม่น้อย
บรรดาบ่าวไพร่เห็นองค์ชายสามมีโทสะก็ต่างพากันก้มหน้าเงียบกริบ ไม่กล้าส่งเสียง
อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะรีบกลับไปพักเร็วๆ จึงเดินเข้าไปหาสองสามก้าว ค้อมกายลง “เดิมทีว่าจะกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยไปพบท่าน…”
ร่างกายนางโงนไปเงนมา ภาพเบื้องหน้ามืดดับลง
ซย่าโหวซื่อถิงคิ้วกระตุก เข้าไปกอดเอวบางของนางเอาไว้ตามสัญชาตญาณ รู้สึกถึงมือน้อยๆ ของนางเย็นเฉียบ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากดูก็ร้อนจี๋จนน่าตกใจ พอมองนางอีกครั้ง ดวงตาก็ปิดสนิท ฟุบลงในอ้อมอกเขา ดึงคอเสื้อเขาไว้ หมดสติไปแล้ว
他脸色一变,胸腔内这些日子的愠怒全都消得一干二净,朝傻了的初夏等人一斥:“还不传应先生过来!”
สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน ความเดือดดาลในจิตใจของหลายวันมานี้ล้วนมลายหายไปสิ้น ตะคอกใส่ชูซย่าที่มึนงงอยู่กับคนอื่นๆ ว่า “ยังไม่ไปตามหมอมาอีก!”
ภายในเรือนหลักกลางราตรีดึกสงัด ชูซย่าเหน็บผ้าห่มเสร็จก็ไปทำตามที่หมออิงสั่ง ให้ฉิงเสวี่ยไปต้มยาที่โรงครัว ส่วนเจินจูจุดไฟเตาถ่านแล้วทำเตาอังเท้าให้อุ่นขึ้น อังไว้ในผ้าห่ม
หมออิงถูกชูซย่าพาออกมาด้านนอก เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนไพล่หลังอยู่ข้างหน้าต่างเนิ่นนาน จึงเข้าไปรับหน้า “องค์ชายสาม”
“เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นสงบนิ่ง ทว่าสายตากลับข่มความกังวลเอาไว้ไม่อยู่ “ร่างกายนางแข็งแรงดีมาโดยตลอด ป่วยได้ยาก เหตุใดยามนี้จึงจับไข้หนักถึงเพียงนี้” อย่างมากที่สุดก็โอดโอยปวดท้องทุกๆ เดือนอยู่ไม่กี่วันเท่านั้น
หมออิงขมวดคิ้วทูลว่า “เป็นอาการโดนลมจับไข้ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าระหว่างเดินทางคงต้องลมหนัก ซ้ำยังมิได้พักผ่อนให้ดี กระหม่อมสั่งยาลดไข้ให้แล้ว องค์ชายอย่างได้ทรงกังวล แต่ว่า…”
“พูดมา” เขาอดไม่ไหว
องค์ชายสามเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่ยามนี้กลับไร้ซึ่งความอดทน หมออิงจึงไม่อ้อมค้อม เอ่ยทูลไปตรงๆ ว่า “แต่ว่ากระหม่อมได้ยินเหนียงเหนียงไอออกมาสองสามครั้ง เสียงไอไม่ปกตินัก ชีพจรเต้นเร็วและอ่อนมาก เกรงว่าจะติดโรคปอดเข้าพ่ะย่ะค่ะ”
“โรคปอดรึ” เขาตกใจ
ชูซย่าสีหน้าซีดเผือด “โรคปอดรึ”
หมออิงสังเหตเห็นสีหน้านางจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เกิดอันใดขึ้นรึ”
ชูซย่าร้อนรน “คงจะไม่ได้ติดเชื้อมาใช่หรือไม่” แล้วเล่าเรื่องราวไม่กี่วันมานี้ที่อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้กลับมาให้ฟังตั้งแต่ต้นจบจบรอบหนึ่ง
หลายวันก่อนฝ่าบาทปลอมตัวไปไท่โจว คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะได้พบพระองค์เข้า…อีกทั้ง ฟังจากเนื้อความแล้ว เหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงประชวรเป็นโรคปอดที่ร้ายแรง
หมออิงสีหน้าแปรเปลี่ยน “โรคปอดติดต่อกันได้ หากได้สัมผัสคนไข้ในระยะใกล้จริงๆ แล้วมิได้กินยาป้องกัน ซ้ำยังจับไข้อีก ภูมิคุ้มกันต่ำ ถูกแพร่เชื้อก็มิใช่เรื่องแปลก” เห็นซย่าโหวซื่อถิงสีหน้าทะมึนดั่งหมอกครึ้มก็เอ่ยปลอบว่า “แต่ก็อาจจะไม่ได้ร้ายแรงเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้ต้องดูแลให้ดี อย่าได้ถูกลมหนาว หากอีกสองสามวันดีขึ้น ไม่ไออีกแล้ว ก็ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเอามองไม่ออกว่ากำลังคิดอันใดอยู่ เขาส่งเสียงอืมคำหนึ่งแล้วเดินไปยังห้องด้านใน
“องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ” หมออิงขวางไว้ “เกิดติดโรคปอดมาจริงๆ กระหม่อมว่าระยะนี้องค์ชายอย่าเพิ่ง…อย่าเพิ่งนอนร่วมห้องกับเหนียงเหนียงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาส่งเสียงอืมออกมาอีกรอบ แต่ก็ยังไม่หยุดฝีเท้า ยังคงเดินไปห้องด้านในต่อ
หมออิงจนปัญญา ดูท่าแล้ว ระยะนี้ท่านอ๋องต้องดูแลจัดการด้วยพระองค์เองแน่ เกรงว่าให้ใครทำก็คงไม่วางใจ เขาจึงต้องพาชูซย่าไปโรงครัวก่อน นอกจากจะต้มยาให้เหนียงเหนียงแล้ว ยังต้องเพิ่มยาป้องกันอีกชุดหนึ่งให้ท่านอ๋องด้วย
ราวกับร่างกายของอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าสู่ถ้ำน้ำแข็ง หนาวเหน็บไปยังปลายเท้า ในที่สุดร่างกายก็ถูกไฟโอบล้อมไว้ ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น
นางกางแขนทั้งสองข้างออก กอดเอวเขาไว้แน่น ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวเขาไว้ทั้งสองข้าง รัดไว้แน่นหนา แล้วขดตัวเป็นก้อนเข้าด้านใน แบบนี้สบายนัก
ท่ามกลางสติที่เลือนราง นางรู้สึกว่าเขาขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายร้อนระอุราวกับตนที่กำลังไข้ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นข้างหู “ยังหนาวหรือไม่”
ขนตานางขยับไหว ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกเขาดิ้นยุกยิกครู่หนึ่ง ใช้การกระทำมาบอกเขาแทนว่าให้เขากอดนางแน่นขึ้นอีก
เขาใช้ผ้าห่มพันห่มรอบตัวนางให้แน่น เอาศีรษะน้อยๆ ของนางซุกซบลงบนซอกคอ เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ดูซิว่าจะยังกล้าไปนู่นมานี่ตามอำเภอใจอีกหรือไม่” แล้วหยิบยาที่ต้มเสร็จแล้วบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา “กินยาก่อนค่อยนอน”
“ไม่กิน” นางไม่อยากขยับ เพราะท่าทางในตอนนี้สบายที่สุด
เขาเห็นนางงอแงก็ไม่ไปบังคับ จิบยาคำเล็กๆ คำหนึ่ง รังแกริมฝีปากนาง
“อื้อ…” ทันใดนั้นนางได้รับการจู่โจมจากเขาก็ครางเสียงเบา แต่ก็ถูกเขาบังคับให้อ้าปากออก สัมผัสถึงยาน้ำรสขมไหลเข้ามา รินรดเต็มช่องปาก หยดลงไปทีละน้อย
เขาป้อนยาเข้าไปในปากเล็กๆ กลิ่นจันทร์หอมของนางทีละนิด ช่วยนางกลืนมันลงไป จะได้ไม่สำลัก
นอกจากความขมฝาดของยาแล้วยังได้กลิ่นหอมของอำพันทะเลอันเข้มข้นจากตัวบุรุษ ผสมผสานเข้าด้วยกัน เป็นรสชาติอันหวานล้ำที่ยากจะอธิบาย ยาไม่ได้ดื่มยากเพียงนั้นแล้ว
“ท่านไม่กลัวจะถูกข้าแพร่เชื้อใส่หรือ” นางกลืนคำสุดท้ายลงไป มือเท้าอุ่นขึ้นมามากแล้ว แต่ก็ยังนอนอ่อนยวบอยู่บนอกเขา
เขาวางช้อนลงในถ้วย “แพร่ให้คนอื่นไป เจ้าก็จะหายแล้ว”
“เมื่อครู่ท่านมิได้โกรธอยู่หรือ” นางยู่ปาก
“แล้วเจ้าเล่า ยังโกรธหรือไม่” เขาเชยคางขาวราวกับหยกที่ผอมบางลงของนางขึ้นแล้ววางลงบนปลายนิ้วเขา
ครานี้นางไม่กลัวหนาวอีกแล้ว ยื่นแขนนวลออกมาจากผ้าห่ม ส่องไฟให้เขาดู “ตรงนี้…คือรอยที่วันนั้นท่านทำช้ำ”
ผิวนางละเอียดอ่อนเกินไป วันนั้นที่อยู่ในห้องบุปผาเขาเสียการควบคุมไป