ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 231 มือซ้ายมือขวา (1)
ผิวขาวเนียนดุจหิมะสะท้อนถึงร่องรอยที่เขาเหลือทิ้งไว้ เขาเจ็บปวดใจ แต่ลมหายใจกลับร้อนระอุอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาจรดริมฝีปากลงบนรอยบางที่แขนนาง ถูไถไปมา แล้วขยับเข้าไปใกล้ใบหูนาง ถูเนื้อหูของนางจนนางหัวเราะออกมาด้วยความจั๊กจี้จึงผลักเขาออก เขาวางแขนนางเข้าไปในผ้าห่ม ก้มหน้าลงชิดริมหูนาง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “แต่นี้ไปหากเจอเรื่องเข้า บุรุษทั้งใต้หล้า มาหาข้าได้แค่คนเดียว”
นางคล้องคอเขาไว้ ซุกซอกคอเขาส่งเสียงอู้อี้ออกมาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านต้องรับปากว่าจะไม่ทำเหมือนตอนที่อยู่ในห้องบุปผาอีก”
ปลายจมูกโด่งเป็นสันของเขาแดงขึ้น เรื่องนี้เขารับปากมิได้ เขากอดเอวน้อยๆ ของนางไว้เอ่ยอย่างคลุมเครือสองคำ
ภายใต้ลมหายใจที่เขากอดนางไว้แนบแน่น ขาของนางเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นขึ้น กกกอดกันอย่างอบอุ่น เข้าสู่นิทราไป
ปีศาจน้อยนางนี้ ปากไม่พูดอันใด แต่ใช้การกระทำมาลงโทษเขา…เขาสูดหายใจลึก ปล่อยให้นางเกี่ยวเอวเขาไว้ ระงับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง พยายามปรับลมหายใจให้คงที่
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกเขาป้อนยาไปสองครั้งตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นไข้จึงลดลง เป็นคราแรกที่ตื่นก่อนเขา กลับกัน เขาดูแลนางตลอดทั้งคืนจึงหลับลึก
หน้าตานางสะลึมสะลือ สัมผัสถึงแสงตะวันสอดลอดหน้าต่างเข้ามา สมองแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า นึกไม่ถึงว่าชูซย่าก็ไม่มาเรียกสักคำ แย่แล้ว เขาต้องพลาดเวลาว่าราชการแน่แล้ว นางรีบตบตัวเขา “ตื่นเร็วเจ้าค่ะ สายแล้ว!”
ลมหนาวโชยมา อวิ๋นหว่านชิ่นไอออกมาสองสามครั้ง แต่รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งดึงนางไว้
นางไม่ทันตั้งตัวจึงล้มคว่ำลงบนร่างของเขา ถูกเขาใช้ผ้าห่มผืนนุ่มคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแน่นขนัดไปหมด ไม่ให้มีลมเข้ามาแม้แต่น้อย
“ข้าให้เกาจ๋างสื่อไปลาหยุดให้แล้ว ระยะนี้จะไม่เข้าวัง ทำงานอยู่ที่จวนก็พอ” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยเสียงเบาข้างหูนาง
“เพื่ออยู่เป็นเพื่อนข้าหรือเจ้าคะ แค่จับไข้เล็กน้อยเท่านั้นเอง มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเสียหน่อย” นางหยัดกายขึ้นก็พลันตกใจ
บุรุษใต้ร่างปล่อยนางหมอบอยู่บนตัวเขาด้วยสีหน้าเสพสุข ปิดเปลือกตาลงอย่างเกียจคร้าน ขนตาแพยาวตกลง เหลือไว้เพียงเงาใต้ขนตา ยิ่งขับให้ใบหน้ายิ่งหล่อเหลามากขึ้น “ยุ่งมาตั้งหลายวัน เวลาพักสักวันก็ไม่มี ก็ควรจะเสพสุขให้หลายวันหน่อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นบีบจมูกเขาอย่างปรีดา “คนบ้างานเยี่ยงท่านรู้จักเสพสุขด้วยรึ”
คิ้วคมเข้มของเขาขมวด ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น พออารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยก็ก่อเรื่องอีกแล้ว เขาอังหน้าผากนาง ความร้อนหายไปแล้ว แต่ยังมีอาการไออยู่ จะชักช้ามิได้
เขามองพลางขมวดคิ้วมุ่น ลูบผมนุ่มของนาง ใช้ประโยชน์มาล่อลวงนางว่า “ระยะนี้เจ้าพักรักษาตัวให้ดี อย่าได้ออกจากห้อง อีกสองสามวันหากหายดีแล้ว อากาศอบอุ่นขึ้น ข้าจะพาเจ้ากับจิ่นจ้งไปล่องเรือในแม่น้ำ”
จะว่าไปแล้ว แต่งงานกันมานานเพียงนี้ ยังไม่เคยไปเที่ยวเล่นอย่างจริงๆ จังๆ กันเลย อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าการป่วยครานี้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป แต่ก็ใจกระตุกหมอบลงไปใหม่ “…ยังจะพาจิ่นจ้งไปด้วยหรือ”
“เจ้าไม่อยากให้เขาไปด้วยรึ นี่เป็นสิ่งที่ข้าหาได้ยากยิ่ง” เขาหยักยิ้ม
“เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าท่านจะจดจำเขาไว้ในใจ ดีต่อเขาเช่นนี้เท่านั้นเอง”
เขาอมยิ้ม “เขาเป็นน้องชายข้า ไม่ควรดีต่อเขาหรือไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นเกือบจะสำลักน้ำลาย “ขะ…เขาเป็นน้องท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน…”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางไอออกมาอีกจึงเหน็บผ้าห่มให้ดี “เขาเป็นน้องชายเจ้า แล้วจะมิใช่น้องชายภรรยาข้ารึ”
นางพรูลมออกมา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง นางสงบจิตสงบใจ ทันใดนั้นก็คล้องคอเขาเอาไว้ ตกอกตกใจแทบแย่
เขาตบมือนางเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด กินข้าวเช้าเสร็จ ย่อยอีกนิดหน่อย เดี๋ยวจะให้ชูซย่ามาเตือนเจ้าให้กินยา”
เมื่อคืนกินยาไปสองถ้วย จนถึงยามนี้ซอกฟันยังมีรสขมฝาดอยู่เลย กะเพราะก็หดเกร็งเป็นพักๆ อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะกินข้าวได้ลง “เช่นนั้นกินยาไปเลยได้หรือไม่ ข้าไม่อยากกินข้าว”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ต้องทำตามที่หมอสั่งสิ” เขาชินเสียแล้ว ยามทานยาจึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ แล้วเอ่ยเรียกคำหนึ่ง เจินจูขานรับจากด้านนอกว่า “เตรียมมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วเพคะ ยกเข้าไปได้ตลอดเวลาเลยเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากกินข้าว นางนั่งอยู่บนตักเขาพิงไว้ไม่ยอมลงมา
นั่งไปนั่งมากลับรู้สึกแปลกๆ ความแข็งราวกับหินสัมผัสถูกตน สีหน้านางแดงก่ำ กระจ่างแจ้งโดยพลัน เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าทุกๆ เช้าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
นางมองสีหน้าเขาที่กำลังข่มไว้สุดกำลัง จึงดันแขนทั้งสองข้าง รีบปืนลงมา
ทั้งคู่ลุกขึ้นล้างหน้าบ้วนปากผลัดผ้าเรียบร้อย เกาจ๋างสื่อก็เข้ามายังเรือนหลัก แจ้งราชกิจที่ฉีไหวเอินจัดการภายในวังสรุปมาเป็นฎีกา ส่งมาที่จวนตั้งแต่เช้าตรู่ วางลงในเรือนฮั่นม่อ
ซย่าโหวซื่อถิงมองคนบนเตียงแวบหนึ่งแล้วสั่งเจินจูว่า “พวกเจ้าดูแลพระชายาให้ทานข้าวเช้าด้วย”
“ท่านอ๋องทรงงานเถิดเพคะ เหนียงเหนียงมีพวกเราดูแลอยู่” เจินจูกับฉิงเสวี่ยเอ่ยอยู่หน้าประตู
จนกระทั่งเขาออกไปแล้ว ทั้งสองจึงได้ยกอาหารเช้ามาหน้าเตียง อวิ๋นหว่านชิ่นคีบเนื้อสับเข้าปาก ขมวดคิ้วขึ้น แล้วบ้วนออกมาใส่ในจานเล็ก
ชูซย่ารีบส่งผ้าให้ทันที
ยารุนแรงเกินไป กัดกะเพราะจนไร้น้ำมัน พอเห็นของมันเยิ้มจึงคลื่นเหียน อวิ๋นหว่านชิ่นผลักจานเล็กนั้นออกไป
เจินจูกับฉิงเสวี่ยมองหน้ากัน “เราให้ห้องเครื่องทำอาหารรสจืดมาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นทั้งสองร้อนรนจึงจำต้องพยักหน้า เพียงไม่นาน ฉิงเสวี่ยก็ยกโจ๊กไก่ฝอยใส่หอยเข้ามา แต่เห็นพระชายาบีบจมูกกินไปสองคำ พอถึงคำที่สามก็แทบจะอาเจียนน้ำย่อยออกมาแล้ว
“พอแล้ว ไม่ต้องทานแล้วเจ้าค่ะ พักผ่อนเถิด” ชูซย่าสงสาร ให้อีกสองคนยกถ้วยจานออกไป
“ไม่กินได้อย่างไร ท่านอ๋องตรัสแล้วว่าระยะนี้อย่าได้ละเลยเรื่องกินเรื่องสวมใส่ อย่าให้โรคเรื้อรัง เกิดติดเชื้อโรคปอดเข้าจริงๆ จะแย่เอานะ” เจินจูร้อนใจ “เช่นนั้นบ่าวไปทำบะหมี่น้ำใสมาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ…”
ฉิงเสวี่ยลากนางไว้ ส่งสายตาไปให้ “พูดเหลวไหลอันใดกัน!” นางดึงอีกฝ่ายออกมาก่อน
ความจริงแล้วอวิ๋นหว่นชิ่นก็คาดเดาได้บ้าง เขายกเลิกราชกิจไป อยู่เป็นเพื่อนนางรักษาตัว ต้องมิใช่ไข้หวัดธรรมดาแน่ ทว่า นางเชื่อมั่นในภูมิคุ้มกันของตัวเอง ตลอดชีวิตนี้บำรุงรักษาร่างกายอย่างดี ไม่ถูกใครทำลายร่างกายเอา จึงนับว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ต้องผ่านมันไปได้แน่
แม้ว่าหนิงซีฮ่องเต้จะทรงเป็นโรคปอด แต่นางก็รู้ ต่อให้เป็นวัณโรคที่น่ากลัวที่สุด พอถึงระยะหนึ่ง นอกจากน้ำลายแล้ว อย่างอื่นก็ยากที่จะมีแพร่เชื้อได้
แต่โรคปอดของหนิงซีฮ่องเต้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นระยะสุดท้ายแล้ว
นางไม่กังวลในจุดนี้ แต่ยามนี้คนผู้นั้นกังวล จึงต้องจำใจสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม พักผ่อนเสียก่อน
ชูซย่าพยุงอิ๋นหว่านชิ่นให้นอนลง นางนั่งอยู่เป็นเพื่อนตรงข้างเตียงก่อน
เพิ่งจะห่มผ้าเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอ่ยถามว่า “ชูซย่า ท่านอ๋องทราบเรื่องที่ข้าไปพบฝ่าบาทที่ไท่โจวแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ เมื่อวานตอนที่ท่านสลบไป ข้ากลัวว่าท่าน…ท่านจะติดเชื้อจากฝ่าบาทมา จึงต้องบอกหมออิงไป แม้จะบอกว่าท่านพบกับฝ่าบาท ก็คงต้องบอกเหตุผลที่ฝ่าบาททรงไปไท่โจวแล้วล่ะเจ้าค่ะ ท่านจะเอาผิดบ่าวหรือไม่เจ้าคะ” ชูซย่าสีหน้าเป็นกังวล
เรื่องที่สุสาน หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นออกมา ก็ได้เล่าให้ชูซย่าฟัง เหลือเพียงเรื่องฐานันดรของจิ่นจ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่มิได้บอกนาง
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจชูซย่า แต่เรื่องนี้กระทั่งท่านแม่ยังไม่อยากจะแพร่งพราย นางจึงคิดจะทำตามเจตนารมณ์ของท่าน ปิดบังเอาไว้ชั่วชีวิต
หากเป็นไปได้ นางอยากให้เรื่องนี้ไม่ถูกเปิดเผยออกมาตราบนานเท่านาน