ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 231 มือซ้ายมือขวา (3)
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “เรื่องเด็กๆ เช่นนี้ เขาคิดได้อย่างไรกัน”
“นั่นน่ะสิ!” เยี่ยนอ๋องสะบัดแขนเสื้อตะคอกขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ไม่สนความรู้สึกข้าก็แล้วไปเถิด นี่กระทั่งหน้าเขาเองยังไม่สนแล้ว! พระราชโองการไม่อาจฝ่าฝืนได้ ไม้กลายเป็นเรือขนาดนี้แล้ว เขาก็จำต้องใช้วิธีเห็นแก่ตัวเช่นนี้แล้ว” หากพี่สะใภ้มิได้อยู่ด้วย เยี่ยนอ๋องได้ถุยน้ำลายออกมาแน่
ชูซย่าส่งเสียงจิ๊ปากออกมาสองคำ พระทัยท่านอ๋องนี่ ไม่รู้ว่ากว้างเกินไปหรือแคบเกินไปกันแน่ เหนียงเหนียงแค่พบไท่จื่อเท่านั้น พระพักตร์ก็อึมครึมเหมือนจะมีลูกเห็บตกแล้ว ยามนี้แทบจะกลายเป็นชายที่ถูกสวมเขาเข้าไปแล้วยังไม่สนใจแม้แต่น้อย
“หมวกเขียวใบนี้ขององค์ชายสาม จะให้เจ้าสวมให้เขา[1] ก็นับว่าเขาให้ความสำคัญต่อเจ้ามากทีเดียว” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างจริงจัง
เยี่ยนอ๋องบื้อใบ้พูดอันใดไม่ออก เขาลุกขึ้นยืน “อย่างไรเสียต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แม่นางหันไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า! เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน! พี่สะใภ้สามพักผ่อนก่อนเถิด พี่สามกำหนดเวลาไว้แล้ว บอกว่าอย่างมากที่สุดให้มาเยี่ยมท่านได้ครึ่งเค่อ หากเลยเวลาไปก็จะตัดขาข้าทิ้ง ข้าต้องขอตัวแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ยว่า “ชูซย่าส่งแขก”
หลายวันผ่านไป ภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างมากของคนในจวน อาการไอของอวิ๋นหว่านชิ่นจึงทุเลาลงแล้ว มีหมออิงมาจับชีพจรให้
ชีพจรมั่นคง เสียงหัวใจก็ไม่มีเสียงใดแทรกซ้อน แสดงว่ามิได้ติดโรคปอดมา เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น
หลังจากตรวจอาการเสร็จ ทุกคนจึงได้ถอนหายใจออกมายกใหญ่
ซย่าโหวซื่อถิงก็ไม่คืนคำ สัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ เขาเลือกวันที่อากาศอบอุ่นพาอวิ๋นหว่านชิ่นและน้องชายไปล่องเรือในทะเลสาบชานเมืองหลวง วันรุ่งขึ้นก็ไปเดินเล่นชมธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิ และวันต่อมาก็ไปตลาดที่คึกคักกอดของเล่นกลับมาหอบใหญ่
แม้ว่าวันคืนอันแสนสุขจะพ้นผ่านไปไว แต่ในขณะที่เวลาผ่านไปไวนั้นก็ได้ใกล้วันที่แม่นางสกุลหันจะเข้าจวนมาเรื่อยๆ แล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยิ่งเป็นห่วงหงเยียนว่าวันคืนในการสำเร็จโทษใกล้เข้ามาทุกที
หลังจากหายป่วย วันนี้อวิ๋นหว่านชินเข้าวังไปถวายพระพรแก่พระสนมเอกเฮ่อเหลียน
ในวันนั้น พระสนมเอกรับแขกด้วยความอัธยาศัยดีอย่างหาได้ยาก ไม่เหมือนสองครั้งก่อนที่แฝงความเรื่องมากเอาไว้ในคำพูด เวลาพอสมควรแล้วจึงเอ่ยว่า “อีกไม่กี่วันแม่นางสกุลหันก็จะเข้าจวนมาแล้ว ร่างกายเจ้าเพิ่งจะหายดี ไม่ว่าจะเป็นทางด้านซื่อถิง หรือเรื่องราวภายจวน ไม่ต้องฝืนทำหรอก รอให้หายดีก่อนค่อยว่ากัน มีคนมาแบ่งเบาภาระแล้ว เจ้าไม่ต้องลำบากอยู่คนเดียวแล้ว”
มิน่าเล่าวันนี้ท่าทางจึงอ่อนโยนนัก ที่แท้ก็มาเกริ่นกับนางเอาไว้ก่อน กลัวว่านางจะได้รับความโปรดปรานอยู่คนเดียวนี่เอง
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “องค์ชายสามพักผ่อนอยู่หลายวัน งานราชกิจจึงกองอยู่มากมาย สองวันมานี้เอาแต่ขลุกทำงานอยู่ในเรือนฉินเจิ้งของวังหลวง กลับจวนน้อยครั้งนัก หากแม่นางสกุลหันสามารถทำให้เขากลับจวนได้บ่อยขึ้น หม่อมฉันก็ดีใจเพคะ”
เด็กคนนี้ ชอบพูดจาที่ทำให้นางเอ่ยคำที่ติดอยู่ในปากต่อไม่ได้ แต่ก็หาจุดผิดไม่ได้เลยเช่นกัน พระสนมเอกพลันหมดอารมณ์ จากท่าทางที่ซื่อถิงมีต่อนางยามนี้ นางจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้แม่สามีเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าต่อให้หันเซียงเซียงเข้าจวนไปแล้วก็คงเป็นของที่ถูกปล่อยปละละเลยจนฝุ่นเกาะแน่
ในฐานะแม่สามี จะให้ลูกสะใภ้ได้เปรียบได้อย่างไร พระสนมเอกตอบไปว่า “เจ้าวางใจเถิด อาการบาดเจ็บของไท่จื่อใกล้จะหายดีแล้ว ได้ยินว่าฝ่าบาททรงให้เหยากงกงไปเกริ่นกับซื่อถิงว่าให้เขาค่อยๆ ส่งต่อราชกิจของผู้สำเร็จราชการแทนไปให้ไท่จื่อ รอส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ลดงานเขาลง ให้มาอยู่กับพวกเจ้า เนื่องด้วยเจ้ากับซื่อถิงเพิ่งจะแต่งกันได้ไม่นาน ซ้ำยังเพิ่งจะรับสนมเข้ามาอีก”
ไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือไม่ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าพระสนมเอกดูกีดกันงานสำเร็จราชการแทนพระองค์ขององค์ชายสามอยู่ไม่น้อย จนถึงขนาด…ไม่อยากให้เขามีอำนาจเพิ่มมากขึ้น อยากให้เขาเป็นเพียงองค์ชายว่างงานที่สุขสบายก็พอ
ในฐานะพระมารดาขององค์ชาย ใครจะไม่อยากให้โอรสของตนกลายเป็นมังกรที่ยิ่งไต่ขึ้นไปก็ยิ่งสูงส่งบ้าง จุดนี้ พระสนมเอกทรงแปลกประหลาดนัก
หากเป็นเมื่อก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นอาจจะคิดว่าพระสนมเอกขี้ขลาดเจียมตัว ไม่อยากให้โอรสเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร ยอมอยู่อย่างสงบสุขดีกว่า
ทว่ายามนี้นางรู้ดีว่าธาตุแท้ของพระสนมเอกมิใช่คนดีอันใด เช่นนั้นแล้ว ถ่วงแข้งถ่วงขาขององค์ชายสามเช่นนี้ กลับไม่ค่อยมีเหตุมีผลอยู่บ้าง
หากแต่ ฝ่าบาททรงต้องการริบอำนาจอุปราชขององค์ชายสามคืนรึ หลายวันนี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการไปเที่ยวเป็นเพื่อนนางกับจิ่นจ้ง ใบหน้าแจ่มใส ดูไม่ออกถึงสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ทรงไม่เกรงอกเกรงใจอันใดต่อเขาเลยจริงๆ ใช้เสร็จก็ทิ้งขว้าง
สายเลือดของชาวแดนเหนืออีกครึ่งหนึ่ง กลายเป็นภูผาใหญ่ที่เขาผ่านมันไปมิได้โดยแท้
อวิ๋นหว่านชิ่นออกจากตำหนักชุ่ยหมิงมาก็เห็นคนเดินเข้ามาหาจากด้านหน้า “พระชายาฉินอ๋องเข้าวังมาหรือ”
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหยาฝูโซ่ว
นางเดินเข้าไปคำนับ ได้ยินเสียงเขาเอ่ยเสียงเบาว่า “คราก่อนพระชายามีคุณูปการช่วยเหลือไว้ที่ไท่โจว ฝ่าบาทให้บ่าวเตรียมของกำนัลจากพระคลังหลวงไว้จำนวนหนึ่ง ในเมื่อพระชายาเข้าวังมาแล้วก็เอากลับจวนไปด้วยเลยเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ไม่กล้ารับของกำนัลไว้หรอกเจ้าค่ะ ขอเพียงได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทสักครั้ง พูดคุยไม่กี่คำ ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
เหยาฝูโซ่วแปลกใจเล็กน้อย ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง กระซิบขันทีน้อยข้างกายคำหนึ่งให้เขาล่วงหน้าไปกราบทูล แล้วเอ่ยว่า “พระชายาฉินอ๋อง เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ถึงเค่อดีทั้งคู่ก็มาถึงพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไม่เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ที่มีม่านกั้นไว้ แต่ได้ยินเสียงลมหายใจของฮ่องเต้เต็มอิ่มกว่าครั้งนั้นที่ไท่โจวมากนัก น่าจะเป็นเพราะว่าหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงก็ได้บำรุงรักษาจนเพียงพอ
“นึกว่าเรื่องที่ไท่โจวครานั้น เจ้าจะไม่มาพบเราอีกแล้วเสียอีก” สุรเสียงของบุรุษดังขึ้นจากหลังม่าน “วันนี้มาหาเราเอง มีธุระอันใดก็พูดมาเถิด”
“นับว่าเป็นธุระแต่ก็ไม่เรียกได้ว่าธุระเพคะ หากฝ่าบาททรงรับฟังได้ก็จะเป็นธุระ แต่หากทรงรับฟังมิได้ ก็คิดเสียว่าหม่อมฉันมาเยี่ยมพระองค์แล้วเอ่ยเรื่องสัพเพเหระก็แล้วกันเพคะ อย่าทรงถือสาหม่อมฉันเลย”
หนิงซีฮ่องเต้ฟังจนสั่นไหว ทรงทอดถถอนใจออกมา “หากมารดาเจ้ารู้จักพลิกแพลงปราดเปรียวได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า บางทีอาจจะไม่ถึงขั้นมุดเขาโค[2]เช่นนี้ เจ้าว่ามาเถิด เราไม่เอาโทษเจ้า”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าหมู่นี้ฝ่าบาททรงให้ฉินอ๋องส่งมอบราชกิจของอุปราช ถอนตัวออกจากการจัดการราชกิจแล้ว” นางหลุบตาลง
เหยาฝูโซ่วรีบเอ่ยขึ้นว่า “พระชายา แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงถือโทษ แต่ก็ไม่ควรพูดถึงเรื่องในราชสำนักให้มากนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก สนใจก็แค่เรื่องในครอบครัวเท่านั้นเอง”
“เรื่องครอบครัวที่ดีเสียด้วย” หนิงซีฮ่องเต้ให้นางพูดต่อ
“เหมิงหนูเป็นเสี้ยนหนามที่ตำหลังต้าเซวียน รัชทายาทของต้าเสวียนเป็นมือซ้ายมือขวาของฝ่าบาท มือซ้ายไม่ค่อยได้ใช้เท่ามือขวา แต่สนิทชิดเชื้อกว่าเสี้ยนหนามบนหลังนัก เสี้ยนหนามต้องถอนออก มือขวากลับไม่อาจถอนออกได้ เช่นนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทจะต้องแบ่งมือซ้ายมือขวาด้วยเล่าเพคะ”
เหยาฝูโซ่วสูดหายใจลึก มือขวาคือองค์ชายที่เกิดมาพร้อมความได้เปรียบและได้รับความโปรดปรานเหล่านั้น ส่วนมือซ้ายย่อมหมายถึงฉินอ๋อง พระชายาฉินอ๋องกำลังทัดทานให้ฝ่าบาทอย่าได้ทรงลำเอียง ให้เลือกผู้ที่มีความสามารถ อย่าสนใจในชาติกำเนิด ให้สนใจในความสามารถ
หนิงซีฮ่องเต้เงียบงันไปพักใหญ่ ไอหนักออกมาหลายครั้ง “เราเหนื่อยแล้ว ออกไปเถิด”
เหยาฝูโซ่วรีบดึงอวิ๋นหว่านชิ่น “วันนี้พอแค่นี้ กลับไปเสียเถิดพระชายาฉินอ๋อง”
ราชกิจอันสูงส่งของพระองค์ไม่สั่นคลอนเลย เพราะนางเองเป็นลูกสาวของสวี่ชิงเหยา พระองค์อาจจะทรงปกป้องและเข้าข้างได้ แต่ในเรื่องที่ถูกต้อง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยคิดว่าพระองค์จะโอนอ่อนผ่อนตามนางแม้แต่น้อย ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะสามารถโน้มน้าวเจตนาของพระองค์ได้เพียงแค่ไม่กี่ประโยค นางหันหลังเดินออกมาพร้อมเหยาฝูโซ่ว
ใกล้จะถึงวันที่จะรับสนมเข้ามาทุกที กองกิจการภายในกับตระกูลหันทยอยย้ายสินเดิมเข้าจวนมา
ตกแต่งตามราชพิธีการรับสนม เหล่าบ่าวไพร่ใช้เรือนถังจูของลานด้านตะวันตกเฉียงเหนือมาเป็นที่พำนักของสนม เพราะงานไว้ทุกข์ของแคว้นเพิ่งจะหมดไป การแต่งงานจึงไม่ใหญ่โตเอิกเกริกและธรรมดาสามัญมาก อีกทั้งบ่าวไพร่ในจวนต่างลำเอียงเข้าข้างพระชายากันหมด จึงเป็นปรปักษ์ต่อสนมอยู่บ้าง หลังจากเหนียงเหนียงหายป่วย ระยะนี้องค์ชายสามก็ทรงงานอยู่ในวัง ไม่ได้กลับจวนมา ไหนเลยจะเหมือนคนยินดีปรีดาที่ต้องการจะรับสนม ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงยิ่งจัดการเรื่องราวกันอย่างลวกๆ ลานบ้านและทางเดินของพระสนมตกแต่งได้แทบจะมัวสลัว บ่าวไพร่ที่ถูกส่งไปปรนนิบัติรับใช้พระสนมในอนาคตก็พยายามเลือกที่ไม่ดีไป ไม่มีใครตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ
——————————-
[1] สวมหมวกเขียว ผู้ชายที่ภรรยามีชู้หรือนอกใจ
[2] มุดเขาโค เสียเวลา ดื้อดึง ทำเรื่องที่สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์