ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 232 เร่งให้เข้าหอ (2)
อยากจะพบเหนียงเหนียงรึ ได้! สนมอย่างพวกเจ้าทั้งสองก็ไปพบเหนียงเหนียงที่โถงหลักเองก็แล้วกัน!
ชูซย่ากับบ่าวไพร่ของจวนถือโคมไฟนำทาง ทั้งหมดเดินอ้อมเรือนหลายหลังเข้ามายังห้องโถงหลักที่จัดงานเลี้ยง
สตรีที่นั่งยังตำแหน่งหลักสวมชุดคลุมไหล่กันลมราตรีที่ทำจากผ้าไหมสีแดงปักมุก ผมงามม้วนเป็นทรงเหิรโพยมไว้ด้านข้าง นอกจากไข่มุกโบตั๋นสีแดงที่ส่ายไปมาก็ไร้ซึ่งเครื่องประดับอื่นอีก นางกำลังปิดฝาชา รอคอยอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใต้เสื้อคลุมไหล่เผยให้เห็นรองเท้าไหมสีแดงปักไข่มุกลายหงส์คู่หนึ่ง โค้งงอเล็กน้อย มุมทั้งสองข้างกระดกขึ้น ดวงหน้ามีเสน่ห์ทำคนใจเต้น
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้างดงามยิ่ง ภายใต้แสงไฟในห้องโถง ขับให้นางโสภาเพริศแพร้วมากนัก แก้มอมชมพูไร้ซึ่งเครื่องสำอางค์แต่งแต้ม
นอกจากวันมงคลและเทศกาลแล้ว น้อยครั้งที่อวิ๋นหว่านชิ่นจะสวมใส่สีแดงเข้ม ยามนี้อาภรณ์ฉูดฉาด ทำเอาคนละสายตาไปไหนมิได้
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนกับหันเซียงเซียงต่างชะงักค้าง ฝีเท้าหยุดลงพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
สีแดงสดตลอดทั้งร่างเช่นนี้ มีเพียงสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่จะใส่ได้ ต่อให้พระสนมเอกจะเป็นสนมเอกในวังหลวง ต่อให้วันนี้นางรับราชโองการมายังจวนเพื่อร่วมงานมงคล ไม่ว่าตลอดทั้งร่างนางจะแวววาวสดใส แต่งหน้าประดับทองอย่างไร ก็ไม่อาจเทียบสีแดงสดดั่งเพลิงได้เลย
ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเป็นสะใภ้ใหญ่ที่เข้าประตูหลัก ไร้ซึ่งเหตุและผล คนอื่นๆ จึงด้อยลง
มีเพียงสตรีนางนี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหลัก จึงสามารถสวมและประดับสีแดงสีชาดได้อย่างผ่าเผยและเป็นธรรมชาติ
หันเซียงเซียงสายตาเป็นประกาย สะท้อนใจอยู่ไม่น้อย แม้จะบอกว่าไม่สนใจตำแหน่งใดทั้งนั้นขอแค่ได้แต่งให้ฉินอ๋อง แต่สตรีใดบ้างที่จะไม่อยากเป็นภรรยาหลวง
ยามนี้ มองหญิงงามเบื้องหน้าสวมสีแดงชาดตลอดร่าง ไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกับตนตลอดกาล นางก็ขมขื่นขึ้นมาในใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นครั้งแรกที่ตัวเองคิดสงสัยว่าแต่งเข้ามาจวนฉินอ๋องนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่
พระสนมเอกก็ยากจะระงับอารมณ์ไว้ได้เช่นกัน ประเมินนางต่ำไป คืนนี้ตั้งแต่เหยียบเข้าจวนฉินอ๋องมา เกรงว่าก็ได้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว…ยังไม่ทันจะได้พบหน้าก็ถูกนางข่มอำนาจเอาเสียแล้ว
กำลังครุ่นคิดอยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลุกขึ้น ถวายคำนับแก่พระสนมเอก “เสด็จแม่มาเยือนที่จวน เหตุใดไม่แจ้งล่วงหน้าสักคำก่อนเพคะ ไม่ได้ตระเตรียมอันใดไว้เลย หากท่านอ๋องกับคนนอกรู้เข้า จะว่าหม่อมฉันต้อนรับไม่ดีได้นะเพคะ” แล้วให้คนรับใช้เชิญพระสนมเอกนั่ง ยกชายกขนมมาถวาย
ประโยคเดียวปัดความความผิดของตนได้อย่างหมดจด เอามาลงที่นางที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อน คิ้วงามของพระสนมเอกกระตุก นั่งได้ไม่นานก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนข้ามา ไม่เห็นแม้แต่เงาซื่อถิงที่หน้าลานบ้าน เจ้าของบ้านราชกิจติดพัน แต่ชิ่นเอ๋อร์ที่เป็นพระชายาก็น่าจะส่งคนไปบอกเสียหน่อย เชิญให้เขากลับจวนมา”
เสียงไม่ดังไม่เบา ทว่าน้ำเสียงกลับแข็งกระด้าง
เพิ่งจะอ้าปาก ประโยคแรกก็เริ่มตำหนิเลย ชูซย่าขมวดคิ้วมุ่ย แต่เห็นริมฝีปากแดงของอวิ๋นหว่านชิ่นกลับหยักยกขึ้น “หม่อมฉันไม่กล้าไปเร่งหรอกเพคะ”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนยิ้มเย็นเอ่ยว่า “วันนี้เป็นวันมงคลของท่านอ๋อง เขาไม่กลับมา เจ้าที่เป็นพระชายาไปเชิญเสด็จมานั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ที่รับผิดชอบ มีอันใดให้ไม่กล้ากัน ใครจะมาโทษเจ้าได้ ไม่กล้าจริงๆ หรือจงใจกันแน่” คำว่าจงใจนั้นเน้นเสียงหนักโดยเฉพาะ พร้อมกับมือเรียวที่ตบลงบนโต๊ะ แหวนมรกตก็กระทบไปด้วยจนเกิดเสียงใสดังขึ้น กระทั่งหันเซียงเซียงที่อยู่ข้างกายยังตกอกตกใจ แต่ก็เห็นสีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นดูตื่นตกใจ เชิดหน้างามขึ้น “เสด็จแม่คงทราบดีว่าท่านอ๋องกำลังยุ่งอันใดอยู่กระมัง”
พระสนมเอกเห็นนางยังคงหาเหตุผลอยู่ก็เดือดดาลกว่าเดิม “ไม่ว่าจะยุ่งเรื่องใด แค่งานแต่งงานก็โยนทิ้งไม่สนใจได้หรือ แม้ว่าข้าจะเป็นสตรีฝ่ายใน ไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แต่ก็ทราบว่ายามนี้ต้าเซวียนยังคงร่มเย็นเป็นสุข ยังไม่ถึงขั้นยุ่งจนขนาดวันรับตัวสนมก็ไม่กลับจวน! เจ้าไม่เต็มใจไปเชิญเขาก็ไม่ต้องมาหาข้ออ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเผยสีหน้าแปลกประหลาด “เสด็จแม่ไม่ต้องทรงทราบเรื่องการเมืองก็ได้ รัชทายาทแห่งเหมิงหนูเฮ่อเหลียนอวิ่นจะเสด็จมาเยือนเยี่ยจิง เสด็จแม่น่าจะเคยได้ยินมาบ้างกระมัง”
พระสนมเอกสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครู่ต่อมาจึงตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แล้วอย่างไร”
“แม้องค์ชายสามกับเสด็จแม่เป็นชาวต้าเซวียนมาตั้งนานแล้ว แต่ในสายเลือดนั้นยังเกี่ยวข้องกับชาวเป่ยเหรินอยู่ มักจะมีคนบางกลุ่มระแวงสงสัย เรื่องที่เฮ่อเหลียนอวิ่นมาเมืองหลวง องค์ชายสามจัดการได้เหมาะสม เป็นเรื่องที่สมควรกระทำ จัดการได้ไม่ดี เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความผิดมหันต์ขึ้นมาแล้วเกิดเจอเข้ากับคนในราชสำนักที่ไม่ชอบพระองค์ ใช้โอกาสนี้วางแผนใส่ร้ายป้ายสีว่าพระองค์สนิทสนมกับชาวเป่ยเหริน ทำให้แคว้นเสียเกียรติและศักดิ์ศรีอะไรทำนองนั้น ก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่! เสด็จแม่คิดว่าท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ องค์ชายสามทรงเอาใจใส่ต้อนรับการเสด็จมาเยือนของเฮ่อเหลียนอวิ่น จัดการทั้งนอกทั้งในไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ ยุ่งจนกระทั่งวันมงคลยังกลับจวนมิได้ แล้วจะเป็นอันใด และหากเสด็จแม่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตหรือกระทั่งชีวิตขององค์ชายสามและเสด็จแม่ หม่อมฉันก็จะกล้าไปรบกวนพระองค์ตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ”
ประโยคนี้เป็นจุดอ่อนของพระสนมเอก แต่ละถ้อยแต่ละคำฟังแล้วเหงื่อเย็นต่างผุดซึมออกมา แม้จะรู้ว่าคำพูดนางจงใจพูดให้เกินจริง เห็นได้ชัดว่าข่มขู่ให้ตนตกใจ แต่คิดให้ละเอียดแล้ว กลับไม่อาจประมาทได้จริงๆ
ราชกิจเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของนางสองคนแม่ลูก สำคัญจริงๆ นั่นแหละ ไม่อาจประมาทได้ รับสนมเข้าจวนเทียบกับเรื่องนี้แล้วนับเป็นอันใดได้
กระทั่งจางเต๋อไห่ยังฟังจนสูดหายใจเข้าลึก “พระชายาฉินอ๋องตรัสไม่ผิดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกถลึงตามองจางเต๋อไห่ จิบชาร้อนไปหลายอึก ข่มใจที่กำลังเต้นแรงเอาไว้ เอ่ยว่า “แต่ในระหว่างงานเลี้ยงไร้เจ้าภาพมารับแขกไม่ได้ ในเมื่อชิ่นเอ๋อร์เป็นถึงนายหญิงของจวนก็ไม่อาจไม่สนใจใยดีได้”
พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริง ยังตกใจไม่พอใช่หรือไม่ ชูซย่าเอ่ยแทนนายหญิงตนว่า “พระสนมเอกวางพระทัยได้เพคะ เหนียงเหนียงให้เกาจ๋างสื่อพาพ่อบ้านอาวุโสทั้งหลายมารับแขกแล้ว ทั้งยังเชิญเยี่ยนอ๋องให้มาดูแลในงานเลี้ยงด้วย” แล้วปรายตามองหันเซียงเซียง “นี่ก็นับว่าพอต่อการไว้หน้าพระสนมแล้ว”
หันเซียงเซียงก้มหน้าหลบลง
พระสนมเอกเคยเลี้ยงเยี่ยนอ๋องมาก่อน ซ้ำยังมีความรู้สึกที่ดีต่อเยี่ยนอ๋องอยู่บ้าง และทราบว่าโอรสสนิทกับเยี่ยนอ๋อง ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอันใดต่ออีก ตรัสแค่ว่า “เรือนถังจูของพระสนม ข้าเพิ่งจะไปมา ทั้งเงียบวังเวงทั้งเปลี่ยว เปิดกว้างรับลมเต็มๆ ซ้ำยังไกลจากห้องซื่อถิงอีก บ่าวไพร่ที่ให้ไปรับใช้ก็เชื่องช้าเงอะงะกันหมด ไม่แก่หงำเหงือกก็เป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อย่าพูดถึงเรื่องวิ่งไปทำธุระเลย พูดคุยยังจะไม่คล่องแคล่ว ชิ่นเอ๋อร์จัดการด้านนี้ได้เลินเล่อนัก”
พระสนมเอกออกจากวังหลวงมา อันที่จริงก็ทรงทราบดี เกรงว่าคนรับใช้ในจวนจะต้อนรับได้ไม่ดี!
เจ้าสามคงไม่เคยสนใจเรือนของสนมในจวนและไม่เคยจัดการคนรับใช้ไปยังเรือนสนมมาก่อนเลยแน่ๆ อีกทั้งราชกิจก็ล้นมือ เกรงว่าจะไม่ได้คิดเรื่องรับสนมเลยมากกว่า! บ่าวไพร่ในจวนเหมือนกับในวังหลวงต่างยกย่องผู้เหนือกว่า เหยียบย่ำผู้น้อย เห็นนายตนไม่สนอกสนใจ พวกตนจะสนใจไปทำไม
แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ควรไม่สนใจเช่นนี้สิ!
นี่มันหาข้อตำหนิติเตียนคนทั้งที่ไม่มีอันใดให้ตำหนิชัดๆ เหมือนหาเข็มในก้นบ่อน้ำลึกก็ต้องหาข้อบกพร่องออกมาให้ได้ ชูซย่าหัวเราะหยันเบาๆ นับว่าเหนียงเหนียงได้คาดคะเนไว้ล่วงหน้า พระสนมเอกจะได้ไม่มาบ่นนู่นบ่นนี่ จึงสั่งคนรับใช้ไว้ล่วงหน้าว่าอย่าเพิกเฉยเกินไป ให้ตกแต่งเรือนถังจูด้วย หากไม่ไปควบคุม ให้คนรับใช้ตกแต่งกันเอง วันนี้พระสนมเอกมาเห็นจะยิ่งมีข้ออ้างมาตำหนิเอาอีก
ชูซย่าค้อมกายคำนับ เอ่ยอย่างมีระเบียบแบบแผนว่า “เรือนตะวันตกเฉียงเหนือของจวนฉินอ๋อง เดิมทีมีไว้เพื่อให้เหล่าสนมอยู่แล้วเพคะ เหนียงเหนียงจัดการทำตามกฎเกณฑ์การแบ่งห้องในจวนทั้งหมด เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านอ๋องไม่มีนิสัยเลี้ยงสนมเอาไว้ ที่นั่นจึงว่างไว้โดยตลอด เหมือนกับที่รกร้าง บ่าวไพร่ก็น้อยนักที่จะไปจัดการ หลายปีเข้าจึงดูเงียบวังเวงเป็นธรรมดา อีกทั้งช่วงไว้ทุกข์เพิ่งจะพ้นไป ให้ตีกลองกู่ร้องเฉลิมฉลองก็คงไม่เหมาะนัก การตกแต่งย่อมเรียบง่ายเช่นนี้ ดังนั้น พระสนมเอกจึงได้รู้สึกว่าพอเข้ามาก็เงียบเหงาไม่เอิกเกริก ทว่าไม่เป็นไรเพคะ พอพระสนมหันอยู่ไปนานวันเข้า บางทีอาจจะทำให้เรือนหลังนั้นอบอุ่นขึ้นมา ขับให้ดูไม่อ้างว้างก็ได้”