ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 236 เข้มข้นเสียจนจากกันไปมิได้
ในขณะนั้นเอง หมออิงก็เดินเข้ามาประสานมืออยู่ด้านนอก “องค์ชายสาม”
ซย่าโหวซื่อถิงมองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง บอกใบ้ท่าทางไปยังทางม่านมุ้ง “ว่ามาเถิด”
“ตอนเช้ากระหม่อมไปห้องขังเพื่อจับชีพจรให้แก่แม่นางหงเยียน แม่นางหงเยียนมีสัญญาณการตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
หงเยียนตั้งครรภ์รึ
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงงัน ได้ยินเพียงเสียงหมออิงเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมแจ้งสถานการณ์ของนางให้แก่พัศดีทราบ คาดว่าพัศดีน่าจะแจ้งไปยังขุนนางของกรมยุติธรรมแล้ว ตามกฎหมายแล้ว โทษประหารของแม่นางหงสามารถหลีกเลี่ยงได้”
กฎหมายของต้าเซวียนนั้นไม่สังหารนักโทษหญิงที่มีครรภ์ หากนักโทษหญิงผู้นั้นมีโทษประหาร ส่วนใหญ่จะลดโทษลงขั้นหนึ่ง โทษประหารจะกลายเป็นการคุมขังระยะยาวแทน
พอได้ลดโทษลงแล้ว ต่อไปค่อยคิดหาวิธีให้นางหลุดพ้นจากคุกออกมา
ครรภ์นี้ ปกป้องชีวิตของหงเยียนเอาไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลนัก
“จริงรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่กล้าจะเชื่ออยู่บ้าง
หมออิงยิ้มเอ่ยว่า “เหนียงเหนียงวางพระทัย ตั้งแต่คุณชายสวี่ออกจากเมืองหลวงไป องค์ชายสามก็สั่งให้กระหม่อมไปกรมยุติธรรมตรวจชีพจรของหงเยียนเป็นประจำ จับตาดูสัญญาณชีพจรไว้ตลอด พอมีการเปลี่ยนแปลงแปลกไป ก็ให้รีบแจ้งกรมยุติธรรมทันที แม่นางหงเยียนผู้นั้นยามนี้มีครรภ์อยู่ในระยะแรกเริ่ม ยังไม่เห็นได้อย่างแจ่มชัด แต่ก็ยืนยันได้แล้วว่ามีเรื่องน่ายินดีมาได้หนึ่งเดือนแล้ว”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นสีหน้านางฉายแววยินดี จึงส่งสัญญาณให้หมออิงกับซือเหยาอันออกไป
เขาให้พี่ชายกับหงเยียนวิวาห์กันในคุก ไม่เพียงแต่เพื่อทำความมุ่งมาดปรารถนาของพี่ชายให้สมหวังเท่านั้น…หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นยินดีปรีดาไปแล้ว ก็อดจะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ท่านมั่นอกมั่นใจเพียงนั้นเลยหรือไรว่าหงเยียนจะท้องได้” พี่ชายผู้นี้ของนาง ยามปกติดูไม่เอาจริงเอาจัง แต่ก็ยังสามารถทำเรื่องจริงจังขึ้นมาได้
แค่คืนเดียวน่ะรึ ใช้ได้นี่นา!
เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ซอกคออ่อนนุ่มของนาง มุมปากอมยิ้มอย่างแฝงความหมาย “เจ้าดูหมิ่นความพลุ่งพล่านของบุรุษเกินไปแล้ว”
ภายในไม่กี่วัน หลังจากที่กรมยุติธรรมส่งคนเฉพาะทางไปจับชีพจรวินิจฉัยให้แก่นักโทษในห้องขังหญิง รายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่พิเศษ เพราะนักโทษหญิงสกุลหงมีครรภ์หนึ่งเดือนกว่า ตามกฎหมายจะต้องพิจารณาโทษใหม่ เปลี่ยนจากโทษประหารเป็นคุมขังในคุกชั่วคราว รอให้คลอดบุตรแล้วค่อยจัดการลงอาญาอีกครั้ง
ยามที่ข่าวคราวแพร่ไปถึงร้านเซียงหยิงซิ่ว ป้าจู้สี่กับอาหลังก็ดีอกดีใจกันจนพูดไม่ออก ใจที่แขวนไว้ในลำคอได้วางลงแล้วในที่สุด ขอเพียงไม่ใช่โทษประหาร โทษหนักอื่นๆ ถึงจะเป็นการคุมขังตลอดชีวิตก็จะนับเป็นอันใดได้ ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา[1]
ชูซย่ากลับมาจากร้านเซียงหยิงซิ่ว แวะไปกรมยุติธรรมเพื่อเยี่ยมหงเยียน หลังจากกลับมาก็ตรงไปยังเรือนหลักด้วยความรีบร้อน เล่าเรื่องการตัดสินชี้ขาดของราชการให้แก่อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นพิจารณา “ชูซย่า พรุ่งนี้เจ้าไปกรมยุติธรรมอีกรอบ ติดสินบนนิดหน่อย รบกวนให้คนดูแลหงเยียนสักหน่อย แล้วให้โรงครัวตุ๋นยาบำรุงที่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ ถึงเวลานั้นค่อยคิดหาวิธีส่งเข้าไปให้” ปัจจัยภายในคุกจะดีสักแค่ไหนเชียว ต่อให้หงเยียนอดทนต่อความลำบากได้มากกว่านี้ ยามนี้ร่างกายไม่เหมือนเดิมแล้ว เกิดมีการพลาดพลั้งเสียหายไปความพยายามก่อนหน้านี้ได้สูญเปล่าแน่ จะไปหาครรภ์ที่ไหนมาช่วยชีวิตนางได้อีก
“เหนียงเหนียงโปรดวางใจเจ้าค่ะ” ชูซย่าขยับไปใกล้ “บ่าวเพิ่งจะไปเยี่ยมหงเยียนในคุกหลวงของกรมยุติธรรมมา เห็นคนที่ร่วมห้องขังกับนางเป็นสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง สะอาดสะอ้าน พูดจาเชื่อถือได้ ได้ยินว่านางติดหนี้ค้างสิน คืนเงินมิได้ จึงใช้การรับโทษมาทดแทนหนี้ แต่บ่าวแอบถามนางจึงได้ทราบว่าเป็นไท่จื่อที่ทรงส่งนางมา ซ้ำยังจัดการให้ขังอยู่ห้องเดียวกันกับหงเยียนโดยเฉพาะ เพื่อดูแลหงเยียนในระยะหลายเดือนนี้และป้องกันมิให้เกิดข้อบกพร่องใดเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจเล็กน้อย จิตใจผ่อนคลายลงไปบ้าง “นึกไม่ถึงว่าไท่จื่อจะทรงมีน้ำใจต่อท่านพี่เช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ท่านพี่เลือกข้างพวกเขา”
ชูซย่ามองนางแวบหนึ่ง หนังตากระตุกยิกๆ เป็นการมีน้ำใจต่อคุณชายสวี่ หรือว่ามีน้ำใจต่อเหนียงเหนียง ใครจะบอกได้แน่ชัด
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสายตานางแฝงไว้ด้วยความนัย จึงเปลี่ยนเรื่องไป “ทางท่านลุงทราบหรือไม่”
ชูซย่าพยักหน้า “ก่อนที่บ่าวจะไปร้านเซียงหยิงซิ่ว บ่าวได้ไปแจ้งกับจวนสกุลสวี่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านลุงได้ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย บอกมิได้เช่นกันว่าดีใจหรืออะไร บอกแค่ว่าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ยามนี้ท่านพี่ถูกเนรเทศไปยังหลิงหนาน ไม่รู้เช่นกันว่าจะได้กลับมาวันใด ในครรภ์ของหงเยียนเป็นหลานคนแรกของท่านลุง และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวที่ลูกชายได้ทิ้งไว้ เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร เกรงว่าคงไม่อยากจะยิ้มมากกว่า ทว่าเด็กคนนี้ บางทีอาจจะสามารถช่วยทำลายน้ำแข็งของท่านลุงที่มีต่อหงเยียน ให้ท่านลุงยอมรับหงเยียนก็ได้
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องของหงเยียนก็ลุล่วงไปเปราะหนึ่งแล้ว ก้อนหินในใจนางจึงวางลงไปได้แล้ว
ณ ตำหนักชุ่ยหมิง ใกล้วันที่รัชทายาทแห่งเหมิงหนูจะมายังเมืองหลวงเข้าไปทุกที หมู่นี้พระสนมเอกเฮ่อเหลียนก็ยิ่งพระทัยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
วันนี้ฝึกคัดอักษรเสี่ยวข่าย ก็ไม่ราบรื่นเท่าเมื่อก่อน เขียนผิดใบแล้วใบเล่า รู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นนัก
จางเต๋อไห่ครุ่นคิด อย่างไรเสียนายหญิงก็เป็นชาวเป่ยเหริน มิได้พบญาติมิตรแดนเหนือมาสิบกว่าปีแล้ว ยามนี้สถานการณ์ระหว่างต้าเซวียนกับเหมิงหนูกำลังตรึงเครียด ทันทีที่ทราบว่าชาวเป่ยเหรินจะมา เป็นธรรมดาที่อารมณ์จะตึงเครียด เขาจึงจำต้องเอ่ยปลอบอยู่ด้านข้างว่า “พระสนมเอก องค์ชายสามคงจัดการเรื่องต้อนรับขับสู้ได้เรียบร้อยดีทั้งหมด ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกไม่ไปคิดเรื่องชาวเป่ยเหรินอีก ดวงเนตรขยับไหว “หลังจากจวนองค์ชายสามจัดงานมงคลแล้ว หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง”
จางเต๋อไห่ทราบดีว่าสิ่งที่นางถามคือเรื่องของพระสนมหัน จึงลังเลครู่หนึ่ง ทูลว่า “ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ ยังนับว่าสงบดี”
สงบรึ ประโยคนี้คลุมเครืออยู่ไม่น้อย นี่มันหมายความว่าโอรสนางมิได้ไปเรือนถังจูอีกเลย มิได้ร่วมหอกับแม่นางหันมิใช่หรือไร แต่นี่เป็นสิ่งที่นางคาดเอาไว้แล้ว จึงไม่แปลกใจอันใด
พระสนมเอกวางพู่กันลง “เด็กคนนั้น หากข้ามิได้ไปควบคุมดูด้วยตัวเอง เกรงว่ากระทั่งวันมงคลวันนั้นคงไม่เหยียบเรือนพระสนมเลยกระมัง”
จางเต๋อไห่ก็ไม่กล้าปิดบังนายหญิง “พระสนมเอก ความจริงแล้วคืนนั้น…ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะมิได้ค้างที่เรือนถังจู…”
“ว่าอย่างไรนะ” พระสนมเอกเลิกคิ้ว
จางเต๋อไห่ก้มหน้าลง “ไม่กี่วันก่อนตอนที่บ่าวไปเยี่ยมคุณหนูชุยอินหลัวที่จวน ได้ยินพวกบ่าวไพร่คุยกันโดยบังเอิญว่าเหมือนคืนนั้นพอรอพวกเรากลับไป องค์ชายสามก็ออกจากเรือนตะวันตกเฉียงเหนือ ให้องครักษ์เตรียมรถม้าไว้นอกจวน องค์ชายนั่งรถออกจากจวนไป จากนั้นก็รับสั่งให้องครักษ์ไปเรือนหลัก พูดคุยกับแม่นางชูซย่าไม่กี่คำ แล้วแม่นางชูซย่าก็เชิญพระชายาออกจากจวนไป…บ่าวไปแอบสืบมาจึงได้ทราบว่าคืนนั้น ทั้งคู่ออกจากเมืองหลวงไปตามๆ กัน ไปค้างคืนยังน้ำพุร้อนแถบชานเมือง ก่อนฟ้าสางจึงได้กลับจวน อาภรณ์ของพระชายาดูเหมือนจะเปลี่ยนใหม่ องค์ชายสามห่มคลุมพระชายาไว้ในพรมกลับมา” จางเต๋อไห่พูดจนหน้าแดงก่ำ บางคำก็กระดากอายที่จะกล่าว แต่ในที่สุดก็ยังคงทนไม่ไหว ปิดปากหัวเราะ “ดูไม่ออกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าองค์ชายสามก็รู้จักเล่นไม่เบา”
พระสนมเอกย่อมเข้าใจในความหมายนั้น สีพระพักตร์กระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย
ทว่า ในเมื่อเล่นเสียบ้าคลั่งเช่นนี้ เกรงว่าข้อห้ามของอาการบาดเจ็บของโอรสคงจะไม่เป็นอันใดแล้ว เหมือนกับที่เหยากวงเหย้าเคยบอกไว้คราก่อน มียาที่สามารถระงับไว้ได้แล้ว ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้ก็สามารถผลิดอกออกผลให้ตระกูลได้ไวขึ้นแล้ว
คิดเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็พลันขมวดคิ้วมุ่นอีก “วันมงคลของพระสนม กลับกลายเป็นวันมงคลของพวกเขาทั้งสองไปเสียได้ นางมักจะใช้อำนาจยึดซย่าถิงไว้ที่จวน ซย่าถิงจะเข้าเรือนคนอื่นได้อย่างไร”
ในขณะนั้นเอง หลานถิงกลับมาจากด้านนอกพอดี
อาการประชวรของฝ่าบาทครานี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวทรุด ในทุกๆ วันพระสนมเอกจะให้หลานถิงไปด้านนอกพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แม้ว่าจะมิได้พบหน้าฝ่าบาท แต่ก็ยังสามารถถามไถ่ได้จากเหยาฝูโซ่ว พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจ
———————–
[1] ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา เปรียบเปรยว่าตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง