ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 237 ลอกมาไม่พลิกแพลง (3)
หลายวันมานี้ ฮูหยินไม่เพียงแต่ไม่ออกจากเรือน แต่กระทั่งประตูหลักและประตูย่อยหลายบานยังสั่งให้คนรับใช้ลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา นอกจากนี้ นางยังสั่งให้ผู้คุ้มกันเรือนที่แข็งแรงหลายนายไปเฝ้าหน้าประตูไว้ทั้งวันทั้งคืน มิให้ผู้ใดเข้าออกได้ตามอำเภอใจ และยิ่งมิให้คนแปลกหน้าเข้าเรือนมาเยี่ยมเยียนตามประสงค์เช่นกัน
ถึงแม้ว่าสมองอาเถาจะไม่ค่อยดีนัก พูดจาไม่ฉะฉาน แต่เพราะติดตามไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้สักพักหนึ่งแล้ว จึงคุ้นชินกับนิสัยของนาง ทั้งยังรู้ด้วยว่านางกำลังไปยุ่งกับเรื่องกู้ยืมเงินอีกครั้ง ตอนแรกก็รู้สึกตื่นตระหนกมากพออยู่แล้ว แต่พฤติกรรมในระยะนี้ของไป๋เสวี่ยฮุ่ยยิ่งทำให้นางไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
ในระหว่างวัน ฟากฟ้ามืดครึ้มไปทั้งผืน จึงรู้ได้ทันทีว่าพายุฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว อาเถาได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้วิ่งไปที่ประตูด้านข้าง เพื่อตรวจสอบว่าประตูและหน้าต่างถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาหรือไม่ เมื่อมาถึงประตูมุมหนึ่งของเรือน ประตูลงดานไว้ไม่แน่น พอลมแรงพัดโหมมา เงาดำกลุ่มหนึ่งจึงคว้าเอวของนางไว้ แล้วลากตัวนางออกไปจากประตูนั้น
ในขณะที่อาเถายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ก็ถูกบุรุษผู้นั้นปิดปากและจมูกของนางไว้ สัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ข้างหูนาง หัวเราะเสียงเย็นชาไม่หยุด “ฝากบอกฮูหยินของเจ้าด้วยว่า อย่าคิดว่าเพียงแค่ลงกลอนประตูทุกบานไว้ สั่งให้ผู้คุ้มกันเรือนมาเฝ้าหน้าเรือนเช่นนี้แล้วจะทำให้บัญชีนั้นเป็นโมฆะได้ หนีพระได้แต่หนีวัดมิได้หรอกนะ หากนางยังทำตัวโง่เขลาและแสร้งไม่รู้เรื่องเช่นนี้ต่อไป พรุ่งนี้ข้าจะไปหานายท่านของพวกเจ้าโดยตรง หรือไม่ก็ส่งคนไปที่ว่าการกรมกลาโหม ตีฆ้องร้องป่าวประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ เรื่องที่ตระกูลอวิ๋นปล่อยเงินกู้ในช่วงหลายปีมานี้”
เสียงคุ้นช่างนัก เป็นนายธนาคารปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงผู้นั้นที่เคยเจอเมื่อครั้งที่มาแจ้งข่าวให้กับฮูหยิน
จนกระทั่งบุรุษผู้นั้นปล่อยมือ อาเถาจึงรีบวิ่งไปเรือนหลักอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังมองคนใช้ต้มชาในเตาดินเหนียวสีชาดอยู่ในห้องอย่างสบายอกสบายใจ เห็นอาเถาวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเช่นนั้น ถ้วยจื่อซาที่ถืออยู่ในมือเป็นเวลานานแทบจะพลิกหก นางส่งเสียงถุยออกมา แล้วยื่นมือไปตบอีกฝ่าย “ให้ตายสิ เงอะๆ งะๆ อยู่ได้ หากถ้วยชาชื่อดังข้าแตกขึ้นมา ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
อาเถามองฮูหยิน สาวใช้และมอมอรอบข้าง หอบหายใจอยู่หลายเฮือก ไม่กล้าพูดออกไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นนางไม่ร้องเลยแม้แต่น้อยหลังจากถูกตบไปเมื่อครู่ ก็รู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องสำคัญเป็นแน่ จึงสั่งให้สาวใช้คนอื่นออกไปให้หมด แล้วปิดประตูไถ่ถามอย่างจริงจัง “มีอันใดรึ”
อาเถาจึงได้บอกเรื่องที่เฮยจื่อขู่ออกไป พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ฟัง สีหน้าก็ซีดลงทันที
“ฮะ…ฮูหยิน ปะ…เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ งะ…เงินกู้ดอกเบี้ยสูงเมื่อหลายวันก่อน มะ..มีปัญหาอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ” อาเถาตกใจ
มิใช่เพียงแค่ปัญหาเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เมื่อถึงเวลาคืนเงินหญิงม่ายน้อยนางนั้นมิได้ไปที่ธนาคารเฟยหู่ คนจากเฟยหู่จึงตรวจสอบตัวตนของนาง กลับกลายเป็นว่างเปล่า ทั้งสกุลและที่อยู่ที่นางให้ไว้เป็นของปลอมทั้งสิ้น แท้จริงแล้วมิได้มีบุคคลดังกล่าวอยู่เลย
ใครจะไปรู้ว่าข้อมูลของม่ายน้อยที่ยืมเงินไปนั้นจะเป็นของปลอมกัน ใครกันถึงได้กล้าเล่นกับองค์กรปล่อยกู้เช่นนี้ได้
เมื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินเฮยจื่อมาเตือนถึงที่ บอกว่านี่อาจเจอนักต้มตุ๋นเข้าให้แล้วก็เป็นได้ เงินที่ปล่อยกู้ไปนั้นมีปัญหา ถึงแม้จะตกใจ แต่ก็มิได้หวาดกลัวนัก
ทำงานองค์กรปล่อยกู้เช่นนี้ ล้วนมีผู้มีอำนาจอยู่ไม่น้อย เบื้องหลังของธนาคารเฟยหู่ในเมืองหลวงนั้นลึกมาก อีกทั้งต่างถิ่นต่างแดนล้วนมีสาขาย่อยอยู่ ถึงแม้แม่ม่ายนั่นจะหนีไป ก็สามารถที่จะหาตัวนางพบได้ เพราะเหตุนี้นางจึงมิได้เป็นกังวลนัก
แต่คาดคิดไม่ถึงว่า ผ่านไปหลายวันแล้ว ธนาคารก็ยังหาตัวหญิงม่ายนางนั้นไม่พบ ในเมื่อหาตัวคนยืมเงินมิได้ ก็ต้องให้ผู้ที่อยู่ในสัญญาเป็นคนรับผิดชอบ
ด้วยเหตุนี้เอง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงได้กลัวขึ้นมาแล้ว นางมิกล้าออกจากเรือน และเพราะสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ นางจึงได้ปิดประตูใหญ่และประตูทั่วทุกมุมของเรือน และป้องกันมิให้คนจากธนาคารไล่ตามนางได้
แต่เมื่อได้ยินที่อาเถาพูดในวันนี้แล้ว นางจึงได้รู้ว่า ไม่มีทางอื่นแล้ว หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปถึงหูคนนอกล่ะก็ ได้เกิดเรื่องใหญ่อย่างการสูญเสียตำแหน่งขุนนางเป็นแน่ หากนายท่านเสียตำแหน่งไป ตนจะมีทางรอดอยู่อีกหรือ ปากด่าม่ายน้อยนางนั้นเป็นพันหน แต่ก็ทำได้เพียงแบกหน้าด้านๆ ออกจากบ้านมา
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องสนั่นลั่น นายบ่าวทั้งสองมุ่งไปยังธนาคารเฟยหู่ เมื่อถึงหน้าประตู อาเถาก็ตัวสั่นขึ้นมา “ฮูหยินเจ้าคะ คะ…คงไม่มีอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“จะมีได้อย่างไร ข้าเป็นถึงฮูหยินของขุนนางเชียวนะ พวกมันจะทำอันใดข้าได้ เห็นแก่มิตรภาพหลายปีมานี้ คงจะอ่อนข้อให้กันบ้าง ไม่แน่ว่าพอเข้าไปแล้ว อาจจะได้รับการต้อนรับด้วยชาชั้นดีก็เป็นได้” ไป๋เสวี่ยฮุ่ย เขกหัวอาเถาอย่างแรง “ไร้ประโยชน์นัก”
เมื่อไปถึง ก็ถูกนักเลงของธนาคารสองคนหิ้วปีกไปที่โถงใหญ่ด้านหลัง
ภายในโถง เฮยจื่อยืนอยู่ข้างบุรุษวัยกลางคนผู้ที่มีสีหน้ามืดครึ้ม
บุรุษผู้นั้นมีตาชั้นเดียวหางตก บนหน้าผากมีรอยแผลเป็นจากของมีคม ดูน่ากลัวโหดเหี้ยมยิ่งนัก
บรรยากาศรอบๆ ดูเหมือนเป็นโถงศาลอันน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยนักเลงร่างใหญ่ที่เปิดคอเสื้อเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อหน้าอก
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีความเกี่ยวข้องกันทางเงินกับธนาคารเฟยหู่อย่างลับๆ มาหลายสิบปี ถึงแม้จะมิเคยเห็นหน้าค่าตาชายผู้นี้มาก่อน แต่ก็ได้ยินจากปากของเฮยจื่อมาบ้าง นางตกใจและรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นนายใหญ่ของธนาคารแห่งนี้ มีสกุลว่าซา
ปะปนอยู่ทั้งสังคมอิทธิพลมืดกับแวดวงขุนนางได้ดีเช่นนี้ จะเป็นคนดีได้อย่างไร มองก็รู้ว่ามิใช่คนดีอะไรนัก
เมื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นท่าทางเช่นนั้น นางก็สูญเสียความมั่นใจในตอนแรกไปเสียหมด ยิ่งอาเถาเป็นคนขี้กลัว จึงยิ่งสั่นไปหมดทั้งตัว
นายใหญ่ซาไม่มีซึ่งความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย เขาเอ่ยออกมาตรงๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ฮูหยินอวิ๋น เงินเก้าพันตำลึงที่รวมกับดอกเบี้ยแล้วเป็นหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง จะคืนเมื่อใดรึ หากวันนี้ไม่พูดให้ชัดเจน พรุ่งนี้พวกข้าจะไปที่ว่าการกรมกลาโหมแล้วนะ จะเรียกให้คนทั้งเมืองหลวงมาตัดสินกันเสียหน่อย”
เดิมทีนางคิดว่าแม้ครานี้จะมีข้อผิดพลาด แต่ทางธนาคารเฟยหู่คงจะไว้หน้ากันบ้างในฐานะที่ร่วมงานกันมานานหลายปี และในฐานะที่นางเป็นฮูหยินของขุนนางอย่างน้อยก็คงจะไว้หน้ากัน คาดไม่ถึงว่า แม้นางจะมาหาด้วยตัวเองเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
หนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง! นึกไม่ถึงว่าจะคิดกำไรทั้งหมดไว้กับตัว จะฮุบเอาคนเดียวทั้งหมดเลยรึ!
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งจะเข้าใจ การทำงานปล่อยกู้นั้นไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเห็นอกเห็นใจเลย ทันใดนั้นเหงื่อเย็นก็ผุดซึมออกมา วันนี้เจอปัญหาใหญ่จริงๆ แต่นางยังคงสงบสติอารมณ์ได้ “หากคืน ก็ต้องหารกันคนละครึ่ง จะให้ข้าแบกหนี้คนเดียวสองหมื่นตำลึงเลยหรือ”
“คนละครึ่งอย่างนั้นรึ” นายใหญ่ซาลูบคางไปมา หัวเราะเบาๆ แต่กลับทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยขนลุกเหงื่อซึม “ธนาคารของข้าเปิดมาเพื่อค้าขาย มิใช่เปิดเป็นโรงทาน เก้าพันตำลึงยืมไป เก้าพันตำลึงคืนมา กำไรไม่มีเลยแม้แต่น้อย ลูกน้องของข้าจะเอาอะไรกิน ฮูหยินอวิ๋นช่างคิดได้เลิศหรูเกินไปแล้ว!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหงื่อแตกพลั่ก “นายใหญ่ซา เกิดเป็นคน เหตุใดถึงได้ทำเช่นนี้กันเล่า อย่างน้อยเราก็เคยร่วมงานกันมาหลายปี แม้ข้าจะใช้เงินจากธนาคารท่านจริง แต่พวกท่านก็ใช้ชื่อเสียงฮูหยินขุนนางของข้ามาเป็นหลักประกันกับลูกค้าเช่นกัน เราร่วมงานกันอย่างเป็นประโยชน์สูงสุด เช่นนี้ถึงจะทำให้ธนาคารยิ่งมีลูกค้ามากขึ้นอย่างไรเล่า”
“ถุย” ใบหน้าอันโหดเหี้ยมของนายใหญ่ซาแข็งกระด้าง “หากไม่มีธนาคารพวกข้าเป็นที่พึ่ง ขุนนางอย่างพวกเจ้าจะทำอันใดกันได้! เป็นฮูหยินขุนนางแล้วมันเก่งกาจสามารถนักรึ หลายปีมานี้พวกเจ้าก็ได้กำไรจากพวกข้าไปไม่น้อย ตอนได้กำไรเจ้าก็รับเงินไปเป็นกอบเป็นกำใหญ่ ตอนนี้ถึงคราชดใช้เงินแล้ว เจ้าคิดจะปัดความรับผิดชอบอย่างนั้นรึ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเดือดขึ้นมาแล้ว นางตบต้นขาตัวเองฉาดใหญ่ “ใครจะไปรู้ว่าแม่ม่ายนั่นจะเป็นนักต้มตุ๋นกัน คิดว่าข้าอยากถูกต้มอย่างนั้นรึ นายใหญ่ซามีความสามารถไม่น้อย มีคนรู้จักอยู่ในราชสำนักมิใช่หรือ ได้ไปตรวจสอบซักถามถึงนักต้มตุ๋นนางนั้นจากเอกสารของนางหรือยังเล่า หากรู้ว่าผู้ใดทำการปลอมแปลง จะได้ไปตามเบาะแสนั้น!”