ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 239 ยับยั้ง (2)
เพียงไม่นาน พระสนมเอกก็พาจางเต๋อไห่กับสาวใช้ข้างกายทั้งสี่มายังหอหมิงกวง
หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเพียงเสียงเอ่ยรายงานก็เห็นเงาร่างที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรางดงามถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยนางกำนัลเดินเข้ามา จากนั้นก็เห็นเฮ่อเหลียนอวิ่นลุกขึ้นยืนเข้ามาต้อนรับ
หลังจากสองคนพี่น้องคำนับกันอย่างเรียบง่ายก็นั่งตรงข้ามกันซ้ายขวาภายในห้องโถง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นด้านหน้าพระสนมเอกจากบานหน้าต่างได้อย่างชัดเจน
วันนี้คนที่พระสนมเอกได้พบเป็นทั้งพี่ชายในครอบครัวและทูตจากต่างแคว้น เพื่อไม่ให้เสียศักดิ์ศรีของแคว้น นางจึงแต่งกายอย่างหรูหรางดงาม แต่ภายใต้เครื่องสำอางหนาเตอะนี้ กลับปกปิดสีหน้าแววตาที่ไม่มั่นคงไว้ไม่มิด บนใบหน้าไร้ซึ่งความยินดีปรีดาที่ได้พบญาติสนิท ราวกับกำลังรอให้การพบหน้ากันครั้งนี้รีบจบลงโดยไว
มองออกว่านางไม่อยากอยู่นาน
เฮ่อเหลียนอวิ่นกับนางเป็นพี่น้องบิดาเดียวกันแต่คนละมารดา โอรสธิดาของกษัตริย์เหมิงหนูในรัชกาลนี้มีหลายร้อยคนทีเดียว มีแค่โอรสธิดาที่ประสูติจากฮองเฮาที่จะได้รับความสำคัญ โอรสธิดาคนอื่นๆ โดยปกติแล้วจะถูกเลี้ยงดูข้างกายมารดาผู้ให้กำเนิดของแต่ละคน
ทั้งสองไม่มีความผูกพันระหว่างพี่น้องเลย พระสนมเอกเห็นผู้เป็นพี่ไร้ซึ่งสีหน้ายินดีใด ก็ไม่แปลกใจ ทว่ากลับมีความตึงเครียดและหลบเลี่ยงเล็กน้อย จึงรู้สึกผิดแปลกไป
“ตอนนั้นที่มาส่งตัวพระสนมเอกแต่งงาน ข้ากลัวและกังวลว่าพระสนมเอกจะไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในจงหยวน วันนี้มาเห็นกิริยาท่าทางพระสนมเอกดูดีกว่าแต่ก่อน มีชีวิตชีวาไม่เลว คงได้รับความรักและไว้ใจจากฮ่องเต้ต้าเซวียนมากทีเดียว ข้าก็วางใจแล้ว” เฮ่อเหลียนอวิ่นลูบถ้วยใบเล็กพลางยิ้มบาง
พระสนมเอกเอ่ยตอบไปด้วยความเกรงใจว่า “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงห่วงใย ตอนนั้นเสด็จพี่กำชับหม่อมฉันว่าให้แต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีกับต้าเซวียนอย่างสบายใจ เป็นหน้าที่ของตนที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นให้สงบ หม่อมฉันในฐานะองค์หญิงแห่งเหมิงหนู ไม่กล้าลืมหน้าที่ความรับผิดชอบของตนหรอกเพคะ ตั้งแต่มาต้าเซวียนก็มองที่นี่เป็นบ้าน มองฝ่าบาทเป็นสวามี ไม่กล้าละเลยเพิกเฉย จึงได้รับความห่วงใยจากฝ่าบาทมา”
เฮ่อเหลียนอวิ่นรอยยิ้มแข็งค้าง ไม่กล่าวคำใดอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้ากับพระสนมเอกจะพูดคุยกันตามประสาพี่น้อง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าพระสนมเอกเคร่งขึ้นคล้ายไม่อยากจะอยู่กันตามลำพังกับเฮ่อเหลียนอวิ่นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดกลับจำต้องฝืนสั่งจางเต๋อไห่และสาวใช้ทั้งสี่ด้วยความจำใจอย่างยิ่งว่า “พวกเจ้าออกไปรอหน้าประตูก่อน”
รอจนกระทั่งพวกเขาเดินไปไกลแล้ว เฮ่อเหลียนอวิ่นจึงถอนใจออกมา “หลายปีมานี้เจ้าลำบากไม่น้อย ข้าได้ยินมาเหมือนกันว่าในตอนที่เพิ่งจะมาต้าเซวียนและได้รับความโปรดปรานที่สุดนั้นก็ถูกบรรดาสตรีในวังริษยาชิงชัง หลายครั้งหลายคราที่เกือบจะถูกคนลอบทำร้าย จนในที่สุดเมื่อโอรสประสูติออกมาจึงได้สงบลง แล้วกลายเป็นคราวฉินอ๋องที่โดนคนทำร้ายแทน กว่าจะส่งฉินอ๋องออกจากวังไปไม่ง่ายเลย ชาวเป่ยเหรินข้างกายที่ติดตามเจ้ามากลับถูกฮองเฮาแอบกำจัด กระทั่งคนที่บ้านที่สามารถพึ่งพิงได้ต่างสูญสิ้นหมด…ทนมาได้ถึงตอนนี้เรียกได้ว่าแต่ละย่างก้าวของพวกเจ้าสองแม่ลูกแสนลำเค็ญยิ่ง ทว่า ในที่สุดก็ทนจนพบกับวันคืนอันเปี่ยมสุขได้แล้ว” กล่าวพลางแย้มยิ้มชื่นชม เขาเอนตัวมาหา “ได้ยินว่ากุ้ยเฟยของต้าเซวียนล้วนถูกเจ้าทำร้ายจนตาบอด การตายของฮองเฮาต้าเซวียน เกรงว่าก็คงเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยกระมัง…”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นว่าเขาตรวจสอบการกระทำในหลายปีมานี้ของพวกนางสองแม่ลูกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในใจก็ไหวหวั่นขึ้นมา แต่ก็เป็นไปอย่างที่คาดคิดไว้ จึงรีบเอ่ยขัดเขาขึ้นว่า “เสด็จพี่ใส่ใจหม่อมฉันเช่นนี้ ทรงตั้งใจยิ่งเพคะ”
เฮ่อเหลียนอวิ่นยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเป็นองค์หญิงที่ออกจากเหมิงหนูข้าไป ทั้งยังเป็นคนที่เชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นให้สงบ ข้าในฐานะรัชทายาท จะไม่ใส่ใจการเคลื่อนไว้ของเจ้าในต้าเซวียนได้อย่างไร”
พระสนมเอกสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก้มหน้าลง “เช่นนั้นแต่นี้ต่อไป ขอเสด็จพี่โปรดทรงเก็บความใส่ใจที่มีต่อหม่อมฉันไปเถิด หม่อมฉันไม่มีสิ่งใดให้ต้องทรงเป็นห่วงแล้วเพคะ”
“ยามนี้เจ้าย่อมมีความมั่นใจเพียงพออยู่แล้ว ถอนรากถอนโคนในวังไปแล้ว ด้านนอกก็ยังมีลูกชายที่คอยหนุนหลังให้” เฮ่อเหลียนอวิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ก่อนที่ข้าจะมา ได้ยินว่ายามนี้เยี่ยจิงมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน เดิมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเท่าใดนัก วันนี้ที่ตำหนักเห็นฮ่องเต้พอพระทัยต่อฉินอ๋องอย่างมาก จึงได้รู้ว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับเขามากจริงๆ ได้ยินว่าฮ่องเต้เดิมก็ไม่ค่อยชอบรัชทายาทองค์ปัจจุบันของพวกเจ้าอยู่สักเท่าใดนัก ยามนี้องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะที่สามารถรับภาระหน้าที่สำคัญได้ก็มีไม่มาก ฉินอ๋องเรียกได้ว่าล้ำเลิศเหนือคนอื่น ข้าเห็นมากับตา ปราบปลื้มใจยิ่งจริงๆ” หยุดเว้นไปช่วงหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “พระสนมเอกคิดว่า ฉินอ๋องจะมาแทนตำแหน่งรัชทายาทได้หรือไม่”
ด้านนอกหน้าต่าง อวิ๋นหว่านชิ่นใจกระตุก คิดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนอวิ่นคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องใหญ่อย่างการแต่งตั้งรัชทายาทของแคว้นอื่น ทว่าก็ไม่แปลกใจนัก ฉินอ๋องที่มีสายเลือดเป่ยเหรินครึ่งหนึ่งกลายเป็นผู้นำแห่งจงหยวน ย่อมเอนเอียงไปทางเหมิงหนู ให้แดนเหนือได้รับผลประโยชน์
ภายในห้องโถง พระสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินเขาเอ่ยถึงซื่อถิงขึ้นมาในที่สุด เงามืดที่เป็นกังวลมาเนิ่นนานได้เกิดขึ้นแล้ว สีหน้าซีดเผือด พยายามระงับจิตใจเอาไว้ “ซื่อถิงมีสายเลือดชาวเป่ยเหรินครึ่งหนึ่ง ต่อให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานเขาเพียงใด บัลลังก์แห่งรัชทายาทนี้ก็ไม่อาจตกเป็นของเขาได้”
“ยามนี้สถานการณ์เช่นนี้เหมือนกับจะยากอยู่เล็กน้อย…” เฮ่อเหลียนอวิ่นเสียงแหบสากในลำคอทุ้มต่ำ เอ่ยอย่างทีเล่นทีจริงว่า “แต่ หากไม่มีรัชทายาทองค์ปัจจุบันของพวกเจ้าแล้วล่ะก็ ความเป็นไปได้ของฉินอ๋องก็จะสูงขึ้นมาแล้วกระมัง”
พระสนมเอกตกตะลึง พรวดพราดลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่จะทำอันใดเพคะ”
เฮ่อเหลียนอวิ่นแย้มยิ้ม “ล้อเล่นเฉยๆ เอง พระสนมเอกไม่ต้องตื่นเต้นไป”
พระสนมเอกเห็นจางเต๋อไห่และคนอื่นๆ ที่หน้าประตูมองเข้ามาก็รู้ตัวว่าตนเสียกิริยาไป จึงจำต้องนั่งลงเสียก่อน
เฮ่อเหลียนอวิ่นไม่พูดอันใดต่ออีก เอ่ยทักทายอีกสองสามคำก็ลุกขึ้นเอ่ยลา
ตั้งแต่ได้ทราบว่าเฮ่อเหลียนอวิ่นคิดจะสนับสนุนฉินอ๋อง พระสนมเอกเฮ่อเหลียนก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นเขาจะกลับจึงคล้ายว่าหลุดจากภวังค์มา อาศัยจังหวะที่นางกำนัลยังไม่เข้ามา เดินเข้าไปใกล้สองสามก้าว แล้วกระซิบว่า “ได้โปรด ซื่อถิงไม่อาจเป็นรัชทายาทแห่งต้าเซวียนได้ เสด็จพี่ขอทรงเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกันสักครั้ง อย่าได้สร้างปัญหาให้ยุ่งยากกว่านี้เลย ปล่อยเราสองคนแม่ลูกไป ให้เรามีวันคืนที่สงบสุขเถิดเพคะ!”
น้ำเสียงจริงใจจนคล้ายกับอ้อนวอน
‘ได้โปรด’ คำนี้ยิ่งไร้ซึ่งความสูงศักดิ์ของพระสนมเอกเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับการอ้อนวอนอย่างไรอย่างนั้น
เฮ่อเหลียนอวิ่นแย้มยิ้มให้พระสนมเอก โน้มหน้าเข้าไปหา เอ่ยทีละนิดให้ผู้เป็นน้องสีหน้าซีดเผือด และทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่นอกหน้าต่างได้ยินไปด้วย “ช่างเถิด อวี้เยียน อย่าดึงดันเลย ขวางอนาคตของลูกชายเจ้าไว้ไม่ได้หรอก เจ้าดูสิ ตั้งแต่เขาอยู่ในผ้าอ้อมจนถึงยามนี้…เจ้าขวางทางเขาเช่นนี้ เขายังค่อยๆ เข้ามาปรากฏตัวในสายตาฝ่าบาทได้เลยมิใช่หรือ เจ้าไม่อยากให้เข้าครองตำแหน่ง แต่เขาก็ดันมีสวรรค์คอยดูแล จะสามารถเป็นรัชทายาทได้หรือไม่ ยังต้องพึ่งความสามารถของเขาเอง ข้าที่เป็นลุงก็แค่ผลักดันเท่านั้นเอง” กล่าวจบก็ถอยออกไป แล้วผายมือไปด้านหน้า เอ่ยว่า “พระสนมเอกเดินออกไปก่อนเถิด”
พระสนมเอกร่างอ่อนยวบ หลานถิงตาไวมือไว เข้าไปประคองนางไว้ทัน
พระสนมเอกดันหลานถิงออก แล้วมองเสด็จพี่แวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความวิงวอน เห็นเขาไม่สนใจตน ในที่สุดก็ผิดหวัง ฝืนเรียกความมีชีวิตชีวาเดินออกจากประตูไป
เฮ่อเหลียนอวิ่นจึงพาผู้ติดตามเดินพระสนมเอกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นก็แอบเดินตามไปท้ายขบวนเงียบๆ พอใกล้จะออกจากหอหมิงกวงก็เห็นเพียงเฮ่อเหลียนอวิ่นเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว ชนเข้ากับปากกระบอกแขนเสื้อของสาวใช้คนสุดท้ายคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้ตั้งใจ
สาวใช้คนนั้นคือชิงฉาน หนึ่งในสี่ของสาวใช้ข้างกายพระสนมเอก และเป็นน้องสาวของหมออิงอีกด้วย
ชิงฉานตกใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเฮ่อเหลียนอวิ่น แต่เฮ่อเหลียนอวิ่นกลับถอยไปแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชิงฉานยื่นมือไปเก็บบางอย่าง มองซ้ายมองขวา เหมือนรีบร้อนเก็บอะไรเข้าไปในแขนเสื้อ
รอจนกระทั่งคนสองขบวนนี้ออกจากตำหนักหมิงกวงแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้ออกมาทีหลัง
ฉีไหวเอินพอเห็นนางออกมาก็รีบเข้าไปหาทันที “นานเพียงนี้เชียวหรือ ไม่เป็นอันใดกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า เดินไปพลาง ถามไปพลางว่า “องค์ชายสามสั่งให้เจ้ามาหรือ”