ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 245 นึ่งกระดูกพิสูจน์สายเลือด (3)
ขุนนางกับเหล่าขันทีนางกำนัลทยอยคุกเข่าลงถวายคำนับ
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์สบตากัน ทราบดีว่านางไปทูลเชิญไทเฮามาจากตำหนักฉือหนิง จึงถอนหายใจออกมา
ก่อนจะเสด็จมาเจี่ยไทเฮาได้ฟังพระสนมม่อบอกเล่าคร่าวๆ แล้ว พอมาเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ยิ่งมีความคิดบางอย่างในพระทัย มองฉินอ๋องแวบหนึ่ง แล้วมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น ทอดถอนพระทัยออกมา “เจ้าเสนอวิธีนึ่งกระดูกพิสูจน์สายเลือดเพื่อความบริสุทธิ์ของฉินอ๋อง ในร้อยปีมานี้ราชวงศ์เพิ่งจะมีเจ้าเป็นคนแรกนี่แหละ หากฉินอ๋องเป็นองค์ชายต้าเซวียนจริงๆ ก็แล้วไปเถิด แต่หากไม่ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ก็เห็นเงาร่างสูงตกลงมายังข้างกาย ตกลงใต้ร่มเงาไม้ ซย่าโหวซื่อถิงคุกเข่าลงข้างกายนาง “หากมิใช่ ลูกยอมรับโทษสามเท่า และรับโทษแทนแม่นางสกุลอวิ๋นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เจี่ยไทเฮาครุ่นคิดพลางจ้องมองทั้งคู่ เนิ่นนานทีเดียวจึงได้ตรัสสั่งว่า “จูซุ่น ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป เปิดโลงเอากระดูกออกมา”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” จูซุ่นเข้ามาไป
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…ไทเฮา…” ขุนนางอาวุโสเหล่านั้นยืนกรานคัดค้าน “จะนำกระดูกของฮ่องเต้มาพิสูจน์ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ นี่มันไม่เคารพอย่างมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่เคารพอย่างมากรึ” เจี่ยไทเฮาแววตาดุดันขึ้น น้ำเสียงข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด “ต่อให้เราได้รับโทษข้อหาไม่เคารพนบนอบ ก็ไม่ยอมให้หลังจากนี้ร้อยปีบรรพบุรุษราชวงศ์ซย่าโหวต่อว่าเราว่ายืนมององค์ชายในสายเลือดแท้ๆ ถูกคนใส่ร้ายกลายเป็นมารหัวขนโดยไม่ทำอันใด หรือกระทั่งเอ่ยสักคำก็ไม่พูดได้หรอก! หากฉินอ๋องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้พระองค์ก่อนจริง ถูกพวกเจ้าจับเข้าคุก ตราหน้าว่าเป็นลูกศัตรู วันนี้ก็คงเป็นหิมะตกเดือนหก การใส่ร้ายป้ายสีอันใหญ่หลวงที่สุดของโลกมนุษย์ พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะหวงกระดูกไร้ประโยชน์นี่หรือ! พวกเจ้ากลัวจะถูกคนอื่นจับผิดวิจารณ์หรือ กลัวว่าจะถูกคนอื่นตำหนิว่าไม่เคารพพระศพของฮ่องเต้หรือ ไม่เป็นไร โทษนี้เราจะรับไว้เอง!”
ขุนนางอาวุโสโดนไทเฮาตำหนิต่อหน้า ร่างกายก็อ่อนยวบ พูดอันใดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
อวิ๋นหว่านชิ่นจมูกคัดขึ้นมา นางหมอบลงโขกหัวกับพื้น “ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ”
เจี่ยไทเฮาเดินเข้าไปหา พยุงนางขึ้น “ไม่ต้องรีบร้อนของคุณข้า ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นหลานแท้ๆ ของตัวเองถูกคนอื่นเรียกว่าลูกศัตรู แต่หากฉินอ๋องมิใช่โอรสของฮ่องเต้จริงๆ เราก็คงปกป้องพวกเจ้ามิได้แล้ว”
แม้จะตรัสเช่นนี้ แต่ฝ่ามือของเจี่ยไทเฮากลับอ่อนและร้อนขึ้นมา ทรงแอบบีบกำไปมา เห็นได้ชัดว่ากำลังให้กำลังกัน อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นน้ำตาไว้พลางพยักหน้า
เจี่ยไทเฮาตรัสสั่งออกมา ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวางอีก เหล่าขุนนางอาวุโสที่ทุ่มสุดตัวขัดขวางต่างถูกผู้ติดตามของตนพยุงลากออกไป คนอื่นๆ ที่ฉลาดเฉลียวหน่อยจะยังกล้าพูดอันใดกันได้อีก
ภายในตำหนักที่ตั้งพระศพ นางกำนัลเตรียมภาชนะและถ่านเล็กๆ ท่อนหนึ่งไว้เรียบร้อย โชคดีที่โลงพระศพของฮ่องเต้จะถูกปิดผนึกหลังจากส่งเข้าสุสานแล้ว หากปิดผนึกฝาโลงไปแล้วจริงๆ ต่อให้ไทเฮาเสด็จมาก็ไร้ประโยชน์
หลังจากเปิดโลง จูซุ่นกับเหยาฝูโซ่วนำเศษกระดูกเล็กๆ สีขาวสะอาดออกมาชิ้นหนึ่ง มีขนาดเพียงครึ่งนิ้วโป้งของผู้ใหญ่เท่านั้น
ด้านนอกตำหนัก ซย่าโหวซื่อถิงยืนนิ่งอยู่ข้างระเบียง รอเข้าตำหนักไปพิสูจน์อย่างเงียบๆ ซือเหยาอันแอบสาวเท้าเข้ามาหาแผ่วเบา ยัดบางอย่างใส่ฝ่ามือเขา กระซิบบอกว่า “เป็นเหนียงเหนียงวานหมอหญิงคนหนึ่งของหอจื่อกวงมามอบให้ขอรับ”
สีหน้าเขานิ่งเฉย ตอบอืมไปคำหนึ่ง กำฝ่ามือไว้ คลำรูปทรงของสิ่งนั้น เป็นเข็มขนาดเล็กมาก เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ
“เชิญฉินอ๋องเข้าตำหนัก” เสียงเหยาฝูโซ่วดังขึ้นมาจากด้านใน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นฉินไชทำภารกิจเสร็จสิ้นกลับมาแล้ว แล้วเห็นเขาเข้าไป แม้จะรู้ว่าได้เตรียมตัวไว้แล้ว แต่ใจกลับยังคงเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นางเช็ดเหงื่อปื้นหนึ่งทิ้ง
บรรดาขุนนางและเหล่าคนในวัง ณ ที่นั้นก็ต่างพากันกลั้นหายใจ ฟังข่าวข้างในไปด้วย
ระยะเวลาหนึ่งก้านธูป[1] เหมือนผ่านไปเป็นวันเป็นปีอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุด ภายในตำหนักก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น ทุกคนชะเง้อคอมองไป จูซุ่นใส่ถุงมือถือภาชนะที่เผาจนแดงออกมาคนแรก แล้วตามด้วยฉินอ๋องเดินออกมา
จูซุ่นหยุดอยู่เบื้องหน้าเจี่ยไทเฮาและไท่จื่อ เปิดโถกระเบื้องนั้นออก รับตะเกียบยาวคู่หนึ่งมาจากนางกำนัล คีบกระดูกออกมาอย่างระมัดระวัง
ทุกคนต่างกังวลกันขึ้น จดจ้องการกระทำของจูซุ่น เห็นข้อมือเขายกขึ้น ตรงกลางตะเกียบเป็นกระดูกของฮ่องเต้ที่ย้อมเลือดฉินอ๋อง
แม้จะมีเพียงชิ้นเดียว แต่ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง เดิมทีกระดูกคนที่น่าจะขาวสะอาดยามนี้มีเลือดอาบย้อมไปทั้งท่อน โปร่งใสเรียบลื่น ราวกับหยกเลือดไก่อันโด่งดัง!
โลหิตกับกระดูกผสมปนกันเป็นเนื้อเดียว!
เสียงฝูงชนอื้ออึงขึ้นเบาๆ
“พระชายา ไม่เป็นไรแล้วเพคะ” ฉินไชปรีดายิ่ง จนแทบจะกู่ร้องออกมา
“ข้าบอกแล้ว ฉินอ๋องจะมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทได้อย่างไร ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นมันเป็นคำเล่าลือมั่วซั่วอันใดกัน!” ทิงเสียนพ่นน้ำลายออกมา
ฉินไชได้ยินก็หุบยิ้มลง คิดไปถึงเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะสั่งให้ตนทำเมื่อครู่ มองนางแวบหนึ่ง เมื่อครู่นางสั่งให้ตนไปประตูเจิ้งหยางเพื่อหาบัณฑิตของหอหนังสือท่ามกลางเหล่าขุนนางที่มาส่งพระวิญญาณของฮ่องเต้ หลบสายตาผู้คนแอบดึงคุณชายน้อยสกุลอวิ๋นมาด้านข้าง ทำตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นสั่ง ฉินไชถลกแขนเสื้อคุณชายน้อยขึ้น ทิ่มเข็มลงไปดูดเลือดขึ้นมากักเก็บไว้ในเข็ม จากนั้นพอกลับมาก็ส่งให้องครักษ์ซือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อด้านในผ้าคลุมผืนบาง ชาตินี้ล้วนไม่เคยอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้มาก่อนเลย ยามนี้ในที่สุดก็นับว่าวางใจลงได้แล้ว นางทำเพียงแอบตบมือฉินไชเบาๆ บ่งบอกว่าไม่ต้องพูดอันใดมาก
ยามนี้ไม่อาจผิดพลาดได้เด็ดขาด ต้องได้หลักประกันอย่างมั่นคงเต็มร้อย ดังนั้นจึงจำต้องใช้เลือดของน้องชายมาแทน
ฉินไชพยักหน้า เรื่องนี้ต่อให้เน่าอยู่ในท้องก็มิอาจพูดออกมาแน่นอน
ทางด้านนั้น เจี่ยไทเฮามองไท่จื่อแวบหนึ่ง หันหน้าไปมองตรงไปเบื้องหน้า “ขุนนางที่รักทุกท่านเห็นกับตาแล้วหรือไม่ ไม่มีการคาดเดาใดๆ ต่อฐานันดรขององค์ชายแห่งต้าเซวียนแล้วกระมัง”
“ฉินอ๋องเป็นองค์ชายแท้ๆ แห่งต้าเซวียนของเราจริง กระหม่อมจะไม่สงสัยคิดมากอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางเอ่ยขึ้นนำ คนอื่นๆ เห็นหลักฐานก็เห็นด้วยกับตามกันมา
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็พอเท่านี้ หากภายหน้ามีองค์ชายปลอมอันใดอีก หรือมีคำนินทาครหาสงสัยในฐานันดรขององค์ชายทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียงอีก เราจะไม่ปล่อยไว้แน่!” เจี่ยไทเฮาตรัสเสียงดังมีพลัง ตรัสตำหนิขุนนางและคนในวัง แต่ในขณะเดียวกันก็เหลือบมองไท่จื่อแวบหนึ่งด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” ทุกคนหมอบลงกับพรม ขานรับกันงกๆ
ไท่จื่อหรี่ตาลง มิได้เอ่ยคำใด
จูซุ่นมองสีหน้าของไทเฮาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ส่งพระศพไม่อาจชักช้าได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอไทจื่อนำดวงพระวิญญาณออกจากวังเถิด” แล้วมองบรรดาองค์ชายแวบหนึ่ง “องค์ชายทุกท่านวันนี้ได้พบฮ่องเต้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว กลับวังก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาองค์ชายพยักหน้ารับ กำลังจะจากไป กลับเห็นซย่าโหวซื่อถิงถลกชุดคลุมคุกเข่าลง
“ฉินอ๋องยังมีเรื่องใดอีกรึ” พระเนตรดั่งหงส์ของเจี่ยไทเฮาจ้องมอง
“แม่นางสกุลอวิ๋นถูกเรียกเข้าวังมาเป็นหมอหญิงถวายการรับใช้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน เดิมทีควรจะออกจากวังตั้งนานแล้ว แต่เพราะราชโองการของไท่จื่อ จึงไม่อาจกลับจวนได้ วันนี้ควรจะออกจากวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอึ้ง จึงได้เข้าใจที่วันนี้เขามาไม่เพียงแต่มาร่วมพิธีส่งพระศพเท่านั้น แต่มาเพื่อนำนางออกจากวังด้วย
เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว ตรัสว่า “บรรดาหมอหญิงหอจื่อกวงเดิมทีก็เรียกรวมตัวไว้ชั่วคราวอยู่แล้ว บอกว่ารอให้ชาวเป่ยเหรินกลับไปก่อนก็จะให้แยกย้ายกันไป ยืดเวลานานเพียงนี้ ไม่สมควรจริงๆ” ตรัสจบก็มองไท่จื่อ “เช่นนั้น ก็ขอไท่จื่อจัดการปล่อยตัวเถิด”
ไท่จื่อมองไทเฮานิ่ง “เรื่องนี้ หลานเกรงว่าจะจัดการมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงสีหน้าพลันเย็นชาเคร่งขรึมขึ้น น้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าไม่มั่นคงเหมือนเมื่อครู่แล้ว เอ่ยอย่างเย็นเยียบว่า “ข้าไม่เข้าใจที่ไท่จื่อตรัสมา”
————–
[1] หนึ่งก้านธูป 60 นาที