ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 247 วังโกลาหล ปกป้องชายา (3)
ทหารที่ซุ่มคอยหาโอกาสอยู่นอกประตูหน้าต่างทั้งสี่ทิศของตำหนักกระดิ่งทองก็บุกทะลุหน้าต่างออกมา คุมองครักษ์ที่จำนวนไม่มากภายในตำหนักไว้
แม้องครักษ์หน้าประตูตำหนักจะมีมาก แต่ไหนเลยจะต้านทหารที่พลังแข็งแกร่งโหดเหี้ยมไหว เพียงครู่เดียวก็ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้เสียกว่าครึ่งแล้ว และส่วนน้อยถูกฆ่าทันที ประตูหลักของตำหนักกระดิ่งทองย้อมด้วยพรมแดงของโลหิตสายใหญ่เป็นทาง ซือเหยาอันนำทหารกองกำลังหลักถือดาบเข้าไปด้านในดั่งน้ำหลากที่มิอาจต้านได้
ครู่เดียวเท่านั้น ทหารของฉินอ๋องก็เนืองแน่นเต็มตำหนักกระดิ่งทองอันกว้างใหญ่
ซย่าโหวซื่อถิงดวงตาวาวใส มองไท่จื่อแวบหนึ่ง “ดูแลรัชทายาทให้ดี”
ซือเหยาอันกับองครักษ์อีกสองนายเข้ามาหามไท่จื่อบังคับกดพระองค์ลง
ไท่จื่อเห็นเขาจะออกไปบุกวังหลังก็แย้มยิ้มออกมาอย่างงดงาม “แค่นี้ก็คิดว่าสถานการณ์สงบแล้ว เตรียมจะไปบุกวังช่วยคนแล้วรึ วังหลวงมีตำหนักหลายพันหลัง ห้องหับอีกหลายแสนห้อง อุโมงค์ใต้ดิน ห้องลับ ศาลาพักร้อนริมน้ำ และศาลาอีกมากมายยากจะนับ หากเจ้าพาทหารไปลงมือหา เจ้าคิดว่าคืนเดียวจะพลิกหาเจอนางในตอนยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ และหากหาเจอแล้ว เจ้าคิดว่าก่อนที่เจ้าจะหาเจอ แน่ใจหรือว่าจะมิได้เป็นศพไปแล้ว!” เสียงหัวเราะยกใหญ่เข้าสู่โสตประสาท เย็นเยียบเสียจนน่าตกใจ
ซย่าโหวซื่อถิงตระหนกขึ้นมา หยุดฝีเท้าลง ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องอยู่นอกตำหนัก พร้อมกับเสียงโหยหวนดังขึ้นมาในฉับพลัน และเสียงร่างกายล้มลงกับพื้น ทำให้เหล่าองครักษ์รีบวิ่งออกไป
ในลานกว้างนอกตำหนักกระดิ่งทอง ลูกธนูแหลมคมติดไฟพุ่งทะยานมากลางอากาศ แหวกราตรีอันมืดมิดมา ยิงโดนคนในกองทัพ ทหารแต่ละคนบาดเจ็บล้มลงกับพื้น ส่วนที่เหลือก็สถานการณ์วุ่นวายไปหมด หลบไปพลาง เงยหน้าหาคนซุ่มยิงไปทั่วทิศ
จนใจที่ยามราตรีลมแรงหนัก ท่ามกลางลมโหมพัด ไฟในกองทัพส่วนใหญ่ดับลง จึงมองเห็นไม่ชัดว่าธนูลอยมาจากตำแหน่งไหน
“ฉินอ๋อง มาจากเขาวั่นโซ่ว...บนเขามีพลธนูซุ่มอยู่พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารบนบันได้ยืนอยู่สูง จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน เขามองไปตามธนูที่ลอยมาจนเจอต้นทาง แล้วเอ่ยร้องขึ้นอย่างตกใจ
มิน่าเล่าจึงได้ยิ้มแย้มอย่างสบายพระทัยนัก ที่แท้ก็เตรียมการไว้เพียบพร้อมแล้วนี่เอง จิ่งหยางอ๋องไม่มา ยังมีมือธนูซุ่มโจมตีอยู่บนที่สูงเลียบตามนอกวังหลวง
มิน่าเล่าในวังคืนนี้จึงมีเพียงองครักษ์ ทหารของไท่จื่อไม่เห็นไปตั้งครึ่งหนึ่ง เกรงว่าคงซุ่มซ่อนอยู่บนเขาวั่นโซ่วตั้งนานแล้ว
ซย่าโหวซื่อถิงทราบถึงหลุมพรางอีกอย่างของพระองค์แต่แรกแล้วจึงไม่ตกใจ หัวเราะเสียงเย็นเยียบพลางหันไปมองไท่จื่อแวบหนึ่ง เห็นพระองค์แม้จะถูกซือเหยาอันกดไว้แน่น แต่มุมโอษฐ์กลับหยักยกเป็นรอยยิ้มหยอกล้อ “เจ้าสาม หากข้าเป็นเจ้าจะรีบออกจากวังเพื่อลดการสูญเสียบาดเจ็บ มิฉะนั้นพอถึงวันรุ่งขึ้น กองกำลังเสริมของเมืองหลวงและต่างแดนมากันแล้ว ล้อมเขตพระราชฐานแห่งนี้เอาไว้ ต่อให้พวกเจ้าติดปีกก็ไม่รอดแล้ว!”
ศัตรูอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง ซ้ำยังเป็นที่สูงอีก ต่อให้รู้ว่ามือธนูซุ่มซ่อนอยู่ที่ใด ก็ไร้หนทางโต้กลับ
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าไปตะโกนว่า “ถอย ไปหลบบนระเบียงทั้งสองฟากของตำหนัก!”
ทหารส่วนที่เหลืออยู่บนบันไดหินนอกตำหนักได้ยินก็พากันถอยทัพ แยกย้ายกันไปรอบด้าน หาที่กำบังหลบการโจมตีชั่วคราว ธนูที่พุ่งมาให้วุ่นกลางอากาศในที่สุดก็หยุดลง
ลานกว้างด้านนอกตำหนักกระดิ่งทองศพกองเกลื่อนกลาดหลายสิบศพ ทหารที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บจากธนู อีกทั้งยังมีธนูไฟที่ยังไม่มอดดับลุกไหม้อยู่
“ดูท่าแล้วเจ้าเลือกที่จะอยู่ในวังต่อ เสียเวลาชีวิตอยู่ถึงรุ่งเช้าให้คนมาจับกุมเจ้าสินะ” ไท่จื่อส่ายหน้าอย่างเสียดาย แม้ว่าจะไม่เห็นว่าด้านนอกวุ่นวายพลิกฟ้าตลบดินเพียงใด แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่ายามนี้ทหารฉินอ๋องเหมือนสุนัขที่โดนปิดประตูรุมตี ดูแลตัวเองกันไม่ได้
ซย่าโหวซื่อถิงหันหลังเดินกลับไปในตำหนักสองสามก้าว ดึงส่วนหน้าของเสื้อไท่จื่อขึ้น “จะไม่ส่งตัวนางมาจริงๆ หรือ”
เหนียนกงกงโผเข้ามา “ฉินอ๋องอย่าได้…” ยังไม่ทันเอ่ยจบก็โดนเขาถีบกระเด็นออกไป
ไท่จื่อเห็นเขาดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ลมหายใจหนัก สัมผัสถึงแรงที่มือเขาหนักขึ้น กระดูกของพระองค์แทบจะแตกเป็นเสี่ยง ก็ตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าเป็นหนามยอกอกของเสด็จพ่อ ข้าเป็นรัชทายาทที่รับตำแหน่งต่อ จำต้องสืบสานตามคำสั่งเสียของเสด็จพ่อ ไม่อาจปล่อยเจ้าไว้ได้…นางติดตามเจ้าแล้ว…แค่กๆ ก็นับว่าโชคร้าย…”
แรงที่มือหนักมากขึ้น กระดูกลั่นดังกร๊อบ ไท่จื่อลมหายใจติดขัด สีหน้าแดงก่ำแล้วค่อยๆ ม่วงคล้ำ
“ท่านอ๋อง” ซือเหยาอันมาห้ามไว้ ยังไม่ทันหาเหนียงเหนียงพบเลย ไท่จื่อไม่อาจตายได้ อีกทั้ง หากไท่จื่อสิ้นลมในคืนนี้ไป ท่านอ๋องก็คงต้องกลายเป็นกบฏในสายตาเหล่าขุนนางแน่
ซย่าโหวซื่อถิงคลายนิ้วแต่ละข้อๆ ลง หิ้วไท่จื่อขึ้นมา แล้วโยนให้นั่งลงตรงข้ามกับโต๊ะเล็ก พลางหันหลังกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับพระองค์
“ทำไมรึ” ไท่จื่อคลายคอเสื้อออก หอบหายใจหลายเฮือก ทว่ากลับยิ้มตรัสขึ้นว่า “ยังมีอันใดจะพูดกับข้าอีกรึ”
หากแต่เห็นแววตาของบุรุษตรงข้ามแฝงความดูถูกไว้ “ไท่จื่อทรงลืมแล้วหรือ เข้าวังมาคืนนี้ กระหม่อมมาเพื่อรายงานสถานการณ์ทางการทหาร ยามนี้ถึงเวลาทูลแล้ว”
ไท่จื่อเยาะเย้ยว่า “โอ้ มีให้รายงานจริงๆ รึ”
ซย่าโหวซื่อถิงสองแขนค้ำโต๊ะไว้ โน้มกายลงมาเอ่ยว่า “เฮ่อเหลียนอวิ่นยามนี้ยังไม่ออกจากชายแดนต้าเซวียนไป”
รอยยิ้มไท่จื่อแข็งค้าง
“ท่านว่า หากรัชทายาทเหมิงหนูสิ้นลมในดินแดนต้าเซวียน ฮ่องเต้เหมิงหนูจะเปิดศึกกับต้าเซวียนภายในกี่วันกันนะ”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าไท่จื่อสั่นกระตุก เขากำลังจะลอบสังหารเฮ่อเหลียนอวิ่นภายในแคว้น เอาปัญหานอกมาข่มขู่พระองค์! ทว่าครู่ต่อมา กลับสงบสติอารมณ์ให้มั่นคงได้ “ฉินอ๋องกำลังขู่ข้ารึ ทหารของเจ้าทั้งหมดกลับเมืองหลวงมาแล้ว ทหารและองครักษ์ที่คุ้มกันไปส่งเฮ่อเหลียนอวิ่นมีเป็นกอง ใครจะไปทำร้ายเขาได้”
“ทหารของกระหม่อมกลับมา แต่ยังมีคนอื่นแอบตามชาวเหมิงหนูอยู่ด้านหลังห่างๆ” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ย “กระหม่อมส่งจดหมายออกไป คืนเดียวก็สามารถทำให้หัวเฮ่อเหลียนอวิ่นหลุดจากบ่าได้ ไม่ทราบว่าพระองค์ที่เป็นอุปราช มีเวลาตระเตรียมหรือไม่ จะสามารถปกป้องชาติบ้านเมืองเอาไว้ได้หรือไม่”
เมื่อหลายวันก่อนเขาได้สั่งให้สิบแปดครัวเรือนในสวนแอปริคอตออกจากเขา ดึงแม่ทัพเก่ามาเป็นพวกตน ให้ซือเหยาอันรับตัวแม่ทัพทัวป๋า เย่ว์อู่เหนียงและสามีมาจากหมู่บ้านสกุลเกา ยามนี้ ทัวป๋าจวิ้นได้พาทหารสิบแปดครัวเรือนติดอาวุธเบาขึ้นเหนือไป
“เสียสติ เจ้ามันคนเสียสติ” ไท่จื่อสีหน้าพลันขาวเผือด
“เช่นกันนั่นล่ะ” ดวงตาของเขาเย็นเยียบ รอแค่คำตอบของพระองค์คำเดียวเท่านั้น
ซือเหยาอันกลับตกใจ ตอนนั้นได้ยินท่านอ๋องสั่งให้แม่ทัพทัวป๋าขึ้นเหนือ ก็คิดว่าแค่ตั้งค่ายที่แดนเหนือเพื่อช่วยเหลือ หลังจากคืนนี้ท่านอ๋องเข้าวังมาเจรจาต่อรองกับไท่จื่อแล้ว แอบรับตัวเหนียงเหนียงออกจากเมืองหลวง จากนั้นก็ซ่อนตัวที่แดนเหนือ ไม่กลับมาเมืองหลวงอีก หนึ่ง ไม่อาจให้เรื่องที่ชิงตัวคนที่ต้องร่วมฝังถูกเปิดเผยได้ สอง ห่างไกลจากราชสำนักและวังหลวง ไม่แย่งชิงต่อสู้กับไท่จื่อ และสามารถลดโทสะที่ไท่จื่อมีในวันนี้ลงไปได้ด้วย เรื่องราวก็จะค่อยๆ สงบลง
ทว่ายามนี้ได้ฟัง ซือเหยาอันจึงได้รู้ว่าหากเจรจาไม่สำเร็จ ท่านอ๋องก็มีแผนที่ลึกล้ำกว่านี้อยู่! การกระทำนี้เหมือนดึงฟืนที่กำลังเผาออกจากใต้หม้อ[1] ตัดหนทางเดินของตัวเองจนสิ้น ต่อให้ใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ไท่จื่อสำเร็จ ช่วยเหนียงเหนียงออกมาได้ ทั่วทั้งต้าเซวียนก็จะมองท่านอ๋องเป็นตัวการที่ทำลายชาติอยู่ดี!
เขาดึงผู้เป็นนายไว้ “ท่านอ๋อง ไม่อาจ…”
ในขณะนั้นเอง เสียงเกือกม้าก็ควบดังมาจากตำหนัก พร้อมเสียงดังลั่น ซือเหยาอันสีหน้าพลันเปลี่ยน ออกจากตำหนักไปดูก็เห็นมีคนนำทหารเข้าเขตพระราชฐานมา ยามนี้ทั้งคนทั้งม้าจำนวนมากหยุดอยู่นอกตำหนักกระดิ่งทอง
บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งคลุมเสื้อกันลมลงจากม้ามา เหลือบมองศพทหารบนลานกว้างและศพองค์รักษ์นอกตำหนักแวบหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึก ประสานมือเอ่ยอยู่ด้านล่างบันไดว่า “ไท่จื่อ ฉินอ๋อง กระหม่อมขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
————–
[1] ดึงฟืนที่กำลังเผาออกจากใต้หม้อ แก้ปัญหาที่ต้นตอ