ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 248 ตำแหน่งเหม่ยเหริน (4)
“แต่ว่าอันใด” อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะวางใจลงก็กังวลขึ้นมาอีกแล้ว
“แต่ว่าผู้บัญชาการเฉินผู้นั้นบอกว่าไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้ ทูลขอลดตำแหน่งด้วยตัวเอง ย้ายงานเป็นองครักษ์ในวังเป็นการลงโทษ ไท่จื่อก็ทรงอนุญาต ให้เขาเข้าวังมาเป็นหัวหน้าองครักษ์” ชูซย่าเอ่ย
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พูดอันใดอีก ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงแค่เขาไม่เป็นไรก็พอ รอจนเจิ้งหวาชิวออกไป ชูซย่าก็เข้าไปหาอย่างห้ามไม่ไหว ดึงมือนางไว้ “ท่านอ๋องรู้ว่าเหนียงเหนียงปลอดภัยต้องดีใจแน่เลยเจ้าค่ะ เหนียงเหนียงต้องรีบพักรักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังคำปลอบโยนของนางด้วยจิตใจเหม่อลอย ครู่ต่อมาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ชูซย่า เจ้าเพิ่งจะเข้าวังมา มีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ ไปหาหัวหน้านางกำนัลทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ก่อนเถิด”
ชูซย่าเห็นสีหน้านางอ่อนล้าก็พยักหน้า เลิกม่านขึ้นแล้วออกไป
ภายในห้องว่างเปล่า ในชั่วขณะที่แผ่นหลังของชูซย่าอ้อมม่านหายลับตาไป ภายในห้องเงียบงันขึ้น ในที่สุดเปลือกตาก็ห่อหุ้มน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ลำคออวิ๋นหว่านชิ่นขมฝาด ร้องไห้ออกมาเบาๆ
เขาจงใจทิ้งชูซย่าไว้ให้นางโดยเฉพาะ แต่ตัวเขากลับจากไปแล้ว…เหตุผลที่เขาต้องไปนางเข้าใจ แต่คิดจะทำใจยอมรับได้กลับเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
นิ้วเรียวเกี่ยวเข้าไปในผ้าปูเตียงอย่างแน่นหนา นางคุกเข่าบนเตียง ของเหลวเย็นเยียบบนดวงหน้างามหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไร้เสียง เพราะกลัวจะทำให้คนด้านนอกตกใจ จึงยับยั้งเสียงสะอื้นเอาไว้ในลำคอ เพียงไม่นาน น้ำตาก็เปียกชุ่มส่วนหน้าของสาบเสื้อและปอยผมข้างแก้ม
ด้านนอกหน้าต่าง เงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่เนิ่นนาน พระองค์มาได้สักพักแล้ว เห็นภาพคนงามร่ำไห้อยู่นานทีเดียว
น้ำตาของสตรีไม่น่าหวงแหนเสียดาย สตรีที่ชอบใช้น้ำตามาเป็นอาวุธมีมากมายนัก
ทว่าพระองค์ไม่เคยเห็นนางร้องไห้มาก่อน นางเหมือนเป็นคนที่เกิดมาทำให้คนอื่นร้องไห้ได้มากกว่า หากแต่ยามนี้ นางกลับร้องห่มร้องไห้อย่างแสนสาหัสเพื่อผู้ชายคนนั้น
ร่ำไห้อย่างฝืนกลั้น ระงับความเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้ร่างอรชรสั่นเทาเล็กน้อย นางร้องไห้จนปลายจมูกแดง เปลือกตาบวมเป่ง ผมงามก็สยายลง เม้มปากไว้เน้นเพราะกลัวว่าจะร้องดังเกินไป
ท่าทางน่าสงสารอย่างเห็นได้ชัด ทำให้บุรุษผู้นั้นอยากจะพุ่งเข้าไปด้านใน บอกนางว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำได้ พระองค์ก็ทำได้เช่นกัน พระองค์ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนๆ นั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่ด้อยกว่าก็แค่พระองค์ช้าไป ไม่ควรกังวลเกินไป ไม่ควรรีรอให้กำจัดฮองเฮาก่อนแล้วค่อยสารภาพความในใจแก่นาง
แต่อย่างไรเสียก็สายเกินไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะลบล้างความทรงจำนางแล้วเริ่มต้นใหม่ มิฉะนั้นแล้ว แค่มองน้ำตานางในเวลานี้ พระองค์ไม่มีทางชนะผู้ชายคนนั้นได้เลย
เงียบงันไปนาน พระองค์เลิกม่านขึ้น ก้าวเข้าไป
ฝีเท้าของพระองค์ทำให้นางตกใจจนเงยหน้าขึ้น พอเห็นผู้มาเยือนก็เช็ดน้ำตาไป หยิบผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาด แล้วลงจากเตียงมา ทว่ารักษาระยะห่างกับพระองค์ไว้ น้ำเสียงเคารพนบนอบ และไม่เย็นชามากนัก “ไท่จื่อเสด็จมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ให้คนแจ้งสักคำเล่าเพคะ”
“เห็นเจ้าร้องเสียสบายอารมณ์ ไหนเลยจะกล้าทำลายอารมณ์อันสุนทรีของเจ้าได้” ยังคงเป็นน้ำเสียงเอ้อระเหยแฝงความดื้อรั้นเอาไว้ดั่งวันวาน
ทว่ายามนี้ ท่าทางและการกระทำหยอกเย้าของพระองค์ก็หลอกใครไม่ได้อีกแล้ว ลำคอนางขยับไหว ทูลขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าไท่จื่อจะให้หม่อมฉันออกจากวังเมื่อใดหรือเพคะ”
“ออกจากวังรึ ไปไหนเล่า ขึ้นเหนือไปหาเจ้าสามรึ หรือว่าหาบ้านในเมืองหลวงอยู่คนเดียว รอเขากลับมา” พระองค์เห็นนางตั้งตัวตรงอย่างมีพละกำลังและกล้าหาญ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่เพิ่งจะหายบาดเจ็บ ไม่ยอมเข้าใกล้คน พระองค์ถลกชุดคลุมนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ย้อนถามนางขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบงันไป ได้ยินเสียงของพระองค์หนักเข้มขึ้น “ข้าแบกความกดดันเป็นพันเท่าที่ขัดราชโองการ ไม่เคารพและอกตัญญู แอบเปลี่ยนตัวพวกเจ้าอย่างเงียบๆ ต่อแต่นี้เจ้าก็ควรฟังข้าทุกคำ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกัดริมฝีปากเบาๆ “หม่อมฉันทราบว่าไท่จื่อทรงช่วยหมอหญิงห้าคนนั้นเพราะหม่อมฉัน เรื่องนี้ขอบพระทัยไท่จื่อยิ่ง”
“เรื่องแค่นี้ อย่างไรเสียก็ขัดปณิธานก่อนสวรรคตของเสด็จพ่อไปแล้ว เปลี่ยนตัวคนหนึ่งเป็นการขัดราชโองการ เปลี่ยนตัวหกคนก็ขัดราชโองการอยู่ดี” พระองค์ตรัสอย่างหยอกล้อแกมเหนื่อยหน่าย
“พวกนางถูกส่งออกจากวังในคืนนั้น ก็เพราะกลัวว่าจะถูกคนเห็นเข้า ทำให้เรื่องสับเปลี่ยนศพเปิดเผย หม่อมฉันก็ไม่อาจอยู่ในวังต่อได้อีกเช่นกัน ดังนั้นขอไท่จื่อโปรดให้หม่อมฉันออกจากวังให้เร็วที่สุดด้วยเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นทูลอย่างนิ่งสงบ
ไท่จื่อตรัสเบาๆ รวดเดียวว่า “สถานการณ์ของเจ้ากับพวกนางแตกต่างกัน พวกนางห้าคน ภูมิลำเนาเดิมล้วนเป็นประชาชนคนธรรมดาต่างถิ่น ส่งกลับบ้านไปก็ไม่มีใครรู้ แต่เจ้าน่ะ ยามนี้ออกจากวังไป ไม่ว่าจะกลับไปเป็นพระชายาข้างกายของฉินอ๋องอีกครั้ง หรือหาที่พักใหม่อาศัยอยู่ ล้วนถูกคนรู้เข้าทั้งนั้น ถึงเวลานั้นก็เสียแรงกันเปล่าแล้ว เจ้าทำได้แค่อยู่ในวัง ข้าจึงจะสามารถปกป้องเจ้าได้ จึงจะได้ไม่ทำให้เจ้าสามต้องเสียแรงทุ่มสุดชีวิตสุดกำลังเพื่อช่วยเจ้าเอาไว้ไปเปล่าๆ”
“หม่อมฉันอยู่ในวังถูกคนพบเข้า ทำให้คนทราบว่าไท่จื่อสับเปลี่ยนตัวคนที่ต้องฝังร่วม สุดท้าย หม่อมฉันก็ต้องตายเหมือนกัน ทำให้ไท่จื่อต้องโดนผลกระทบไปด้วยอยู่ดี” อวิ๋นหว่านชิ่นอารมณ์พุ่งสูงขึ้น คิ้วงามขมวดมุ่น เวียนศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง นางจับโต๊ะกำยานข้างกายเอาไว้เพื่อพยุงตัว จึงได้สงบลง
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรกังวล มิใช่เจ้า” ไท่จื่อดวงเนตรขยับไหว ทันใดนั้นก็ตรัสเสียงดังขึ้น “ส่งเข้ามาเถิด”
ผ้าม่านเลิกขึ้น เหนียนกงกงพานางกำนัลสองคนถือถาดเดินเข้ามาตามๆ กัน ในถาดเป็นอาภรณ์หรูหราและมงกุฎมุกใหม่เอี่ยมและประณีต
นางกำนัลวางอาภรณ์ลง เหนียนกงกงโบกมือบ่งบอกให้ออกไป
“นี่คืออันใดหรือเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีแรงจะลุกขึ้นดูให้ละเอียด รู้สึกเพียงลมขุ่นๆ ตีขึ้นจากหน้าอกมาอีกรอบ ตั้งแต่วันที่ส่งพระศพฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ไม่มีอันใดตกถึงท้องเลย แต่ยามนี้ดันเหมือนได้กินอิ่มอย่างไรอย่างนั้น ในกะเพราะบวมอิ่ม
“หากเป็นสนมวังหลังของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ย่อมหลบหลีกเรื่องฝังร่วมไปได้ มีชีวิตอยู่ในวังหลวงได้อย่างเปิดเผย ไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิ” ไท่จื่อตรัสออกมาจากโอษฐ์ทีละถ้อยทีละคำ
เหนียนกงกงพลันเดินเข้ามาข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่นสองสามก้าว กุมแขนเสื้อค้อมกายลง “แผ่นดินไม่อาจร้างผู้ปกครองได้แม้แต่วันเดียว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จยังสุสานแล้ว ต้นเดือนหน้า ไท่จื่อจะทรงเลือกวันขึ้นครองราชย์ ขอแสดงความยินดีกับอวิ๋นเหม่ยเหริน[1]ล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
เหม่ยเหรินอันใดกัน อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอึ้ง ได้ยินไท่จื่อตรัสว่า “ตำแหน่งเหม่ยเหรินนี้อาจจะต่ำไปจริงๆ แต่เดิมทีเจ้าเป็นพระชายา แต่งเข้าวังครั้งที่สอง ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนนอกได้ แรกเริ่มจึงไม่ควรแต่งตั้งให้สูงเกินไปนัก ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เจ้าอยู่ในวังหลวงก็เพียงเพื่อรักษาชีวิต น่าจะไม่สนใจตำแหน่งสูงอันใด รอให้นานวันไปก่อน ข้าจะคิดหาวิธีเลื่อนขั้นให้เจ้า…”
“เลื่อนขั้นอันใด! ใครให้ท่านเลื่อนขั้น! ข้าบอกว่าอยากจะเป็นสนมในวังหลังตั้งแต่เมื่อใดกัน!” โทสะโหมขึ้นมา พร้อมกับน้ำย่อยก็ถาโถมขึ้นมา อวิ๋นหว่านชิ่นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็รีบเดินออกไปจากที่นี่เลย! อย่าว่าแต่ทหารสามพันนาย ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าสามพาทหารเข้าวังมาสามหมื่นนายข้าก็หมดหนทางจะปกป้องเจ้าแล้ว!” ไท่จื่อก็ไม่บีบบังคับเช่นกัน
“พระชายา ยามนี้ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว เดิมทีท่านต้องร่วมฝังถวายฮ่องเต้พระองค์ก่อน ซ้ำยังเป็นพี่สะใภ้ไท่จื่อ ไท่จื่อสับตัวท่านรับเข้าวังหลัง พระองค์เองก็ต้องแบกรับแรงกดดันเช่นกัน ซ้ำยังต้องโดนคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์! ฉินอ๋องบุกเข้าวังต้องห้ามในยามวิกาล กว่าจะปกป้องรักษาชีวิตท่านไว้ได้ ท่านก็คิดเสียว่าไม่ทำให้การเสี่ยงชีวิตครานี้ของฉินอ๋องต้องสูญเปล่าเถิด…” เหนียนกงกงกระซิบ
“เจ้าพูดถูก” อวิ๋นหว่านชิ่นมองเหนียนกงกง สายตาขยับไหว เหลือบมองไปทางไท่จื่อแวบหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี เอ่ยอย่างประชดประชันว่า “ฉินอ๋องกับไท่จื่อมาถึงขั้นนี้กันแล้ว ก่อนฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสวรรคตยังวางแผนทำร้ายเขา สมรู้ร่วมคิดกับไท่จื่อวางแผนใช้หม่อมฉันมาล่อเขาเข้าวังเพื่อรวบจับจัดการ ยามนี้ เขาถูกไท่จื่อบีบบังคับจนออกจาเมืองหลวงไปแล้ว ข้าไปเป็นคนในวังหลังของไท่จื่อเพื่อให้ยังมีชีวิตรอดต่อไป ต่อให้ไม่กลัวว่าคนอื่นจะนินทาครหา แต่ข้าเองกลับรู้สึกขายหน้า ปกป้องรักษาชีวิตไปจะมีประโยชน์ใดหรือ”
—————-
[1] เหม่ยเหริน ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ขั้น 4 ชั้นเอก เหม่ยเหริน แปลว่า ผู้มีความงดงาม