ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 249 ปกป้องครรภ์ (1)
ไท่จื่อสีพระพักตร์แปรเปลี่ยน ระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ตบมือลงบนโต๊ะ นึกไม่ถึงว่าจะเหมือนเด็กที่โดนการรังแกไม่ได้แม้แต่น้อยเช่นนี้ ทรงลุกขึ้นมาโดยพลัน “ในใจของเจ้า ฉินอ๋องเป็นบัวหิมะเขาเทียนซาน ข้ากลับดำมืดเสียกว่าหมึกในแท่นฝนอีกใช่หรือไม่! ได้ เช่นนั้นหากเจ้าอยู่ในตำแหน่งเดียวกับข้าจะทำเช่นไร หรือเห็นเจ้าสามเร่งรุดมาไม่หือไม่อืออย่างไม้กระดาน ฐานันดรของเขาหลอกลวงไทเฮาและขุนนาง ความจริงแล้วเจ้ากับข้าล้วนกระจ่างแจ้งดี เดิมทีก็ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว! เจ้าสามารถรับประกันได้ว่าเขาเป็นชาวต้าเซวียนแน่นอนรึ เฮอะ กระทั่งพระสนมเอกเฮ่อเหลียนก็เกรงว่ายังไม่อาจรับประกันได้เลยกระมัง! เสด็จพ่อจะสิ้นลมยังไม่วางพระทัย ข้าจะปล่อยปละละเลยไม่สนใจให้องค์ชายอย่างเขาที่อาจจะเป็นชาวเป่ยเหรินได้มีอำนาจมากขึ้นได้อย่างไร! เฮอะ เขาถูกข้าบีบบังคับให้ออกจากเมืองหลวงอย่างนั้นรึ พอได้แล้วกระมัง เจ้าอย่าได้พูดเสียเขาได้รับความไม่เป็นธรรมถึงเพียงนี้เลย เขาฉลาดเฉลียวจะตาย! ออกจากเมืองหลวงไป หลบการปราบปรามของข้า เขายังจะขาดใจได้รึ! ถุย! แค่คิดก็โมโหแล้ว หากมิใช่จิ่งหยางอ๋องพาคนกลุ่มหนึ่งมาถวายฎีกา เจ้าคิดว่าข้าอยากจะปล่อยเขาไปหรือไร…”
เหนียนกงกงมองไท่จื่อแวบหนึ่ง ทนไม่ไหวอีกตอ่ไป “พระชายา ความจริงแล้ว…ต่อให้ฉินอ๋องไม่มาข่มขู่ ไท่จื่อก็ไม่อาจทนมองท่านถูกร่วมฝังได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นแล้ว ศพเหล่านั้นที่มาแทนที่พวกท่านจะหาได้ทันเพียงนี้ได้อย่างไร ไท่จื่อจัดเตรียมเอาไว้แต่แรกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!” ไท่จื่ออยากจะจับฉินอ๋องเอาไว้ในคราวเดียว เหตุใดจะคิดให้พระชายาตายตกไปจริงๆ วันนั้นหลังจากส่งพระศพฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้ว กลับมาตงกง ไท่จื่อก็สั่งให้เขาไปจัดการแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นตกตะลึงโดยพลัน สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
เห็นนางยังดื้อดึงอยู่ ในที่สุดไท่จื่อก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ก้าวเข้าไปเบาๆ สองสามก้าว ขยับไปใกล้ข้างหูนาง “ต่อให้มิใช่เพื่อฉินอ๋อง เจ้าก็ต้องทำเพื่ออีกคนอยู่ดี อยู่ในวังเพื่อปกป้องชีวิตนี้”
ย่างเข้าสู่คิมหันตฤดู คลอเคล้าไปด้วยฝนห่าใหญ่ ไอร้อนเข้มข้นขึ้นทุกวัน เหมือนว่าฤดูกาลผันผ่านชั่วข้ามคืน กลางวันยาวนานกลางคืนสั้นลง พฤกษานานาพันธุ์แย้มบาน ทุกสรรพสิ่งเขียวขจี เหล่าคนในวังต่างทยอยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นฤดูร้อนอันบางสบาย
แม้ว่าหอซูอิ่งจะอยู่ติดกับตำหนักเย็น แต่ฤดูกาลนี้กลับกำลังพอดี สบายกว่าตำหนักอื่นๆ มากนัก เพราะอยู่ติดทะเลสาบ ลมธรรมชาติบนผืนน้ำพัดโชยความเย็นมาให้ ไม่ต้องใช้คนพัดโบกหรือไปเอาน้ำแข็งจากถ้ำน้ำแข็งมาวางไว้ในห้อง ชูซย่าพรูลมออกมา เหมาะสำหรับร่างกายของนายหญิงยามนี้กว่ามากนัก
อยู่ที่นี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นอารมณ์สงบลงได้นานแล้ว เพียงแค่เหลือบมองท้องที่ยังไม่นูนชัดเป็นบางคราเท่านั้น นางยังคงตกอยู่ในความฝันอยู่บ้าง ใจลอยอยู่นานจึงได้แจ่มชัดขึ้นว่ามีชีวิตน้อยๆ อยู่ในนี้จริงๆ
น่าขันที่ตัวนางเองถือตำราแพทย์มาศึกษาเรียนรู้ทั้งวัน เข้าวังยังมาเป็นหมอหญิงรักษาพระองค์ นึกไม่ถึงว่าจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลยสักนิด จนกระทั่งวันนี้ ก็ประมาณสามเดือนกว่าเข้าไปแล้ว นับวันดูก็เป็นคืนวันนั้นก่อนที่วังหลวงจะออกราชโองการมาให้ที่จวนอ๋องเรียกตัวนางเป็นหมอหญิงรักษาพระองค์พอดี
ก่อนหน้านี้รดูมิได้มาอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็มาเร็ว บางคราก็ช้า แม้ว่าองค์ชายสามจะเร่งเร้าให้กินเขากวางทุกวันเพื่อปรับร่างกาย แต่ก็ยังมาไม่ปกติ ดังนั้นรดูจึงมาช้าเดือนกว่า นางก็ไม่เอามาใส่ใจ ต่อมามีเรื่องราวมากมายนัก จึงยิ่งไม่มีเวลามาคิดอันใดมาก กระทั่งวิ่งเข้าวิ่งออกในระหว่างทำงานถวายการรับใช้ รมควันเจอไฟ ซ้ำยังเกือบจะโดนผ้าต่วนรัดคอตายอยู่ในตำหนักสำเร็จโทษอีก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เด็กคนนี้กลับยังไม่ระย่อท้อถอย ยังคงแทรกผืนดินขึ้นมา ฝังรากลงไปอย่างมั่นคง
พลังชีวิตของเขาเข้มแข็งอย่างยิ่ง เช่นนั้นนางก็ต้องปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ให้ดีเช่นกัน ให้เหมือนที่องค์ชายสามปกป้องชีวิตนาง
จะไม่ให้เหมือนในชาติก่อนอีกเด็ดขาด กินยาทำร้ายร่างกายเสียครรภ์ไปอย่างเลอะๆ เลือนๆ พอถึงยามแท้งก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวนางเองท้อง ก่อนหน้านี้ ทุกคราที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ยามนี้คิดขึ้นมาทุกครา ความหวังในใจกลับทะยานสูงขึ้น การสูญเสียในชาติก่อนกลับทำให้ในชาตินี้ยิ่งเติมฟืนเพิ่มไฟ ให้นางยิ่งมั่นใจว่าต้องทำให้เขาคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ทำให้ตัดสินใจว่าไม่อาจสูญเสียไปอีกครั้งได้
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นี่คือลูกของเขา นางกับชีวิตน้อยๆ ในท้องนี้ต้องรอคอยเขากลับมาด้วยกัน
ตี้อ๋องในชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็ไม่ด้อยกว่าอย่างแน่นอน นางเชื่อในตัวเขาว่าต้องกลับมาเยี่ยจิงแน่ ต่อให้เวลาจะยาวนานสักหน่อย นางก็รอได้
เพราะก่อนหน้านี้อารมณ์ทะยานสูงขึ้น และมักจะไม่มั่นคง บางครั้งท้องน้อยก็เจ็บขึ้นมาบางเบา กลัวว่าจะอุ้มท้องได้อย่างไม่มั่นคง มีอะไรขาดตกบกพร่องไป ในระยะนี้อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจัดการอารมณ์ ดูแลฟูมฟักอยู่ในห้องของหอซูอิ่งอย่างดีตลอด กระทั่งลานหอยังไม่ออกไป
ไท่จื่อเห็นว่าในที่สุดนางก็ไม่โวยวายแล้ว จึงสบายใจขึ้น แม้เด็กคนนี้จะมาในเวลาที่ไม่ถูกไม่ควร แต่ก็นับว่ากลายเป็นยาที่ทำให้จิตใจของนางสงบ กลายเป็นแรงผลักดันให้นางมีชีวิตอยู่ต่ออย่างสงบจิตสงบใจ ทรงให้ชูซย่าดูแลรับใช้ที่หอซูอิ่งชั่วคราว ทุกวันจะให้เหนียนกงกงมาส่งอาหารและอาภรณ์ด้วยตัวเอง ทั้งยังทรงแอบจัดเตรียมองครักษ์เงาของตงกงมาเฝ้าอยู่ด้านนอกหอซูอิ่งอย่างลับๆ ด้วย
เดิมทีกลัวว่าชูซย่าแค่คนเดียวจะไม่พอ ไท่จื่อตรัสว่าจะส่งนางกำนัลที่สนิทไว้ใจได้มาให้อีกสองคน อวิ๋นหว่านชิ่นกลับปฏิเสธ บอกเพียงว่าหากต้องเพิ่มคนรับใช้มาเพิ่มก็เรียกตัวฉีไหวเอินมาเสีย
ไท่จื่อทรงทราบว่าฉีไหวเอินเป็นขันทีคนสนิทข้างกายภายในวังของเฉินอ๋องแต่เดิม แม้จะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่วันรุ่งขึ้นตอนที่เหนียนกงกงมาส่งอาหารก็ยังส่งตัวเขามาด้วย
ฉีไหวเอินเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมิได้ถูกร่วมฝังไปด้วย แรกเริ่มก็ตกใจยกใหญ่ หลังจากทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาแล้ว ก็ร้องห่มร้องไห้พลางคุกเข่าโขกหัวอยู่หลายหน ไม่ห่างกายไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว บอกว่าแต่นี้ไปนางไปที่ใด ตนก็จะอยู่ที่นั่นด้วย จะเฝ้าคุ้มครองอวิ๋นหว่านชิ่นให้องค์ชายสามภายในเมืองหลวงเอง และพอทราบว่านางกำลังตั้งครรภ์ก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม กำลังจะเอ่ยขึ้น ชูซย่ากลับปิดปากเขาไว้ ส่ายหน้าไปมา บ่งบอกว่าเรื่องนี้ยามนี้อย่าได้เอาไปพูดที่ไหน
ฉีไหวเอินก็เรียกได้ว่ามิใช่คนโง่ ไม่นานก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ไท่จื่อใกล้จะขึ้นครองราชย์แล้ว แต่งตั้งฐานันดรให้อวิ๋นหว่านชิ่นเพื่อปกป้องชีวิตนางไว้ หากยามนี้ให้คนอื่นรู้ว่านางมีครรภ์ ไม่ว่าใครก็ล้วนเดาออกว่าเป็นทายาทของฉินอ๋อง มิใช่ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฐานันดรของเด็กคนนี้หากกระอักกระอ่วนขึ้นมา เกรงว่าจะอันตรายแน่
ฉีไหวเอินคิดพลางเงียบงันลง รีบกลืนคำพูดลงคอไป ทว่าเสียงร้องไห้กลับดังมากขึ้นกว่าเดิม นี่มิใช่จะให้ลูกชายของท่านอ๋องเรียกคนอื่นว่าพ่อหรือไร เป็นท่านอ๋องนี่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย! ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ! ชายาท่านโดนคนอื่นมาแย่งไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็กน้อยฟันยังไม่ขึ้น นางโดนเขาร้องไห้ใส่เสียจนจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาไม่น้อย เอ่ยปลอบสองสามคำ จัดการให้เขาอยู่ด้านนอกดูแลรับใช้ด้วยกันกับชูซย่า ฉีไหวเอินได้ฟังที่อวิ๋นหว่านชิ่นบอกก็ไม่ร้องแล้ว แต่กลับถามอย่างเงียบๆ ว่า “หลังจากไท่จื่อขึ้นครองราชย์แล้ว เหนียงเหนียง…จะถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบงันไป ก่อนหน้านี้ในยามที่เหนียนกงกงมาหาก็เคยบอกรายละเอียดอยู่บ้างว่าตำหนักที่พักล้วนเลือกไว้พร้อมแล้ว เหม่ยเหรินขั้นสาม ยศต่ำ จึงไม่มีตำหนักให้แยกอยู่ หากอยู่ในวังก็ต้องรวมตำหนัก พักอยู่กับสนมที่เป็นเจ้าของตำหนัก จึงให้นางพักที่หอเหยาไถภายในวังแยกออกเดี่ยวๆ
พอดีกับที่นางต้องการยิ่ง หอเหยาไถห่างไกลวังหลังมาก เงียบและสงบ ไปล่วงเกินบรรดาสตรีเหล่านั้นในตงกงที่ต้องพบกันบ่อยๆ มิได้แน่นอน นางก็แค่ยืมมุมหนึ่งของวังหลวงแห่งนี้ใช้ชีวิตสุขสงบชั่วคราวเพื่อปกป้องลูกก็เท่านั้น
คำถามของฉีไหวเอินทำเอาชูซย่าถลึงตาให้อย่างแรง อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “ฐานันดรก็เหมือนชื่อเสียงและเงินทอง เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น ไม่ว่ายามใด ข้าล้วนเป็นพระชายาของพวกเจ้าเสมอ”
ทว่าในใจกลับสะเทือนอารมณ์
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่เหนียนกงกงบอกในวันนั้นว่าอีกไม่กี่วันไท่จื่อก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว จนถึงยามนี้นางยังคงตระหนกไม่หาย