ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 249 ปกป้องครรภ์ (2)
ไท่จื่อซย่าโหวซื่อจุน จะขึ้นครองราชย์จริงๆ แล้วหรือ ตั้งแต่เจี่ยงฮองเฮาสวรรคตไป หลังไท่จื่อได้รับความคุ้มครอง นางก็รู้ได้ว่าเรื่องราวมากมายบางทีอาจจะไม่เหมือนในชาติก่อนสักเท่าใดแล้ว แต่หากซย่าโหวซื่อจุนครองราชย์ เช่นนั้นจะมีราชวงศ์จ้าวจงขององค์ชายสามหรือไม่
เช่นนั้นแล้ว ประวัติศาสตร์ในภายภาคหน้าจะวุ่นวายหรือไม่
หากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต่อจากหนิงซีฮ่องเต้เป็นไท่จื่อซย่าโหวซื่อจุนจริง นี่จะเป็นราชวงศ์ใหม่แบบใด ตัวนางเองก็ไม่รู้
เช่นนั้นแล้ว หากภายหน้าองค์ชายสามกลายเป็นผู้ครองใต้หล้า ราชวงศ์ของไท่จื่อซย่าโหวซื่อจุนที่เพิ่มขึ้นมานี้จะจัดการอย่างไร
นางไม่มีเวลามาคิดมาก วันเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำไหล
วันส่งพระศพหนิงซีฮ่องเต้ วังหลังมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ กลายเป็นรูปแบบใหม่ไปแล้ว
ชายาสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน คนที่เคยให้กำเนิดบุตรและคนที่เคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนย้ายออกจากตำหนักเดิม เข้าสู่ตำหนักไท่เฟย ตำหนักไท่ผินทางตะวันออกเฉียงเหนือของวังหลวง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไท่จื่อรับสั่งให้ถวายการดูแลสตรีของฮ่องเต้พระองค์ก่อนทุกท่านให้อยู่ดีกินดี มั่งคั่งไปตลอดชั่วอายุ
วังหลังจึงเงียบงันลง จำนวนทั้งหมดออกไป เหลือเพียงชายาสนมของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เท่านั้นที่เข้าพัก
เหล่าสตรีในตงกงกำลังกระหายที่จะวางแผนคิดคำนวณตำแหน่งของตัวเองหลังจากที่องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์
เหล่าคุณหนูลูกสาวขุนนางภายในเมืองหลวงที่ยังไม่ออกเรือนก็เหมือนมดที่อยู่บนหม้อไฟ ตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตงกงยังคงว่างอยู่ ยามนี้สตรีในตงกงมีแค่สนมไม่กี่คนเท่านั้น ปีนี้ช่วงไว้ทุกข์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่ครบกำหนด ไท่จื่อขึ้นครองราชย์ก็น่าจะยังมิได้คำนึงถึงเรื่องการแต่งตั้งสนมชายาใด แต่ปีหน้า…นั่นกลับเป็นสนามรบของบรรดาสตรีงามในตระกูลสูงศักดิ์ผู้มีความสามารถในเมืองหลวงที่คันไม้คันมืออยากจะลอง!
เมื่อลมอุ่นพัดโชยพืชพรรณและพื้นหญ้าเขียวขจี พฤกษาผลิบานในวันที่อากาศแจ่มใส แม้ว่าจะแอบพักอยู่ที่หอซูอิ่งอย่างลับๆ ไม่ย่างเท้าออกจากเรือนเลย แต่พวกอวิ๋นหว่านชิ่นกลับค่อยๆ ได้กลิ่นความคึกคักจากด้านนอก
วังหลวงเริ่มดำเนินงานการงานขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่กันแล้ว
เริ่มตั้งแต่หลังจากส่งพระศพฮ่องเต้พระองค์ก่อน เรื่องขึ้นครองราชย์ก็ถูกหยิบยกขึ้นเป็นวาระการประชุม พระราชพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินการจัดการอย่างเป็นธรรมชาติสบายๆ
แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ในแต่ละยุคแต่ละสมัยเป็นปกติที่จะขึ้นครองราชย์ในช่วงไว้ทุกข์ให้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แผ่นดินไม่อาจไร้ผู้ปกครองได้แม้แต่วันเดียว ซ้ำแดนเหนือยังมีเหมิงหนูที่คอยหาโอกาสเคลื่อนไหว จึงยิ่งต้องนั่งบัลลังก์ปกครองให้ไวขึ้น จะได้ไม่โดยคนอื่นละโมบอยากจะได้ ทว่าไท่จื่อครานี้ทรงรีบร้อนนัก ขุนนางในราชสำนักจึงอดที่จะคาดเดากันขึ้นมามิได้…หนึ่ง ไท่จื่อกลัวว่าเพราะได้รับความตกใจไม่มากก็น้อย จากการที่ก่อนหน้านี้ฉินอ๋องบุกวังในยามวิกาล ป้องกันเรื่องเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมากไป ขึ้นครองราชย์เสียแต่เนิ่นๆ ในใจจะได้สงบ สอง อาจเพราะอยากให้ฉินอ๋องเลิกคิดอย่างเด็ดขาด จดจ่อตั้งใจปกครองอยู่ที่เขตส่านซีไปเสีย ไม่ต้องนึกถึงอำนาจในเมืองหลวงอีกต่อไป
คืนก่อนวันขึ้นครองราชย์ จักจั่นร่ำร้องในป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ของคืนกลางฤดูร้อน คืนนี้ไร้ลมโบกโชยบนผืนทะเลสาบ ภายในห้องร้อนอบอ้าว ชูซย่าโบกพัดอยู่ค่อนคืน อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา
ในยามกลางวัน เหนียนกงกงยกน้ำแข็งมาให้หลายก้อน กำชับชูซย่าว่าให้เอาใส่อ่างน้ำวางไว้ในห้องเพื่อส่งไอเย็น แต่อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าจะไอเย็นจะมากเกินไป จับไข้ขึ้นมาจะส่งผลต่อลูก ยิ้มแหยๆ ไปให้ ยอมทนร้อนดีกว่า นางให้ฉีไหวเอินยกออกไป ยามนี้ นั่งอ่านตำราอยู่พักหนึ่ง จิตใจยังคงไม่อาจสงบนิ่งได้
ราตรีดึกลง ชูซย่าทิ้งพัด พิงม้านั่งยาวแบบแคร่งีบหลับไป
หลายวันมานี้ร่างกายอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ตัวแล้ว เด็กในครรภ์ไร้กังวลอย่างมาก คล้ายรู้ว่ายามนี้บิดาแท้ๆ มิได้อยู่ข้างๆ ด้วย จึงทำใจเพิ่มความวุ่นวายให้แก่มารดามิได้ นอกจากอาการวิงเวียนในตอนที่เพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์ ระยะนี้แทบจะไม่มีตรงไหนผิดปกติเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชูซย่าหลับอย่างสบายอกสบายใจ ก็ไม่อยากปลุกให้นางตื่น คลุมชุดคลุมเดินไปยังหน้าประตูด้วยตัวคนเดียว
ค่ำคืนกลางฤดูร้อนที่ไม่ร้อนช่างสั้นนัก นางเปิดหน้าต่างให้อากาศเย็นโชยพัด มีม่านไข่มุกกั้นไว้ สายลมยามราตรีโบกโชยกลิ่มหอมของดอกไม้ในลานเรือนคลอเคล้ามา เย็นสดชื่นเหลือจะกล่าว
นางสูดเอาอากาศในยามราตรีเข้าหลายหน เสียงตีกลองลอยแว่วมาเบาๆ ให้ได้ยิน
อวิ๋นหว่านชิ่นเขย่งเท้าทอดมองไปไกล ก้าวข้ามกำแพงต่ำของหอซูอิ่ง แสงไฟจากทิศเหนือลุกโชนไม่หยุด นั่นเป็นตำหนักกานเต๋อที่จะใช้ทำพิธีบรมราชาภิเษกในวันพรุ่งนี้
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในช่วงไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อน งดดนตรีรื่นเริง เหล่าคนในวังทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ ซักซ้อมพิธีตลอดทั้งคืน เจ้ากรมธรรมการและขุนนางหลักๆ ก็น่าจะเข้าวังมาตระเตรียมล่วงหน้าเช่นกัน
คืนนี้ คงจะเป็นวันที่ไท่จื่อซย่าโหวซื่อจุนจิตใจกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาที่สุดในชีวิต ยามนี้น่าจะลองอาภรณ์และซักซ้อมพิธีอยู่ในตงกงกระมัง
มือนางเลื่อนไปด้านล่าง ทาบลงบนท้องน้อยที่นูนขึ้นแล้ว เดินไปเบื้องหน้าอีกก้าวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ เลยทางเหนือของตำหนักกานเต๋อขึ้นไปอีก ก้าวผ่านกำแพงวัง ก้าวข้ามภูเขาแม่น้ำ ก็เป็นเขตปกครองของเขา
แม้ว่าเขตส่านซีจะห่างไกลเยี่ยจิงยิ่ง แต่ยามนี้ทางนั้นก็น่าจะได้รับข่าวคราวของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว
“เสี่ยวหยวนเซียว นั่นเป็นที่ที่พ่อเจ้าอยู่” นางยกแขนขึ้นชี้ไปทางเหนือ
บนร่างมีภาระอันหวานล้ำเพิ่มขึ้นมา เป็นร่างที่ไม่อาจแยกจากได้ หมู่นี้ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกเขาว่าอย่างไรดีเช่นกัน ต่อมามีการเคลื่อนไหวจากเด็กในครรภ์ แม้ว่าจะไม่ได้ชัดเจนนัก แต่นางกลับรู้สึกเหมือนมีบัวลอยก้อนกลมๆ เกลือกกลิ้งไปมาในร่างกาย จึงได้เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาโดยไม่สนใจใดๆ ทั้งนั้น
ในตอนที่เอ่ยเรียกในคราแรก ไม่เพียงแต่ชูซย่าและฉีไหวเอินจะหัวเราะออกมา การพลิกตัวของเสี่ยวหยวนเซียวเองมีมากเช่นกัน เหมือนว่าไม่ชื่นชอบชื่อตามอำเภอใจนี้เป็นอย่างยิ่ง
ยามนี้ ในท้องขยับไหวอย่างแรง
แม้จะมีการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีปฏิกิริยารุนแรงเท่าวันนี้มาก่อนเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะนางกำลังมองไปทางเหนือใช่หรือไม่ ดังนั้นเด็กในครรภ์จึงมีกระแสจิตรับรู้ไปด้วยและตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา
ริมฝีปากบางของนางหยักยกขึ้น “เจ้าก็อยากจะมองให้มากขึ้นใช่หรือไม่” รองเท้าปักลายยกขึ้น รีบเหยียบตรงธรณีประตูโดยพลัน นางยืนได้สูงขึ้นมาอีกหน่อย
นางระมัดระวังอย่างมาก จับกรอบประตูด้านข้างเอาไว้ ในยามที่เพิ่งจะเหยียบลงไป ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยเนื่องจากแรงโน้มถ่วง
“ระวัง” ด้านนอกม่านมุก เงาร่างหนึ่งลุกขึ้นจากลานเรือนอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนเสียงต่ำ
นางตกใจ “ใครน่ะ!” เลิกม่านขึ้น เห็นว่าเงาร่างนั้นเห็นนางไม่เป็นอันใดจึงก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
ใต้เงาไม้เขียวขจีในราตรีกาล บุรุษคนนั้นยังคงสวมชุดไว้ทุกข์อยู่ ชุดขาวตลอดร่าง
พรุ่งนี้ก็ต้องขึ้นครองราชย์เป็นผู้ปกครองใต้หล้าแล้ว วันนี้เดิมทีควรจะอยู่ในตงกงที่คึกคักเป็นพิเศษ ได้รับการชื่นชมสรรเสริญอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ทว่ายามนี้ พระองค์กลับหมอบอยู่ที่หอซูอิ่ง หันหลังให้แสงเดือน อารมณ์อ้างว่างเปล่าและกังวล
นางปล่อยผ้าม่านลง หันหน้าไป “ชูซย่า…” ทว่ากลับได้ยินบุรุษในลานเรือนห้ามไว้ “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้ากังวลหรือไม่”
นานเท่าใดแล้วที่พระองค์มิได้เรียกนางเช่นนี้ ไม่รู้ว่ายามใดที่นางก็เคยหัวเราะยิ้มแย้มก่นด่าไปกับพระองค์เช่นกัน
นางหยุดฝีเท้าลง กังวลรึ หลังจากที่คนนอกม่านขึ้นครองราชย์แล้ว นางก็จะต้องย้ายตำหนักกลายเป็นเหม่ยเหริน
แรกเริ่มยังปฏิเสธอยู่บ้าง แต่พอได้รู้ว่าในท้องมีทารกอยู่ก็สงบลงได้นานแล้ว
ตำแหน่งเหม่ยเหรินนี้ ก็เป็นแค่งานอย่างหนึ่งที่นางปกป้องตัวเองและลูกเพื่อรอให้คนผู้นั้นกลับมาเท่านั้นเอง ก็เหมือนนางกำนัลในวัง
มีอันใดให้ต้องกังวลกัน
นางขานรับเบาๆ ว่า “ไม่ค่อยเพคะ ดึกมาแล้ว ไท่จื่อกลับไปเถิดเพคะ”
นางได้ยินสุรเสียงของพระองค์อ่อนแออยู่เล็กน้อย “…แต่ข้ากลับกังวลมากนัก”
ด้านหลังม่านมุก อวิ๋นหว่านชิ่นกะพริบตาคราหนึ่ง “ไท่จื่อยุ่งอยู่นานเพียงนี้ ทำเรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมากมาย ก็เพื่อวันพรุ่งนี้มิใช่หรือเพคะ ยังไม่ทันจะมีความสุขเลย เหตุใดจึงกังวลแล้วเล่า”
ความห่างเหินในน้ำเสียงทำให้คนด้านนอกลูกกระเดือกขยับไหว นึกไม่ถึงว่าน้ำเสียงจะหดหู่อยู่ไม่น้อย “เจ้าคิดว่าข้าอยากเป็นฮ่องเต้จริงๆ หรือ เทียบกับการเป็นฮ่องเต้แล้ว ข้ายอมทำงานในคณะละคร ดีดพิณแต่งเพลง ดูงิ้วบรรเลงดนตรีเสียยังดีกว่า”