ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 250 ยินดีทั้งคู่ (1)
ช่างเป็นการโอ้อวดอย่างเปิดเผยโดยแท้ เหมือนเศรษฐีบอกกับคนหิวโซใกล้ตายว่าเดิมทีข้าไม่ได้อยากมีเงินหรอกอย่างไรอย่างนั้น คิ้วงามของอวิ๋นหว่านชิ่นขมวดมุ่น “ผู้ใดให้ไท่จื่อโชคดีเพียงนี้กันเล่า เกิดมาได้ไม่นานก็กลายเป็นรัชทายาท ต้นทุนโดยกำเนิดนี้ยอดเยี่ยมมากนัก คนที่มีพรแสวงในภายหลังเหล่านั้นล้วนยากที่ตามทันได้”
“เจ้าพูดถูก” พระองค์ไม่สนใจคำเหน็บแนมในประโยคของนางเลยสักนิด กลับกันยังทรงหยักยกริมฝีปากแย้มอย่างโดยไม่ทราบสาเหตุอีก “ก็เพราะว่าข้าเกิดมาก็เป็นรัชทายาท ตำแหน่งฮ่องเต้พระองค์ใหม่จึงจำต้องเป็นข้าที่นั่ง หากเป็นคนอื่นนั่งก็หมายความว่าใต้หล้านี้มีหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา จะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่”
อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ ได้ยินเสียงพระองค์เอ่ยต่อว่า “ในฐานะรัชทายาท ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถแข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองและปวงชน ทว่าจะต้องยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นแล้ว ต่อให้ไม่สมัครใจเพียงใด ข้าก็จำต้องไม่ยอมแพ้ ข้าไม่อยากโดนบรรดาบรรพบุรุษและเสด็จพ่อก่นด่าเอาได้ในภายหน้า ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ผูกมัดแต่ละก้าวย่างของข้าให้เดินไปข้างหน้า…บางครั้ง ข้ายอมให้ตัวเองเป็นองค์ชายธรรมดาเหมือนอย่างเจ้าสามดีกว่า” ตรัสจบ เงานอกม่านก็สูดหายใจลึก พิงกำแพงปูนขาวหาท่าที่สบาย กางแขนสองข้างออก รองหนุนหลังศีรษะไว้ แล้วนั่งลง “เจ้าอย่าได้หัวเราะเยาะเลย ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าสามกลับราชสำนักมา พูดหยอกข้าหลายร้อยครั้งแล้ว และไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงอยากจะเข้าวังมาจับงานบ้านงานเมือง…หากเป็นข้า จะอยู่ที่จวนเมืองเหนือเป่ยเฉิง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอิสระล่องลอยให้มากๆ เขามีชีวิตที่ข้าใฝ่ฝันแต่ไม่มีวันจะได้ ทั้งยังสามารถเลือกคนที่ตัวเองอยากจะรักนอกวังได้อีก ข้าอิจฉาเขา”
นางฟังอย่างตะลึงงันไป นี่มันเหมือนกับที่เขาว่ากันว่าบางคนอยากเป็นขุนนางก็ฝ่าลมฝ่าฝนดิ้นรนมาสอบ บางคนเห็นความมืดมนของโลกแล้วก็ลาออกจากขุนนางกลับสู่ธรรมชาติบ้านเกิด
นึกไม่ถึงว่าสภาพความเป็นอยู่ขององค์ชายสามเช่นนั้นจะมีคนอิจฉาด้วย…เขาทุ่มสุดชีวิตบุกพุ่งฝ่าฝันออกไปด้านนอก แต่ไท่จื่อกลับอยากฝ่าออกไปแต่ถูกฐานันดรฉุดรั้งไว้
ครู่ต่อมา นางลุกขึ้นทำให้ม่านไข่มุกเสียงดังกระทบกันตามมาด้วย
“เจ้าต้องพักผ่อนแล้วกระมัง” คนในลานเรือนรีบตรัสขึ้น เหมือนกำลังมองเด็กน้อยที่เพื่อนเล่นกำลังจะกลับบ้าน แต่ตัวเองยังเล่นสนุกไม่พออย่างไรอย่างนั้น
“เพคะ ไท่จื่อกลับไปเถิด พรุ่งนี้ยังมีพิธีใหญ่รออยู่” น้ำเสียงนางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“ชิ่นเอ๋อร์!” คนนอกม่านคล้ายตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว “ต่อไป ข้ายังถือเทียน อ้อไม่สิ ถือเดือนพูดคุยกับเจ้าในยามราตรีได้อยู่หรือไม่” สุรเสียงสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายปั่นป่วนใจกับการปกครองแผ่นดินที่จะมาถึงในอีกไม่ช้านี้
ไม่ขอสิ่งอื่นใด ขอแค่สามารถได้มีความสัมพันธ์กับนางดั่งวันเก่าก่อน พูดจาตลกโปกฮาให้บรรยากาศคึกคักขึ้น ได้หยอกล้อหัวเราะพูดคุยปรีดาก่นด่าไปกับนาง
พระองค์ต้องการคนที่รู้ใจพระองค์สักคน ต่อให้ในใจคนผู้นั้นจะมีเพียงบุรุษอีกคน ในครรภ์จะมีลูกที่ไม่ถึงครึ่งปีก็จะคลอดออกมาแล้วก็ตาม
นางหันหน้ามาเล็กน้อย เหมือนพระองค์เดาใจนางถูก “หลายวันมานี้ ไท่จื่อดูแลเราสองแม่ลูกอย่างดี ภายหน้าก็คงจะเป็นเช่นนั้น ขอบพระทัยไท่จื่อที่เมตตาเพคะ แต่ว่า วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าไท่จื่อ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ไท่จื่อก็จะเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ราชกิจกองสุมมากมาย อย่าได้มาเสียเวลาเสด็จมายังที่พักของคนเกียจคร้านคนหนึ่งอีกเลยเพคะ สตรีวังหลังมีมากมาย แต่ละคนจิตใจพะวงหาแต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ไม่ช้าก็เร็วไท่จื่อก็จะหาหญิงงามฉลาดเฉลียวได้อยู่ดี เหตุใดต้องมาหาคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาพูดคุยเป็นเพื่อนด้วยเล่าเพคะ การกระทำในคืนนี้ ไม่เหมาะกับหลักทำนองครองธรรมนัก ภายหน้าหากถูกใครมาเห็นเข้า พระองค์ไม่เป็นไร แต่ข้าต้องแบกรับความผิดไว้ ขอไท่จื่อโปรดเห็นใจกันด้วยเพคะ”
กำแพงนี้ ต้องแข็งแกร่งตั้งแต่แรกเริ่ม
คนนอกม่านนิ่งงันไม่ขยับไหวอยู่เนิ่นนาน ครู่ใหญ่ต่อมาจึงลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าต่อแล้ว”
ที่มาวันนี้ นอกจากต้องการคนรับฟังเพราะกังวลเรื่องขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงหอบเอาความเห็นแก่ตัวมาด้วย หวังจะได้ยินคำนั้นของนาง
หากนางยืดหยุ่นให้ เปิดรับพระองค์เข้าไป เทียบกับการครองราชย์แล้วทำให้พระองค์ยินดีปรีดาเป็นล้นพ้นได้มากกว่านัก
ทว่าคำตอบในยามนี้ กลับทำให้พระองค์รู้สึกเย้ยหยันตัวเอง พระองค์ช่างฝันกลางวันเก่งนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่หลังม่านไข่มุกเห็นร่างสูงโปร่งของพระองค์หันหลังเดินออกจากหอซูอิ่งไปทีละก้าวพร้อมกับเหนียนกงกงตรงหน้าประตู
บางที นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดแรกเริ่มจึงได้ประทับใจพระองค์อยู่ไม่น้อย ต่อมาได้ร่วมมือกับพระองค์ต่อต้านฮองเฮา จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่รังเกียจพระองค์เลย
พระองค์มีคุณสมบัติที่บุรุษในยุคสมัยนี้มีกันน้อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาองค์ชายในราชวงศ์ที่อยู่เหนืออำนาจบัลลังก์ยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…เข้าหาคนอื่นอย่างไม่ถือตัว ไม่บีบบังคับคนอื่น ไม่ขัดความต้องการของผู้ใดอย่างหาได้ยากยิ่ง
บางที บุรุษเช่นนี้อาจจะไม่เหมาะสมที่จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์จริงๆ ก็ได้ เหมือนกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่ายอมเป็นคุณชายว่างงานใช้ชีวิตหรูหราที่ท่องบทละครไปวันๆ ดีกว่าเป็นกษัตริย์ที่แข็งแกร่งทรงพลังนั่งบัลลังก์มังกรคอยเป็นห่วงแผ่นดิน
แต่ไม่ว่าอย่างไร รัชสมัยของพระองค์ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
ณ ตงกง
ภายในห้องบรรทม สาวใช้กลับมาเล่าสิ่งที่พบเห็นที่คนบางคนพบกับไท่จื่อดึกๆ ดื่นๆ ให้แก่ผู้เป็นนายหญิงฟัง
เจี่ยงอวี๋ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำหมัด ฟังจบก็ชกลงบนโต๊ะ
หลังจากงานร่วมฝัง วังหลังก็มีคำนินทาครหาเกิดขึ้น บอกว่าไท่จื่อสับตัวช่วยแม่นางสกุลอวิ๋นที่ต้องร่วมฝังเอาไว้ แอบเลี้ยงดูอยู่ที่หอซูอิ่งที่อยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนืออย่างลับๆ กระทั่งอาภรณ์ของเหม่ยเหรินก็ส่งไปให้แล้ว เพียงแค่ขึ้นครองราชย์แล้วเปิดตัวคนอย่างผ่าเผยเท่านั้น
แต่ยามนี้ไท่จื่อเป็นใหญ่ในวังหลวง ผู้ใดจะกล้าว่าอันใดได้ มีความสงสัยข้องใจตรงไหนก็จำต้องก้มหน้าแอบคาดเดาไปต่างๆ นานาเท่านั้นเอง
เจี่ยงอวี๋ได้ยินข่าวคราวนี้เข้า ก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างไท่จื่อกับแม่นางอวิ๋นแต่เก่าก่อนก็ทรงทำมันออกมาจริงๆ จนได้ วันนั้นนางส่งขันทีข้างกายไปด้อมๆ มองๆ ที่หอซูอิ่ง ยังไม่ทันจะได้เข้าไปใกล้ก็ถูกพวกองครักษ์ไล่ตะเพิดออกมาแล้ว องครักษ์พวกนั้นคือองครักษ์เงาที่สนิทใกล้ชิดของไท่จื่อ
ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่วันนั้น เจี่ยงอวี๋ก็กระวนกระวายใจขึ้นมา
วันนี้พอได้เห็นอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าไท่จื่อจะอดรนทนนรอไม่ไหวแม้แต่วันเดียว คืนก่อนขึ้นครองราชย์ ฉลองพระองค์ในพิธีการล้วนไม่ลอง วิ่งแจ้นไปที่นั่นทันที
เมื่อก่อน เจี่ยงอวี๋แม้จะริษยาที่ไท่จื่อโปรดปรานแม่นางสกุลอวิ๋น แต่ก็ทราบดีว่าไท่จื่อกับแม่นางอวิ๋นมีความเป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้มากางกั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางทำอันตรายอันใดตนได้
ทว่ายามนี้ นึกไม่ถึงว่าไท่จื่อจะทรงแบกรับแรงกดดันไว้รับแม่นางอวิ๋นเข้าวังหลัง เพื่อช่วยชีวิตนาง
ฟันขาวสะอาดของเจี่ยงอวี๋กัดกระทบกันดังกึดๆ “เป็นพระชายาไม่สมใจพอ คิดจะมาเป็นฮองเฮา”
“พระสนมอย่าได้ร้อนใจไปเพคะ บ่าวเห็นเงาร่างไท่จื่อยืนอยู่ด้านนอกลานของหอซูอิ่นตลอด มิได้เข้าไปด้านใน ต่อมาทรงพูดคุยกับแม่นางอวิ๋น ก็มีม่านกั้นไว้ชั้นหนึ่ง ดูท่าแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มิได้สนิทชิดเชื้อนะเพคะ” สาวใช้เอ่ยปลอบใจ
“อย่าร้อนใจรึ นางกลายเป็นคนวังหลังด้วยกันเช่นนี้แล้ว ยังไม่พอให้ร้อนใจอีกรึ” เจี่ยงอวี๋ถากถางความใจกว้างของสาวใช้
“แล้วอย่างไรเล่าเพคะ ก็แค่เหม่ยเหรินขั้นสามคนหนึ่ง อีกไม่กี่วันท่านก็จะได้เป็นฮุ่ยเฟยแห่งตำหนักถงกวงแล้ว” สาวใช้ยิ้มพลางเอ่ยบอก
ตำแหน่งของสตรีในตงกงได้ร่างกำหนดออกมาแล้ว เจี่ยงอวี๋ไปสอบถามข่าวคราวมาจากเหนียนกงกงตั้งนานแล้ว ยามนี้ได้ฟังจึงใบหน้าผ่อนคลายขึ้น สบายใจขึ้นมาไม่น้อย
ไอร้อนเข้มข้นขึ้นทุกวัน แต่ภายในหอเหยาไถอันสงบเงียบและห่างไกลผู้ไกลคน ร่มเงาจากต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมทั่ว
หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ข่าวที่ใหญ่ที่สุดคือเรื่องของหอเหยาไถแห่งนี้
หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่แต่งตั้งตำแหน่งให้วังหลัง เพิ่มแม่นางสุกลอวิ๋นที่เป็นเหม่ยเหรินเข้ามา
แม่นางสกุลอวิ๋นเดิมทีคือพระชายาฉินอ๋องที่เข้าวังมาเป็นหมอหญิงถวายการรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ก่อน โชคร้ายที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อร่วมฝังด้วย ใครจะคิดว่านางมีสัมพันธ์อันดีต่อฝ่าบาทมาก่อน ฝ่าบาทปกป้องนางเป็นการส่วนพระองค์ แอบเลี้ยงดูไว้ที่หอซูอิ่งอย่างลับๆ หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว จึงเปิดตัวนางอย่างเปิดเผย แต่งตั้งฐานันดรให้เป็นเหม่ยเหรินขั้นสาม พักอยู่ที่หอเหยาไถมุมตะวันออกเฉียงเหนือของวังหลวง