ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 250 ยินดีทั้งคู่ (2)
จะว่าไปแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นข่าวฉาว อย่างไรเสียแม่นางอวิ๋นเดิมทีก็เป็นพระชายาของฉินอ๋องผู้เป็นพี่ชายของไท่จื่อ
ทว่าทอดมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่ผ่านๆ มา ราชวงศ์ใดบ้างที่จะไม่มีเรื่องอื้อฉาวและความลับที่พูดไม่ได้บ้าง วิพากษ์จารณ์กันอยู่ช่วงหนึ่งก็หยุดกันไป
แรกเริ่มเดิมที ยังมีขุนนางหัวรั้นบางคนที่ซุบซิบกันในราชสำนัก บอกว่าฝ่าบาทขัดราชโองการฮ่องเต้พระองค์ก่อน แม่นางอวิ๋นนั่นต้องส่งตัวไปร่วมฝังถวายที่สุสานเซี่ยนหลิง
ผ่านไปอีกสักพัก เหยากวงเหย้าก็ถูกส่งตัวไปยังหอเหยาไถ ตรวจพบว่าแม่นางอวิ๋นตั้งครรภ์ ฝ่าบาทจึงแต่งตั้งให้เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงดูแลครรภ์ให้อวิ๋นเหม่ยเหรินโดยเฉพาะ จึงไม่มีใครไปหาเรื่องกับฝ่าบาทอีก
ใครจะกล้าชี้หน้าฝ่าบาทให้พระองค์ฝังองค์ชายที่ยังไม่ประสูติออกมาผู้นี้ของพระองค์เล่า
เสียงของราชสำนักและวังหลังค่อยๆ เงียบลง
อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ในเขา ข่าวคราวทั้งดีทั้งร้ายภายในวังหลวงก็ล้วนได้ยินมาหมดเช่นกัน
หากแต่ยามนี้จิตใจพะวงห่วงอยู่แต่กับครรภ์เท่านั้น ข่าวคราวจึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป นางลูบท้องที่นับวันยิ่งนูนขึ้น เอาหอเหยาไถทั้งเรือนที่พักอาศัยอยู่เป็นโลกทั้งใบ ดูแลบำรุงร่างกายให้ดี
คืนก่อนวันขึ้นครองราชย์ หลังจากที่ซย่าโหวซื่อจุนมาหอซูอิ่งพูดคุยกันยามค่ำคืน อวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้พบพระองค์อีกเลย พระองค์ทำดั่งสัญญาที่ให้ไว้ยามก่อนจะออกไปว่าจะไม่มาที่นี่อีก
ภายในลานเรือน ฉีไหวเอินทำตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นสั่ง เลือกที่ดินแปลงหนึ่งไถดินปลูกและใส่ปุ๋ย ปลูกสวนดอกไม้เล็กๆ ทุกวันเวลาว่างๆ ไม่มีอันใดทำ อวิ๋นหว่านชิ่นก็จะลงมือรดน้ำตัดกิ่งทำลายวัชพืชด้วยตัวเอง แล้วค่อยเด็ดดอกตูมที่แตกยอดออกมาใหม่กับชูซย่า เอาไปทำน้ำตบจากน้ำดอกไม้ ศึกษาค้นคว้าสูตร ส่งไปให้ตำหนักไท่เฟยด้านข้าง และบรรดานางในของตำหนักไท่ผิน
แม้เมี่ยวเอ๋อร์จะมีตำแหน่งในวังหลังของหนิงซีอ๋องเต้ไม่สูงนัก ซ้ำยังไร้ซึ่งทายาท แต่ช่วงเวลาสุดท้ายของหนิงซีฮ่องเต้ล้วนเป็นนางที่อยู่ข้างกายล้อมหน้าล้อมหลังพระองค์ ดูแลไม่ละเลยไปไหนทุกวันทุกคืน ถือว่ามีความดีความชอบอย่างมาก ในราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็มีการจัดการไว้สำหรับนางเช่นกัน หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้วก็ทรงทำตามคำสั่งเสียเป็นอย่างดี แต่งตั้งพระสนมม่อเป็นไท่ผินของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ประทานตำหนักเว่ยยางซึ่งเป็นที่พักของไท่ผินให้ คนรับใช้ข้างกายและองครักษ์เข้าออก รวมถึงเงินเดือนในแต่ละเดือนสูงกว่าไท่เฟยที่ไม่ถูกโปรดปรานมากมายนัก วันคืนก็เรียกได้ว่าผ่อนคลายสบายอุรา ทุกคราที่ฉีไหวเอินมาหา เมี่ยวเอ๋อร์ก็จะให้เจิ้งหวาชิวเรียกเขาเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบแก่กันกับอวิ๋นหว่านชิ่น
หอเหยาไถค่อนข้างหนาวเย็น ใกล้กับตำหนักของไท่ผิน ล้วนเป็นสถานที่ที่อยู่หลบลึกไปในวังหลัง ยามปกติไม่มีใครเข้าไป นานวันเข้า เมี่ยวเอ๋อร์ก็หาโอกาสพาเจิ้งหวาชิวไปพบอวิ๋นหว่านชิ่นที่หอเหยาไถเป็นครั้งคราว
ใช้ความสนใจและงานอดิเรกมาฆ่าเวลา วันคืนที่มีเสี่ยวเซียวหยวน ชูซย่าและฉีไหวเอินเป็นเพื่อน และสามารถได้พบหน้าเมี่ยวเอ๋อร์ในบางครั้ง เรียกได้ว่าวันเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง
นอกจากนี้พอฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็พระราชทานอภัยโทษแก่ใต้หล้า ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นได้ฟังในใจก็เต้นตึกตัก แอบยินดีอยู่ลึกๆ ตั้งใจให้ฉีไหวเอินไปสืบข่าวคราวมาจากคนในวังโดยเฉพาะ
วันนั้นฉีไหวเอินกลับมาจากข้างนอก รายงานข่าวคราวให้ฟัง หงเยียนได้รับการอภัยโทษถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกหลวงของกรมยุติธรรม ยามนี้กลับไปยังร้านเซียงหยิงซิ่วแล้ว นอกจากนี้ ฝ่าบาทเหมือนกับกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ใหม่ในอดีต ทรงเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัล เลื่อนขั้นขุนนางคนสนิทก่อนขึ้นครองราชย์ทุกคน ปัญญาชนที่ไท่จื่อเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษาและขุนนางคนสนิทล้วนได้เลื่อนขั้น หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย ได้ยินว่าฝ่าบาทกำลังออกพระราชโองการส่งคนไปยังหลิงหนาน เรียกตัวสวี่มู่เจินที่เป็นปัญญาชนที่ปรึกษาของพระองค์กลับเมืองหลวง
นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีทั้งคู่ อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าหากท่านลุงทราบเข้าคงปรีดาเท่าฟ้าแน่ นับวันดูแล้ว อีกเดือนสองเดือนหงเยียนก็น่าจะคลอดแล้ว พอพี่ชายกลับมา ก็ได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวพอดี เรียกได้ว่าเป็นตอนจบที่มีชีวิตคู่ที่งดงามดั่งดอกไม้ และกลมเกลียวเหมือนพระจันทร์เต็มดวง
นางคิดพลางสีหน้าก็เหม่อลอยอีกครั้ง มือลูบอยู่บนท้อง เสี่ยวเซียวหยวนในท้องคล้ายว่าจะมีปฏิกิริยา เหมือนยื่นแขนออกแล้วขยับไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
ชูซย่าเห็นสีหน้านางจากยินดีปรีดาเปลี่ยนมาโศกศัลย์อาดูร ก็เข้าใจความคิดของนางทันที พิงศีรษะไปบนท้องนาง เอ่ยเสียงเล็กหวานว่า “นายน้อยไม่ช้าก็เร็วก็ต้องได้พบหน้าท่านพ่อแน่เจ้าค่ะ”
ปีใหม่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่ทันครบดี ฝ่าบาทก็สวมชุดไว้ทุกข์ขึ้นบัลลังก์ ไร้กะจิตกะใจจะเลือกฮองเฮา ยามนี้วังหลังไร้ผู้ปกครอง จึงมีเจี่ยไทเฮาที่ถูกแต่งตั้งเป็นไทฮองไทเฮาเป็นผู้ดูแล เจี่ยงฮุ่ยเฟยและสวีเหลียงหยวนที่เดิมอยู่ตงกง ต่อมาแม่นางสวีถูกแต่งตั้งเป็นลี่เฟยก็ช่วยไทฮองไทเฮาดูแล
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ต้องหอบท้องไปเข้าเฝ้าถวายพระพรทุกวี่ทุกวัน เพียงแค่ทำตามธรรมเนียมเดิม หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินแล้วนางก็ตามขบวนสนมของวังหลังคนอื่นๆ ไปตำหนักฉือหนิงถวายพระพรแก่เจี่ยไทเฮามาแล้วครั้งหนึ่ง
วันนั้น ท่ามกลางเหล่าสนมสดใหม่ของวังหลัง เจี่ยไทเฮาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเข้า พอเสร็จพิธีถวายพระพรก็ทรงให้หม่าซื่อแอบไปเรียกนางไว้ ให้อยู่พูดคุยเป็นการส่วนตัวสองสามคำ
เจี่ยไทเฮาทรงทราบแต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้ผู้เป็นหลานชายนางคนนี้มีแม่นางอวิ๋นในใจ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะใช้โอกาสจากความเป็นความตายในครานี้รับนางเข้ามาวังหลัง
ทว่าในเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ชื่นชอบก็หมดหนทางแล้ว กษัตริย์พระองค์ใดบ้างไม่หลายใจ แม้จะบอกว่าน้องรับชายาของพี่มาเป็นสนม ทำให้คนแอบวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง แต่สตรีทั่วทั้งแผ่นดินล้วนเป็นของฮ่องเต้ อย่าว่าแต่น้องสามีกับพี่สะใภ้เลย ต่อให้เป็นพ่อสามีกับลูกสะใภ้ก็ไม่มีปัญหาใด
ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุดก็ช่วยนางให้รอดชีวิตมาได้แล้ว ในที่สุดเจี่ยไทเฮาก็ทรงถอนหายใจออกมา
ในยามที่เจี่ยไทเฮาจ้องมองท้องของอวิ๋นหว่านชิ่น สายพระเนตรกลับมีความสงสัยเป็นประกายวาบผ่าน เรียกนางมาใกล้ เลิกชุดคลุมตัวใหญ่ของนางขึ้น ทาบมือลงบนท้องน้อยของนาง สีหน้าตึงเครียดขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นทราบถึงความสงสัยของเจี่ยไทเฮาดี ในสมุดบันทึกการตั้งครรภ์สนมของเหยากวงเหย้า บันทึกระยะสั้นกว่าเวลาจริงไปสองเดือน สอดคล้องกับช่วงที่นางถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินจึงได้ตั้งครรภ์พอดี ไม่ทำให้ใครสงสัย แต่ท้องนี้ ตั้งครรภ์ขาดไปสองเดือนกับเกินมาสองเดือน เหตุใดจะมองไม่ออก
ยามปกตินางขลุกอยู่แต่ในหอเหยาไถ ไม่ออกไปไหน และไม่มีใครมีโอกาสมาพบนาง วันนี้พอได้ออกมาก็มีชุดคลุมใหญ่ปิดอยู่ ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นขนาดท้องของนาง จนใจที่เจี่ยไทเฮาละเอียดรอบคอบมากนัก ยามนี้แค่มองจะเดาไม่ออกได้อย่างไร
ท้องน้อยที่นูนขึ้นเหมือนภูเขาลูกเล็กๆ นั่น จะมีอายุครรภ์เพียงสี่เดือนได้อย่างไร
“ตอนท้องหม่อมฉันมักจะหิวเพคะ ทานอาหารได้เยอะ ซ้ำยังอยากของประเภทเนื้อและมีมันเป็นพิเศษ” อวิ๋นหว่านชิ่นคุกเข่าลง “ภายหน้าจะงดอาหารเพคะ จะได้ไม่อ้วนขึ้นทำร้ายต่อพระนัดดา”
ชูซย่าใจเต้นโครมคราม พยุงนางไว้ด้วยกันแล้วคุกเข่าลง “เป็นบ่าวไม่เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินของเหม่ยเหรินให้ดีเพคะ ขอไทฮองไทเฮาโปรดลงโทษด้วยเพคะ!”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ชะงักงัน นางกำนัล ณ ที่นั้นของตำหนักฉือหนิงต่างมองมา
เงียบงันไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ทั้งคู่กำลังกลั้นหายใจ ในที่สุดเจี่ยไทเฮาก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อรู้ว่าผิดแล้วก็ต้องจำไว้ สตรีมีครรภ์ไม่ควรผอมเกินไป แต่ก็ไม่ควรอ้วนเกินไปเช่นกัน ล้วนส่งผลต่อการคลอด พวกเจ้าที่เป็นคนรับใช้ก็ต้องเอาใจใส่หน่อย ตอนท้องอยากอาหารเป็นเรื่องปกติ ตอนสาวๆ ข้าตั้งครรภ์ ท้องก็เหมือนยัดแมลงไว้หลายสิบตัว ไม่ว่าจะกินเท่าใดก็ไม่อิ่ม ไม่ถึงห้าเดือนก็อ้วนขึ้นมาหลายจิน[1]แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจกินตามใจปากเท่าใดก็ได้ นายหญิงเจ้าไม่มีประสบการณ์ พวกเจ้าอย่าได้ปล่อยปละละเลย นายหญิงกินมากเกินไป พวกเจ้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้พอด้วย”
พอชูซย่าได้ฟังก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา รีบรับปากว่า “เพคะ ไทฮองไทเฮา บ่าวทราบแล้ว กลับไปก็จะไปตักเตือนคนอื่นๆ ที่หอเหยาไถด้วยเพคะ”
“ดี กลับไปเถิด” เจี่ยไทเฮาตรัสอย่างเนิบช้า “ในเมื่อร่างกายไม่สะดวก ในช่วงท้องอยู่ก็ไม่ต้องร่วมถวายพระพรทุกอย่างภายในวังแล้ว ไม่ต้องออกจากตำหนักเหยาไถหรอก”
ไม่ต้องเข้าร่วมการถวายพระพรทุกอย่างภายในวัง ไม่ต้องออกตำหนักเหยาไถ อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น เข้าใจได้ทันที เจี่ยไทเฮาทรงคาดเดาได้หลายส่วนแล้ว แต่ทรงทำเป็นหูหนวกตาบอดแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อนาง ซ้ำยังไม่ให้นางมาร่วมถวายพระพรในช่วงตั้งครรภ์เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนด้วย
———————
[1] จิน หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 500 กรัม