ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 250 ยินดีทั้งคู่ (3)
ลำคอนางข่มปร่าขึ้นมา เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “เพคะ”
เจี่ยไทเฮาให้หม่าซื่อพยุงทั้งสองลุกขึ้น ส่งออกจากตำหนักฉือหนิงไป
พอหม่าซื่อส่งแขกเสร็จก็รีบร้อนกลับมา เห็นสีพระพักตร์ไทเฮาคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ จึงไล่คนรับใช้ออกไป เข้าไปใกล้ไทเฮาอย่าอดใจไม่ไหว “ไทฮองไทเฮาทรงคิดว่าอวิ๋นเหม่ยเหรินอ้วนขึ้นหรือเพคะ”
เจี่ยไทเฮาเหลือบมองหม่าซื่อแวบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
หม่าซื่อลำบากใจ แต่ก็จำต้องตอบว่า “ดูแค่ท้องกลมป่อง นูนเหมือนเนินเขาลูกน้อยๆ ใบหน้ารูปไข่และแขนขากลับเรียวบางเหมือนก่อน ไม่มีเนื้อหนังเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนคนที่กินเยอะแล้วอ้วนเลยเพคะ”
เจี่ยไทเฮาทอดถอนพระทัย “เจ้าพูดเช่นนี้แค่กับข้าก็พอ ไม่ต้องเอาไปพูดข้างนอก”
หม่าซื่อเข้าใจโดยพลัน จิตใจของไทฮองไทเฮาใสดังกระจกเงา แต่ใจก็เต้นขึ้นมาอีกครั้ง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “แต่…เป็นเช่นนี้ปล่อยไว้จะดีหรือเพคะ หากในท้องแม่นางอวิ๋นเป็นลูกของฉินอ๋องจริงๆ…”
“กระทั่งฝ่าบาทยังไม่พูดอันใดสักคำ ยินยอมรับเด็กคนนี้เป็นลูก เจ้าจะกังวลอันใด หน้าตำหนักส่งพระศพ เรื่องที่ฉินอ๋องถูกคนใส่ความว่าเป็นมารหัวขนต่างเผ่าต่างพันธุ์ จะให้เกิดขึ้นกับเด็กคนนี้อีกคราหรือไร” เจี่ยไทเฮาตัดสินใจขั้นสุดท้าย “เด็กคนนี้ จำต้องเป็นของฝ่าบาท ในวังหลวงแห่งนี้ หากใครปั้นน้ำเป็นตัว เอาเรื่องนี้มาพูดอีก ไม่ว่าเป็นใคร ข้าจะไม่ปล่อยไว้แน่!”
หม่าซื่อพยักหน้าหงึกหงัก ไม่เอ่ยขึ้นมาอีก
เมื่อยามกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาสีทองอร่ามลอยมาในอากาศ การสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงใกล้ครั้งใหญ่ก็เข้ามาแล้ว
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ครองราชย์ นอกจากจะพระราชทานอภัยโทษให้ทั้งแผ่นดินแล้ว ยังทรงเปิดสอบคัดเลือกขุนนางรอบพิเศษจากพระมหากรุณาธิคุณอีกด้วย การสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิในเดือนสองของปีหน้าก็เลื่อนขึ้นมาจัดหลังการสอบขุนนางฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ การสอบสองสนามนี้แทบจะดำเนินการในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าจัดสอบรอบพิเศษจากพระมหากรุณาธิคุณและสอบรอบปกติในฤดูใบไม้ร่วงด้วยกันก็ว่าได้
อวิ๋นจิ่นจ้งก็เป็นหนึ่งในบัณฑิตที่ได้รับประโยชน์จากการสอบพร้อมกันเช่นกัน หากสอบผ่านทั้งสองสนาม ประหยัดเวลากว่าบัณฑิตที่สอบปีนี้แล้วยังต้องกลับไปรอสอบปีหน้าอยู่ไม่น้อย หลังจากการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงประกาศผลแล้ว หากได้รับคัดเลือก ก็จะกลายเป็นขุนนางสำรอง สอบขุนนางในฤดูใบไม้ผลิสนามต่อไปได้เลย หากได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง เช่นนั้นก็จะได้เป็นก้งซื่อ[1]โดยสมบูรณ์
ก่อนที่ฉินอ๋องจะปิดจวนนำทัพออกจากเมืองหลวงไป อวิ๋นจิ่งจ้งก็ถูกเกาจ๋างสื่อส่งกลับจวนอวิ๋น
เกาจ๋างสื่อทำตามคำสั่งของท่านอ๋องให้ทิ้งองครักษ์คนสนิทของจวนไว้สองนาย กลับบ้านบิดาด้วยกันกับคุณชายน้อยสกุลอวิ๋น
อวิ๋นเสวียนฉั่งกับไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นองครักษ์ทั้งสององอาจแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อกำยำ ก็พากันนิ่งอึ้ง เกาจ๋างสื่อบอกเพียงว่ายามที่คุณชายอวิ๋นอยู่ในจวน สองคนนี้ก็จะรับหน้าที่เข้าออกคุ้มครองคุณชายน้อย จึงชินเสียแล้ว ต่อไปนี้จึงให้อยู่ที่สกุลอวิ๋นปกป้องข้างกายคุณชายอวิ๋น คิดเสียว่าเป็นของขวัญอำลาจากฉินอ๋องก็พอ
อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ จำต้องให้องครักษ์ทั้งสองขององค์ชายมาพักในห้องทางตะวันตก ติดตามลูกชายอย่างใกล้ชิด
เดิมทีเรื่องที่พี่สาวต้องร่วมฝังนั้น อวิ๋นจิ่งจ้งวิตกกังวลเป็นอย่างมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต่อมาได้ยินบิดากลับจวนมาบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ว่าพี่สาวถูกแต่งตั้งเป็นเหม่ยเหรินแล้ว แม้เขาจะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอได้ทราบว่านางปลอดภัยไร้กังวลดี จึงได้วางใจลงในที่สุด ภายใต้การดูแลเรื่องกินอยู่ของฮุ่ยหลาน อวิ๋นเสวียนฉั่งขลุกอยู่ที่เรือนตะวันตกจดจ่ออยู่กับตำรา ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก ก้มหน้าก้มตาศึกษาค้นคว้า ตั้งใจเข้าร่วมสอบคัดเลือก
ส่วนสถานการณ์ในระยะนี้ของน้องชาย อวิ๋นหว่านชิ่นได้ทราบจากปากเฉินจ้าว
วันนั้นอากาศแจ่มใส อวิ๋นหว่านชิ่นขลุกอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหนหลายวัน กำลังจะออกไปตากลมเสียหน่อย
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่านางใกล้จะคลอดแล้วจึงพาเจิ้งหวาชิวเจ้ามาเยี่ยมเป็นการส่วนตัวพอดี อวิ๋นหว่านชิ่นคลุมเสื้อกันลมป้องกันท้องเอาไว้ เดินเล่นกับนางที่สวนดอกไม้เล็กร้างไร้ผู้คนใกล้ๆ หอเหยาไถ
เดินอ้อมระเบียงยาวมา ผ่านทางเดินกรวดเล็กๆ ไป ทั้งสองพบเฉินจ้าวพาเหล่าองครักษ์มาตรวจตราวังหลวงพอดี
ชายหนุ่มแต่งตัวเหมือนองครักษ์ของราชสำนักยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าอันคุ้นเคยยังคงไม่ยิ้มแย้มเปะปะดังแต่ก่อน ทว่ามุมปากกลับหยักยกขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มอบอุ่น ทำให้อวิ๋นหว่าชิ่นซาบซึ้งในใจ หาก ณ ที่นี้ไม่มีคน คงแทบอยากจะโผเข้าไปเรียกเขาว่าพี่ใหญ่สักคำแน่
เมี่ยวเอ๋อร์ก็คาดเดาไว้แต่แรกแล้ว ตอนนั้นเฉินจ้าวยอมฝ่ากฎปล่อยฉินอ๋องเข้ามาในเขตพระราชฐาน แปดเก้าส่วนในสิบส่วนก็เพื่ออวิ๋นหว่านชิ่น และยินดีลดตำแหน่งตัวเองเพื่อรับโทษ เข้าวังฝ่ายในมาเป็นองครักษ์ เกรงว่าอยากให้สะดวกมาดูแลนางไม่มากก็น้อย
ทราบว่าทั้งสองคงมีเรื่องให้พูดคุยกัน เมี่ยวเอ๋อร์ก็เข้าอกเข้าใจ มองเฉินจ้าวแวบหนึ่ง เฉินจ้าวก็เข้าใจ แสดงอารมณ์ออกบนใบหน้าในความคิดละเอียดรอบคอบของนาง เอ่ยขึ้นเสียงนุ่มว่า “ขอบพระทัยไท่ผิน” เมี่ยวเอ๋อร์ค้อมกายเล็กน้อย ในใจกลับสะท้อนอกสะท้อนใจอยู่บ้าง บุรุษเกรียงไกรตรงหน้า ใบหน้าเป็นคนซื่อตรงและใจกว้าง รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน จิตใจกลับอ่อนนุ่ม ตั้งแต่อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ออกจากหอเป็นต้นมาก็อยู่เป็นเพื่อนข้างกายนางเงียบๆ ทุกคราล้วนเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นเกิดเรื่องจึงปรากฏตัวขึ้น ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยพูด สามารถได้พี่ชายต่างเพศที่เหมือนพี่ชายแท้ๆ เช่นนี้มา ช่วชางเป็นความโชคดีอันใหญ่หลวงในชีวิตนัก เห็นสตรีงามในอาภรณ์ขาวนางนั้นหันหน้ากลับมามองตนอยู่ครู่หนึ่ง ปลายจมูกเฉินจ้าวก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมันอยู่ในสายตา อดจะทอดถอนใจออกมาเงียบๆ ไม่ได้ พี่ใหญ่เฉินอายุอานามเท่านี้ก็ควรจะแต่งงานไปตั้งนานแล้ว เดิมทีอายุยังน้อยก็กลายเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว ไม่รู้ว่ามีคุณหนูมากน้อยเท่าใดแย่งกันอยากจะได้ แต่เพราะเรื่องของนางและฉินอ๋อง จึงได้ลดขั้นเข้าวังยืดเวลามาเป็นองครักษ์ จนเมี่ยวเอ๋อร์กับเจิ้งหวาชิวเดินขึ้นหน้าไป ทั้งสองที่อยู่ด้านหลังจึงค่อยๆ เดินอย่างเนิบช้าพลางพูดคุยกัน
ในระหว่างเดินเล่น นางได้ทราบสถานการณ์ในระยะนี้ของน้องชายจากปากเฉินจ้าว เรื่องการเล่าเรียนมิได้น่าเป็นห่วงนัก กลัวก็แต่ว่าน้องชายกลับจวนอวิ๋นไปอีกครั้งจะถูกบิดากับแม่นางไป๋ละเลย นางเองยามนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกวัง ต่อให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นก็ไปสอดมือยุ่งด้วยมิได้ แล้วก็ได้ทราบว่าท่านอ๋องได้จัดการให้องครักษ์คนสนิทสองนายอยู่ที่เมืองหลวงข้างกายน้องชาย จึงได้วางใจลง
เฉินจ้าวเดาได้ว่านางกำลังห่วงเรื่องใด ใต้หล้านี้มีแม่เลี้ยงสักกี่คนที่จะดีต่อลูกเลี้ยงกัน เขาเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถิด นอกจากองครักษ์สองนายเข้าจวนคุ้มกันจิ่นจ้งแล้ว ฮูหยินสกุลไป๋ที่บ้านเจ้าคนนั้นยามนี้ก็ไม่มีเวลามาทำไม่ดีใส่จิ่นจ้งหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นฉงนทันที มองไปยังเฉินจ้าว เห็นเขาเหลือบมองท้องตนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นฮูหยินก็ตั้งครรภ์เช่นกัน เหมือนว่าจะอายุครรภ์มากว่าเจ้าอยู่บ้าง ได้ยินว่าเพราะก่อนหน้านี้เคยแท้งมาคราหนึ่ง อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว เพิ่งจะตั้งครรภ์ก็มีเลือดออก หมอบอกว่าอาจจะแท้งได้ อวิ๋นฮูหยินตอนนี้นอนอยู่ในห้องรักษาครรภ์กินยาทุกวัน สวดมนต์ไหว้พระ ยามนี้ ไหนเลยจะมีเวลาไปเอารัดเอาเปรียบกับจิ่นจ้งได้ เจ้ากรมอวิ๋นมีทายาทอีกคนอย่างหาได้ยาก พอได้ยินว่าฮูหยินท้องก็ปรีดายิ่ง ตื่นเต้นเสียยกใหญ่ หลายวันทีเดียวที่อวิ๋นฮูหยินปวดท้องมีเลือดออก เจ้ากรมอวิ๋นก็ลางานอยู่บ้าน กระทั่งงานราชการก็ไม่สนใจ ยามนี้ในสายตาเอาแต่จดจ่ออยู่กับครรภ์อวิ๋นฮูหยิน ไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจคนอื่นหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นอดจะเย้ยหยันอยู่ในใจมิได้ ดูท่านแล้วท่านพ่อจะคิดถึงลูกชายจนเสียสติไปแล้วจริงๆ มองครรภ์นี้อย่างกับของล้ำค่าไปแล้ว
ห่างไปไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า เมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินถ้อยคำสุดท้ายของเฉินจ้าวเข้า ฝีเท้าก็หยุดชะงักลง หันหน้ามาครึ่งหนึ่ง คิ้วงามขมวดมุ่น แววตามืดมนขึ้นมา ซ้ำยังกำหมัดแน่นด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นสายตาขยับไหว เก็บท่าทางแปลกไปของเมี่ยวเอ๋อร์ไว้ในสายตา
เฉินจ้าวพูดอีกสองสามคำก็ไม่สะดวกอยู่นาน พาองครักษ์กลับไปก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินข้างกายเมี่ยวเอ๋อร์ พบว่านางไม่ค่อยพูดไม่จา เงียบกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจเถิด วันคืนดีๆ ของเขากับแม่นางไป๋ใกล้จะจบลงแล้ว” หนิงซีฮ่องเต้สนับสนุนจวนอวิ๋น ดึงขุนนางทหารที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอย่างท่านพ่อขึ้นมา ทั้งหมดก็เพื่อเลือดเนื้อเชื้อไขที่หลงเหลือไว้ในสกุลอวิ๋นของพระองค์ ยามนี้หนิงซีฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว จวนสกุลอวิ๋นก็ไม่มีใครมาดูแลอีก เหมือนปราสาททรายท่ามกลางสายลม
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นนางเดาใจตนออก ดวงตาก็เป็นประกาย ซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย จึงไม่ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกต่อ “แม้เขาจะเป็นคนมอบชีวิตให้ข้า แต่ก็เป็นคนที่ทำร้ายแม่ข้าให้ตายเช่นกัน ทุกคราที่นึกถึงยามที่แม่ข้ายังเป็นสาวเป็นวัวเป็นม้าให้เขาขึ้นมา พอสุดท้ายถูกเขาทอดทิ้งไว้ในชนบทไม่ดูดำดูดี ซ้ำยังใส่ร้ายแม่ข้าให้ตายเพื่อความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว แต่ยามนี้ เขาไม่เพียงจะได้เป็นเจ้ากรม ยังจะมีลูกชายมาสืบสกุลอีก…เหตุใดจึงไม่ยุติธรรมเช่นนี้!”
—————–
[1] ก้งซื่อ บัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบระดับประเทศ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี