ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 251 ลงโทษพ่อแม่เลวทราม ใกล้คลอดที่ฝอถัง (5)
สวีคังเฟยก็ช่วยเจี่ยงอวี๋พูดด้วยว่า “ไทฮองไทเฮาอย่าได้กังวลไปเพคะ ดูแล้วอวิ๋นเหม่ยเหรินมีชีวิตชีวาไม่เลว ออกมาเดินเสียหน่อย มีประโยชน์ต่อการคลอดอยู่นะเพคะ”
เจี่ยไทเฮาฟังฮุ่ยเฟยพูดเช่นนี้ แล้วยังจะมีสวีคังเฟยช่วยพูดอีก อย่างไรเสียทั้งสองก็เป็นคนดูแลจัดการวังหลัง จึงไม่มีอันใดจะพูด จำต้องมองไปยังอวิ่นหว่านชิ่น “ร่างกายเจ้าทนไหวหรือไม่”
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเป็นห่วง” อวิ๋นหว่านชิ่นค้อมกาย เนื่องจากรายงานอายุครรภ์ขาดไปสองเดือน ในสายตาของคนนอก อย่างน้อยตัวเองต้องมีหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะคลอดได้ อันที่จริงวันคลอดของนางเกรงว่าจะอีกไม่กี่วันแล้ว ทว่าเพราะเป็นเช่นนี้ จึงจำต้องออกมา เพื่อไม่ให้คนนอกสงสัย
อย่างไรเสียอายุครรภ์ก็มากแล้ว ท้องก็โตมากแล้วเช่นกัน ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนดังก่อนเช่นนั้นอีก
เจี่ยไทเฮาเสด็จนำบรรดาสตรีเดินเข้าไปในตำหนัก แม่ชีจิ้งอี้ให้บรรดาแม่ชีตระเตรียมเบาะนั่งทรงกลมไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนในวังหลังคุกเข่าเรียงลำดับตามฐานันดร
แม่ชีจิ้งอี้พาแม่ชีแจกธูปให้แก่เหล่าสตรีชั้นสูง เมื่อเดินมาถึงข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตกใจอยู่มากทีเดียว โพล่งขึ้นว่า “พระชายาฉินอ๋องรึ…นี่…คือพระชายาฉินอ๋องใช่หรือไม่”
เจี่ยงอวี๋ดวงตาขยับไหว แม่ชีเฒ่านางนี้แค่สั่งก็เข้าใจทันที อีกเดี๋ยวจะตบรางวัลให้อย่างงาม นางก้าวเข้าไปหา “อย่ามาพูดเหลวไหล แม่นางท่านนี้คืออวิ๋นเหม่ยเหรินแห่งวังหลังของฝ่าบาท”
แม่ชีจิ้งอี้รีบคุกเข่าลง “หม่อมฉันพลั้งปากไปเพคะ”
เจี่ยไทเฮาโดนเหตุการณ์ด้านหลังรบกวนเข้าก็หันหน้าไปมอง
เจี่ยงอวี๋มองแม่นางสวีแวบหนึ่ง สวีคังเฟยพลันเอ่ยขึ้นเสียงดังตามที่นางต้องการว่า “นี่ก็โทษแม่ชีจิ้งอี้มิได้หรอก ตอนนั้นอวิ๋นเหม่ยเหรินเข้าอารามฉางชิงมารับโทษ ยังเป็นพระชายาฉินอ๋องอยู่เลย อารามฉางชิงแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์เอาไว้บูชาพระ ห่างไกลจากโลกภายนอก แม่ชีจิ้งอี้ยังไม่รู้ว่าแม่นางอวิ๋นเป็นเหม่ยเหรินของฝ่าบาท ปฏิกิริยาช้าก็เป็นเรื่องปกติ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
เจี่ยงอวี๋ตำหนิว่า “คังเฟยอย่าได้เหลวไหล เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ยามนี้ก็คือยามนี้! พระชายาฉินอ๋องอันใดกัน คำเรียกนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว! จากนี้ไปอย่าได้พูดขึ้นมาอีก!”
สวีคังเฟยยู่ปาก ทว่าก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ อีกว่า “หม่อมฉันก็พูดตามความจริง จะหลอกตัวเองและผู้อื่นอย่างไรก็ลบล้างอดีตที่ผ่านมามิได้นี่เพคะ วันนี้เราต่างมาขอพรให้แก่เหล่าทหารแนวหน้า นางกลับขอพรให้สามีเก่า…”
แม้เสียงจะเบา แต่ในฝอถังเงียบสนิท จึงได้ยินอย่างชัดเจน
บรรดาชายาสนมซุบซิบกันขึ้นมา กระทั่งเหล่าแม่ชีต่างเหลือบมามอง ครู่ต่อมา สายตาทั้งหมดก็รวมอยู่บนท้องที่นูนโตของนาง ทว่ากลับเห็นนางเอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “วันนี้หม่อมฉันแค่ตามเสด็จไทเฮามาขอพรแด่ทหารแนวหน้าอย่างจริงใจ ยังคิดว่าตั้งแต่แม่ทัพนายกองจนไปถึงทหารใต้บัญชา ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ขอเพียงออกรบต่อสู้เพื่อต้าเซวียน ล้วนควรค่าแก่การคุ้มครองของพระโพธิสัตว์ หม่อมฉันกลับมิได้คิดซับซ้อนอย่างที่คังเฟยคิด”
ประโยคนี้จบลง ทุกคนต่างหยุดวิพากษ์วิจารณ์กัน เจี่ยงอวี๋กับสวีคังเฟยสีหน้าเหยเก
“นี่จึงเป็นคำพูดอันใจกว้างสุขุมเยือกเย็นที่ควรพูดของสตรีข้างกายฝ่าบาท” เจี่ยไทเฮาสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “สงครามแนวหน้ากำลังดุเดือด ฝ่าบาททรงทุ่มเทลำบากเพื่อเรื่องนี้ มีบางคนกลับยังมาพูดเรื่องเสียๆ หายๆ หึงหวงแย่งชิงความรัก อิจฉาริษยาต่อหน้าพระโพธิสัตว์ น่าอับอายขายขี้หน้าอีก”
สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นมองไป เจี่ยงอวี๋ผู้นี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง สาเหตุที่ทำให้นางมักจะไม่ได้ในตำแหน่งที่หวัง มิใช่เพราะมีบุตรมิได้ และมิใช่เพราะเป็นลูกของสายรอง แต่เป็นการที่นางทำเรื่องที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมอยู่ตลอดต่างหาก
เจี่ยงอวี๋กัดฟันกรอด ใจกว้างสุขุมเยือกเย็น ใช้บรรยายถึงฮองเฮายังพอทำเนา ใจกว้างอย่างนั้นรึ ต่อให้ใจกว้างเพียงใดก็เป็นแค่เหม่ยเหริน จากชายาตกต่ำมาเป็นสนม สนมคนหนึ่งสามารถมีความใจกว้างได้เพียงใดกัน
หม่าซื่อไกล่เกลี่ยว่า “ฮุ่ยเฟย คังเฟย ไม่อาจพลาดฤกษ์ยามอันดีได้ รีบมาจุดธูปกับไทฮองไทเฮาเถิด”
แม้ว่าสวีคังเฟยจะปกป้องเจี่ยงอวี๋ แต่ก็กลัวไทฮองไทเฮาจะไม่พอพระทัย มิได้ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คนแล้ว ตรงกันข้ามกลับยังโดนไทฮองไทเฮาว่ากล่าวอีก ได้ไม่คุ้มเสีย นางดึงเจี่ยงอวี้ไว้บ่งบอกว่าช่างมันเถอะ
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไป
กราบไหว้พระเสร็จ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว สตรีทุกคนน้อมส่งไทฮองไทเฮาเสด็จกลับ ในขณะที่กำลังจะเดินตามฮุ่ยเฟยและสวีคังเฟยออกจากตำหนักไป กลับเห็นสายตาของฮุ่ยเฟยสอดส่ายท่ามกลางฝูงชนไปตกลงบนร่างคนผู้หนึ่ง “นอกจากอวิ๋นเหม่ยเหริน พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
บรรดาชายาสนมเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี จึงรีบพาผู้ติดตามแต่ละคนออกไป
ภายในห้องเงียบงันขึ้น ชูซย่าเห็นว่าเหลือแค่เจี่ยงอวี๋กับสวีคังเฟยเดินมายังเบื้องหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว ก็มาบังอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ “ไม่ทราบว่าฮุ่ยเฟยรั้งให้นายหญิงหม่อมฉันอยู่ด้วยธุระใดหรือ”
“เฮอะ ช่างเป็นสาวใช้ที่ภักดีเสียจริง ข้ายังไม่ทันจะได้พูดอันใด ก็รีบร้อนปกป้องนายเสียแล้ว” เจี่ยงอวี๋สั่งขันทีที่ติดตามลากชูซย่าแยกออกมา
“พวกเจ้าจะทำอันใด” ชูซย่าทั้งดิ้นทั้งสะบัด ตะโกนขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกขบขันเล็กน้อย นางจ้องเจี่ยงอวี๋นิ่ง “ไทฮองไทเฮาเพิ่งจะออกจากอารามฉางชิงไป เกรงว่าจะยังไม่ทันได้พ้นมุมเลี้ยวเลย และต่อให้เลี้ยวออกไปแล้ว ทางไปตำหนักฉือหนิง หม่อมฉันก็ยังคงรู้อยู่”
“ฮุ่ยเฟย วันนี้พอแค่นี้เถิด” สวีคังเฟยได้ยินนางเอ่ยถึงไทฮองไทเฮาขึ้นมา กลัวว่าจะเกิดเรื่อง จึงกังวลขึ้นมา เดินเข้าไปหาเจี่ยงอวี๋ ขยับไปข้างหูกระซิบบอก
เจี่ยงอวี๋โมโหจนหน้าแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะอาศัยที่ไทฮองไทเฮาให้ท้ายในวังหลังหรือไร ทำให้ตนไม่อาจลงมือลงไม้กับนางตามอำเภอใจได้ ทำเพียงแย้มยิ้มออกมา “ปฏิกิริยานี้ของอวิ๋นเหม่ยเหรินตระหนกเกินไปแล้ว ข้าก็แค่หวังดี เจ้าหอบท้องโตๆ มาฝอถัง กราบไหว้ให้มากหน่อยจะดีกว่า เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะพูดเสียคล่องแคล่ว ความจริงแล้วก็ยังคงเป็นห่วงฉินอ๋องอยู่กระมัง ได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนเกิดไฟไหม้ขึ้นอีกแล้ว ยังไม่ดับเลย เปิดศึกในหุบเขาบงกชหิมะของแดนเหนือที่สูงชันที่สุด เฮ้อ อันตรายยิ่ง อวิ๋นเหม่ยเหรินขอพรให้มากหน่อยจะดีกว่า จริงสิ แน่นอนว่าไม่ได้ขอให้ฉินอ๋อง แต่ขอให้แก่ทหารทั้งหมดของต้าเซวียนนะ”
ชูซย่าเห็นเจี่ยงอวี๋หาข้ออ้างมาทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นคุกเข่าให้นานขึ้น จึงแย้งว่า “เหม่ยเหรินท้องโตเพียงนี้ คุกเข่ากับไทฮองไทเฮามาตลอดบ่ายแล้ว ให้คุกเข่าต่อไปอีกเกรงว่าจะมีปัญหาเอาได้!”
ยังพูดไม่ทันจบ กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปยังเบาะทรงกลมตรงกลาง เลิกชายกระโปรงขึ้น คุกเข่าลงไป
เจี่ยงอวี๋เห็นนางคุกเข่าลงก็ไม่กลั่นแกล้งอีก ยิ้มเอ่ยว่า “ช่วงเวลาที่คุกเข่ากราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้นพิถีพิถัน อย่าได้ล้มเลิกไปกลางคันเสียล่ะ พระโพธิสัตว์จะไม่พอใจเอาได้ อย่างน้อยก็ต้องคุกเข่าลงหนึ่งชั่วยามเหมือนกับในตอนกลางวันที่เราทำกัน” กล่าวจบก็พาสวีคังเฟยออกไป
ชูซย่าเห็นคนไปแล้วก็รีบเข้าไปบอกว่า “บ่าวจะไปทูลไทฮองไทเฮา ต้องไม่ให้ท่านคุกเข่า…”
“ช่างเถิด ก็แค่ให้คุกเข่าชั่วครู่เท่านั้น ยามนี้อย่างไรเสียนางก็ใหญ่ที่สุดในวังหลัง ไม่ให้นางใช้อำนาจในมือสักหน่อย นางก็เหมือนเด็กน้อย มักจะจดจำ ตามใจนางไป นางก็จะเบื่อไปเอง ภายหน้าเราก็จะไม่โดนหาเรื่องมากนัก และไม่อาจไปรบกวนไทฮองไทเฮาได้ทุกเรื่องด้วย” นางเอ่ยเสียงเรียบ
ชูซย่าเห็นนายหญิงตัดสินใจจะอดทน ก็คุกเข่าลงบนนวมข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ เพิ่มเบาะนุ่มให้หนาขึ้นตรงหัวเข่านางเป็นครั้งคราว แล้วช่วยประคองหลังกับเอวนางไว้ด้วย เพื่อทุ่นแรงแก่นาง
ตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อย แดดส่องทะลุม่านมา สาดเข้ามาภายในห้อง อาบย้อมเป็นแสงเรืองรองสีทองอร่าม
ได้เวลาอันสมควรแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นปวดเมื่อยเอวและร่างกายไปหมด จะคลอดแล้วจริงๆ ร่างกายหนักขึ้นทุกวัน หลายวันก่อนยังสามารถเดินไปมาในลานบ้านอยู่หลายรอบได้ วันนี้กลับอ่อนแรงลง นางพยุงตัวกับไหล่ของชูซย่า ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น ลมด้านนอกโบกพัดเข้ามา มีคนวิ่งไม่ทิ้งฝุ่นเข้ามาในอารามฉางชิง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฉีไหวเอิน