ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 253.2 เสน่ห์ความงามเพิ่มมากขึ้น แยกออกจากกัน (2)
เจี่ยงอวี๋ถอนหายใจเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง
เหมือนกับที่ตนให้คนไปสืบมา ตอนนั้นคนรับใช้กลับมาเล่าว่าชีมอมอเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย โดนเอาขึ้นพร้อมกับเยื่อไม้จากน้ำกอบัวกลางทะเลสาบ ตรงกลางมีเรือนน้อยลอยอยู่ สีหน้านางผ่อนคลายลง “อ้อ นี่จะโทษอวิ๋นเหม่ยเหรินได้อย่างไร เก็บดอกบัวยังพลาดล้มได้ โง่เสียจริง สมน้ำหน้าที่ตายไป ครั้งหน้าเลือกคนเข้าหอเหยาไถ ต้องเลือกที่ฉลาดๆ เสียหน่อย”
“หากครั้งหน้าจะเลือกคนอีก หม่อมฉันจะมองคนให้ดีเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเจี่ยงอวี๋นิ่ง อมยิ้มน้อยๆ
สวีคังเฟยเห็นเจี่ยงอวี๋ส่งสายตามาให้ ก็ใช้ผ้าปิดปากไว้อย่างถูกเวลา ยิ้มพลางหยั่งเชิงว่า “ในเมื่ออวิ๋นเหม่ยเหรินร่างกายฟื้นตัวแล้ว หอเหยาไถก็เงียบเหงามานานเพียงนี้ เกรงว่าฝ่าบาทจะเรียกหาเจ้าในเร็ววันนี้กระมัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสวีคังเฟยอยู่เงียบๆ “คังเฟยล้อกันเล่นแล้ว วังหลังมีเหนียงเหนียงงดงามสะสวยเยาว์วัยมากมายเพียงนี้ หม่อมฉันตำแหน่งต่ำต้อย ฝ่าบาทไหนเลยจะมาเห็นหม่อมฉันได้ หากปรนนิบัติร่วมหลับนอนก็ต้องเป็นฮุ่ยเฟยกับคังเฟยเป็นผู้นำก่อนแน่ๆ เพคะ”
เจี่ยงอวี๋ได้ยินนางปากหวาน ไหนเลยจะเชื่อ มุมปากเผยความเย็นชาออกมา “ฝ่าบาททรงต้องการใครไปปรนนิบัติ ไม่ค่อยเกี่ยวกับลำดับขั้นเท่าใดนัก เจ้าไม่อยาก แต่หากฝ่าบาทต้องการให้เจ้ารับใช้เล่า”
“ฮุ่ยเฟยวางใจได้เพคะ” ชูซย่าโพล่งขึ้นกลางป้อง สีหน้าแดงก่ำ คล้ายอดรนทนไม่ไหวอีกแล้ว “ยามนี้ต่อให้ฝ่าบาทเรียกให้ไปปรนนิบัติ นายหญิงของบ่าวก็ไม่มีกระจิตกระใจหรอก ต้องใช้ความตายมาปฏิเสธแน่!”
“หุบปาก! เหลวไหลอันใดของเจ้า!” อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาดุดัน ตำหนิขึ้น เรียกให้เหล่าสนมหันมามอง ทว่าก็กลืนคำพูดลงไปได้ทัน ขอบตานางแดงก่ำ ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย
“โอ๊ะ หมายความว่าอย่างไรรึ ฝ่าบาทเรียกให้ไปปรนนิบัติ เหม่ยเหรินยังจะสามารถไม่มีกระจิตกระใจทำได้รึ” เจี่ยงอวี๋สบตากันกับสวีคังเฟย เกิดความประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าก็เอ่ยถามหยั่งเชิงไป
หากแต่ฟันเรียงสวยของอวิ๋นหว่านชิ่นกัดริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยคำใดอีก ถูกถามจนร้อนใจ ปลายจมูกแดงเรื่อ น้ำตาคลอ
สวีคังเฟยสมองพลันเป็นประกายวาบ ขยับไปข้างหูเจี่ยงอวี๋ กระซิบว่า “ก่อนหน้านี้มิใช่ว่ามีกองทัพต้าเซวียนกองหนึ่งตกลงไปในหุบเขาบงกชหิมะหรือ ได้ยินว่ารวมถึงทหารของฉินอ๋องด้วย…”
เจี่ยงอวี๋กระจ่างแจ้งทันใด ที่แท้นางแพศยานี่ก็กำลังเสียใจกับการตายของสวามีเก่านี่เอง คงอยากจะรักษาความบริสุทธิ์ไว้ให้แก่ฉินอ๋องนั่นสักระยะหนึ่งล่ะสิ! โถๆ ว่านางว่าใจง่าย กลับยังมีความจงรักภักดีอยู่บ้างนี่นา
สวีคังเฟยกับเจี่ยงอวี๋สื่อสารกันทางสายตาครู่หนึ่ง ในขณะที่เห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ สวีคังเฟยก็ยกจอกสุราชูไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น “ช่างเถิด ไม่พูดถึงแล้วดีกว่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นระงับความเสียใจบนสีหน้าเอาไว้ หยิบจอกสุราขึ้นชนกับสวีคังเฟย ในชั่วขณะที่จอกทั้งสองชนกันนั้น พอยกแขนขึ้นแขนเสื้อก็สั่น ไหลลงไปด้านล่างหลายชุ่น ทว่าก็ยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ยกสุราขึ้นดื่ม นางยังคงใจลอย อารมณ์คล้ายหดหู่อย่างยิ่ง
เจี่ยงอวี๋เห็นท่าทางแม่ม่ายที่สูญเสียสามี ระยะนี้เกรงว่าคงจะไม่คิดถึงเรื่องฝ่าบาทแล้ว จึงไม่สนใจอีก นางยกจอกขึ้นพูดคุยกับบรรดาสนมอยู่นิดหน่อย
ทุกคนก็ต่างรู้ถึงจุดประสงค์ที่ฮุ่ยเฟยจัดงานเลี้ยงครานี้ เจี่ยงอวี๋ผู้นี้เป็นนายหญิงที่เห็นแก่ตัวในตงกง ใครแย่งผู้ชายกับนางก็จะเป็นศัตรูกับนาง ยามนี้ยิ่งเกรงกลัวในตำแหน่งของนาง ไหนเลยจะมีคนกล้าเป็นปรปักษ์ด้วย แต่ละคนต่างรับปากกันเงียบๆ ไม่ไปเยื้อแย่งปรนนิบัติกันกับฮุ่ยเฟยในครานี้
เจี่ยงอวี๋พอใจอย่างมาก เรียกให้เหล่านางกำนัลเติมสุราและผลไม้ให้พวกนาง
ตลอดทั้งงานเลี้ยง อวิ๋นหว่านชิ่นดื่มอยู่คนเดียว ให้เจี่ยงอวี๋กับแม่นางสวีได้มองท่าทางผิดหวังเสียใจของตนเสียให้พอ ครั้นงานเลี้ยงใกล้จะเลิกรา นางรู้สึกแขนและบริเวณลำคอเริ่มคันขึ้น จึงหันหน้าไปเหลือบมองสวีคังเฟยแวบหนึ่ง เห็นนางคล้ายลุกลี้ลุกลนยากจะสงบ แต่เพราะอยู่ในที่สาธารณะ ไม่เหมาะจะดึงผ้าถลกผ่อน จำต้องพยายามอดทนเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ยามเที่ยงตรงมาถึง เหล่าสนมต่างเหนื่อยล้าแล้ว รอเจี่ยงอวี๋ออกจากงานเลี้ยงไป นายหญิงคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไปหมด
สวีคังเฟยที่เริ่มคันคะเยอทั้งตัวเมื่อครู่ เห็นงานเลี้ยงภายในเลิกราแล้ว ก็รอต่อไปไม่ไหว เรียกสาวใช้เตรียมจะกลับตำหนักไปเกาตัว ทว่าได้ยินเสียงตะโกนอย่างตกใจดังมาจากด้านหลัง “เหม่ยเหริน เกิดอันใดขึ้นกับร่างกายท่าน”
สวีคังเฟยหันกลับไปมอง เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าตกตะลึง จึงเลิกแขนเสื้อขึ้นตามที่ชูซย่าเตือน บนข้อมือขาวราวหิมะบวมแดงเป็นปื้น นางเกาลำคออีกครั้ง
สวีคังเฟยตกใจ รีบเลิกแขนเสื้อขึ้น นึกไม่ถึงว่าบนข้อมือก็เหมือนกับอวิ๋นหว่านชิ่นเช่นกัน จึงเดินเข้าไปหา “เจ้าคันตัวใช่หรือไม่”
ไหนเลยจะต้องให้อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับมา แค่ดูจากท่าทางคันคะเยอทั่วร่างของนางก็รู้ได้แล้ว สวีคังเฟยมองจอกสามใบที่ยังไม่เก็บไปบนโต๊ะ ดวงใจก็เย็นเยียบ
ชูซย่าไม่มีเวลามาสนใจคำพูดสวีคังเฟย นางรีบเร่งอวิ๋นหว่านชิ่น “กลับไปให้หมอหลวงดูก่อนเถิดเพคะ”
“ไม่เป็นไร แค่คันเท่านั้น ฤดูนี้เกสรลอยปลิวเต็มสวนหลวง มาโดนผิวหนังเข้า เป็นธรรมดาที่จะมีผื่นขึ้นเล็กๆ อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว ไหนเลยจะต้องให้เรียกหมอหลวง” อวิ๋นหว่านชิ่นเกาไปพลางเอ่ยไปพลาง
“อย่างอื่นไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่ทั่วร่างเป็นตุ่มใหญ่แดงเทือกเช่นนี้จะไปพบใครได้ กลับไปทายาดีกว่าเพคะ” ชูซย่าคำนับให้ตังเฟยอย่างรีบร้อน พยุงนายหญิงกลับไปก่อน
“นายหญิง…” สาวใช้ข้างกายของคังเฟยเข้ามาหา
แต่กลับเห็นสวีคังเฟยขมวดคิ้ว กำหมัดเอาไว้แน่น “พูดเสียดิบดีว่าอะไรนะ เราสองคนใครปรนนิบัติรับใช้ก็เหมือนกัน สุดท้ายก็ยังแอบลงมือกับข้าเช่นนี้!”
“เป็นการเข้าใจผิดหรือไม่เพคะ”
“เข้าใจผิดรึ นางเองกลับไม่เป็นไร มีแค่ข้ากับแม่นางอวิ๋นนั่นที่ตุ่มเต็มตัวเช่นนี้! เฮอะ ท่าทางเช่นนี้ คิดจะปรนนิบัติก็น่าอาย! มิใช่นางแล้วจะเป็นใครได้อีก ปากบอกว่าไม่บังคับข้า แต่ให้ข้าได้รู้ซึ้งเองแล้วยอมถอยไป! นิสัยของนาง ข้าจะไม่รู้หรือไร วันหนึ่งไม่หึงหวงแย่งชิงความโปรดปราน ยังทรมานกว่าไม่กินข้าวสิบวันเสียอีก!” สวีคังเฟยยิ่งหงุดหงิดกับอาการคันคะเยอทั่วร่าง นางจึงลากสาวใช้กลับไปทายา
ลมฤดูสารทเพิ่งจะผ่านพ้นไป ลมเหมันต์ก็ผ่านพัดมา คิมหันต์จากไปเหมันต์จรมา ช่วงปลายปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ปีใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ราชสำนักมีข่าวคราวมา ซย่าโหวซื่อจุนเปลี่ยนรัชศกเป็นหลงชัง
รัชสมัยหนิงซีได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปอย่างสมบูรณ์
แม้อวิ๋นหว่านชิ่นจะยอมรับความจริงว่าชาตินี้มีราชวงศ์ใหม่นี้ แต่พอเปลี่ยนรัชสมัยเป็นหลงชังก็ยังคงตะลึงอยู่ดี
แต่นี้ไปทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีรัชสมัยหนิงซีอีกแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็ได้กลายเป็นฝุ่นผงแล้วเช่นกัน รัชศกหลงชังได้เปิดฉากขึ้น หลงชังฮ่องเต้ได้มาแทนที่ในราชสำนัก
วันนั้นหลังสวนหลวง สวีคังเฟยเกิดคันเนื้อคันตัวทั่วร่าง รักษาอยู่เดือนกว่าจึงได้ทุเลาลงไปบ้าง สนมคนอื่นๆ ในวังหลังก็ไม่กล้าไปแย่งชิงความโปรดปรานกันกับเจี่ยงอวี๋ ดังนั้นหลังจากวันนั้นมาไม่นาน ฝ่าบาทก็เรียกเจี่ยงอวี๋ไปปรนนิบัติคนเดียว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังอุ้มบัวลอยน้อยที่เพิ่งโดนแม่นมป้อนนมให้เสร็จหยอกล้อกันอยู่
ชูซย่ากลับมาจากด้านนอก บอกว่า “คังเฟยได้ยินว่าวันก่อนฮุ่ยเฟยถวายการรับใช้ เมื่อครู่นี้เพิ่งจะระบายอารมณ์อยู่ในตำหนักอีกแล้วเพคะ”
วันนั้นก่อนจะไปร่วมงานเลี้ยงที่สวนหลวง นายหญิงหยิบผงหอมห่อเล็กๆ ห่อหนึ่งจากโต๊ะเครื่องแป้งใส่ไว้ในกระเป๋า ชูซย่าก็เดาบางอย่างได้แล้ว ช่วงเวลานั้นนายหญิงทำยาหอมไปไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเกสรดอกไม้ที่ก่อให้เกิดผื่นและทำให้ผิวหนังคันคะเยอ
“นางปิดประตูระบายอารมณ์ แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าจากร่างลูกชายขึ้นมา
“เดิมทีก็ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ คังเฟยโยนของโบราณแตกไปตั้งหลายชิ้น นางกำนัลในตำหนักของนางเอาเศษของโบราณที่แตกไปฝัง นางกำนัลมากมายต่างไปขุดกันขึ้นมา มีของโบราณบางชิ้นที่ทิ้งแล้วกลับยังมีราคาอยู่ จึงได้แพร่สะพัดไปทั่ววัง” ชูซย่ายิ้มเอ่ย