ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 253.4 เสน่ห์ความงามเพิ่มมากขึ้น แยกออกจากกัน (4)
ในยามฟ้าสาง อวิ๋นหว่านชิ่นทราบว่าพวกเขากลับกันไปแล้ว จึงกลับไปที่ห้องหลัก ห้องและตั่งเตียงเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว
นางกำนัลน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ กระซิบรายงานเรื่องเมื่อคืน “เมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จมา เห็นเป็นคังเฟยเหนียงเหนียงก็ทรงตกใจมาก บ่าวทำตามที่ท่านสั่ง บอกว่าท่านดื่มสุราหวานมากไปจึงมึนเมา เห็นคังเฟยอาบน้ำอยู่ห้องหลักจึงไปพักผ่อนที่ห้องด้านข้าง เมามายยิ่ง จึงหลับไปแล้ว สีพระพักตร์ฝ่าบาทดูมิได้ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็มิได้ตรัสคำใด คังเฟยนั่นกลับมีไหวพริบ ตอแยพูดคุยกับฝ่าบาท เมื่อคืนฝ่าบาทจึงอยู่ต่อ…”
จงใจเชิญฝ่าบาทให้เสด็จมา แต่ยกโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไปให้แก่สวีคังเฟย ไม่รู้เหมือนกันว่านายหญิงผู้นี้ต้องการจะทำอันใดกันแน่
“ทราบแล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจ แล้วเหลือบไปมองเตียงแวบหนึ่ง “เปลี่ยนที่นอนและปลอกผ้าห่มทั้งหมดเสีย” ไม่รู้ว่าทั้งสองเกลือกกลิ้งกันบนเตียงตนอย่างไร
นางกำนัลขานรับแล้วหอบพวกมันออกไป
ตะวันสูงขึ้นฟ้า อวิ๋นหว่านชิ่นทานอาหารเช้าเสร็จ นางกำนัลคนหนึ่งก็เข้าหอเหยาไถมาถวายคำนับโดยมีม่านกั้น
เป็นสาวใช้ข้างกายคนสนิทของสวีคังเฟย อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดี จึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธี “เมื่อคืนหลังจากคังเฟยเหนียงเหนียงอาบน้ำเสร็จ ร่างกายสบายขึ้นแล้วกระมัง”
สาวใช้คนนั้นยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยอวิ๋นเหม่ยเหรินเพคะ เหนียงเหนียงของบ่าวมีความสุขยิ่ง ตั้งใจให้บ่าวมาขอบคุณท่านเป็นพิเศษ ซ้ำยังให้บ่าวนำของกำนัลมากมายมาให้ด้วยเพคะ” เหนียงเหนียงของตนไม่ได้เข้าใกล้ฝ่าบาทมานานเพียงใดก็จำมิได้แล้ว หมู่นี้ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว กว่าจะอยากหาคนมาปรนนิบัติรับใช้นั้นไม่ง่ายเลย ทั้งยังโดนเจี่ยงฮุ่ยเฟยใช้วิธีสกปรกแย่งชิงไปอีก เมื่อคืนกลับไป คังเฟยได้ระบายความสะอิดสะเอียนออกไป ท่าทางดีใจมีความสุข คนรับใช้ข้างกายล้วนเห็นอย่างชัดเจน
“คังเฟยเหนียงเหนียงเกรงอกเกรงใจกันเกินไปแล้ว หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเมื่อคืนฝ่าบาทจะเสด็จมากะทันหัน ยิ่งไม่ได้นึกเลยว่าตัวเองจะคออ่อน เมามายอย่างหนัก จึงได้ช่วยให้คังเฟยและฝ่าบาทได้สมหวังในบุพเพอันดีงามนี้”
“ไม่ว่าอย่างไร ก็อาศัยโชคของอวิ๋นเหม่ยเหรินอยู่ดี คังเฟยจึงได้สมดังปรารถนา” สาวใช้เอ่ยอย่างนอบน้อม “บุญคุณครานี้ คังเฟยจะจดจำไว้แน่นอน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอาแต่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงมองสาวใช้วางของกำนัลลง แล้วออกจากหอเหยาไถไป
ชูซย่าจึงได้เข้ามา และทราบดีว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังคิดจะทำอะไร ก็แค่จะแยกเจี่ยงอวี๋กับแม่นางสวีออกจากกันเท่านั้น นางมองลอดหน้าต่างไปยังเงาร่างของสาวใช้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ยามนี้คังเฟยแม้จะรู้สึกขัดข้องใจกับฮุ่ยเฟย ขยับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่าน แต่หากใช้ประโยชน์จากคังเฟยไปโจมตีฮุ่ยเฟย เกรงว่าอาจจะเป็นไปไม่ค่อยได้นัก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าในลานบ้าน “บัวลอยน้อยหายไอหรือยัง” พออากาศหนาว อุณหภูมิก็ต่ำลง ระยะนี้ในวังหลวงล้มป่วยกันไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาเด็กๆ ที่อายุน้อย ภูมิคุ้มกันต่ำ แต่ละคนล้วนมีไข้ เมื่อสองวันก่อนบัวลอยน้อยเริ่มมีอาการไอ เหยาย่วนพั่นมาดูอาการด้วยตัวเอง บอกว่าไม่เป็นไร ออกยาให้ความอบอุ่นและสลายความเย็นให้ จึงดีขึ้นมากแล้ว
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ” ชูซย่าเอ่ย “เมื่อคืนไม่ได้ไอแล้ว วันนี้พอตื่นมาก็ร่าเริงดี น้ำนมก็ดื่มไปไม่น้อย ตอนนี้หลับไปอีกรอบแล้ว อีกเดี๋ยวพอตื่นมา ค่อยให้แม่นมอุ้มมาให้นายหญิงดูเจ้าค่ะ แต่บ่าวว่า บัวลอยน้อยของเราร่างกายแข็งแรง เก่งกาจกว่าเด็กสองสามขวบเสียอีก เซี่ยวเอ๋อร์โตกว่าบัวลอยน้อยปีหนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นไข้ถึงยามนี้เพิ่งจะลด องค์หญิงติ้งอี๋ก็ไอมาครึ่งเดือนกว่าแล้วยังไม่หายเลย เฮ้อ อากาศเช่นนี้ทรมานคนเสียจริง ผู้ใหญ่ไม่เท่าใด เด็กน้อยน่ะสิจะแย่”
องค์หญิงติ้งอี๋เป็นธิดาของสวีคังเฟย อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้ว “ได้ยินมาว่าองค์หญิงติ้งอี๋ประชวรอยู่เหมือนกัน เหตุใดนานเพียงนี้แล้วยังไม่หายเล่า”
“แม่นางน้อยเดิมทีก็ร่างกายอ่อนแอ แต่ไหนแต่ไรมาคังเฟยมองธิดาคนเดียวคนนี้เป็นดั่งของล้ำค่า คนเขาว่ากันว่าฤดูใบไม้ผลิคลุมให้อุ่น ฤดูใบไม้ร่วงปล่อยหนาว[1] เด็กน้อยนั้น ไม่เอาใจใส่ตนเอง แต่นางดีหน่อย พอหนาวขึ้นมาเล็กน้อยก็ให้องค์หญิงสวมเสื้อผ้าเพิ่ม ห่อจนกลายเป็นภูเขา พอร้อนเข้าหน่อยก็กลัวว่านางจะจับไข้ร้อน ก็โบกพัดขนน้ำแข็งมาให้ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงจึงภูมิคุ้มกันต่ำ พอโดนลมเข้าหน่อยก็ล้มป่วย ทุกครั้งที่บ่าวเห็นองค์หญิงติ้งอี๋ ไม่ไอไม่จามก็น้ำมูกไหล แม้จะบอกว่ามิใช่ป่วยหนักอันใด แต่ก็ไม่เคยเห็นท่าทางสบายดีเลยสักครั้ง”
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดพักใหญ่ จึงเรียกฉีไหวเอินให้มาหา “เจ้าไปบอกเหนียนกงกงให้ที”
“นายหญิงมีอันใดจะบอกหรือ” ฉีไหวเอินถาม
“บอกไปว่าองค์ชายรองล้มป่วยไม่หายเสียที กินยาก็ไม่ได้ผล ข้าอยากเชิญพระมาที่หอเหยาไถ สวดมนต์ขอพรให้แก่ลูก ขจัดโชคร้าย”
“แต่บัวลอยน้อยดีขึ้นมาแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” ชูซย่าตกใจ สอดปากขึ้น
“ใกล้จะหายแล้วเท่านั้น มิใช่หายแล้วเสียหน่อย”
ชูซย่ากระจ่างแจ้ง แต่การขอร้องของนายหญิงนี้ก็ปกติมาก อย่าว่าแต่ในวังหลวงเลย ต่อให้เป็นครอบครัวใหญ่ คนป่วยไม่น้อยที่เนิ่นนานไม่หายเสียที ก็จะเชิญพระหรือไม่ก็นักพรตเต๋ามาทำบุญที่จวน ขจัดภูตผี ปัดเป่าโรคภัย ราชวงศ์ต้าเซวียนนับถือพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า เชิญบรรดานักพรตภิกษุเข้าวังมาเทศสั่งสอนพระคัมภีร์อยู่เสมอ จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด มีฮ่องเต้พระองค์ก่อนผูกสมัครเป็นพี่น้องกับพระ ส่งกลุ่มพระภิกษุไปยังแดนตะวันตกเพื่อถกเกี่ยวกับพุทธศาสนา
ครู่ต่อมา ชูซย่าหยั่งเชิงว่า “นายหญิงอยากจะเชิญไต้ซือท่านใดมา มีรายชื่อแล้วกระมัง”
“ไต้ซืออู้เต๋อ” อู้เต๋อเป็นภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่งผู้คนมากมายคอยติดตาม และเป็นศิษย์พี่น้องกับกู้เทียนซิวนักบวชประจำราชสำนักด้วย ไม่ว่าจะสถานะหรืออำนาจชื่อเสียง ล้วนมีคุณสมบัติที่จะเข้าวังได้ หากฝ่าบาททรงอนุญาต ก็น่าจะเป็นเขาได้
ฉีไหวเอินนิ่งอึ้ง ไต้ซืออู้เต๋อไม่เพียงแต่จะมีอำนาจมากมาย เย่อหยิ่งจนคนไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว ทั่วทุกหนแห่งล้วนมีคนต่อแถวขอพร ทั้งยังมีชื่อเสียงในวังหลวงมากมาย นางกำนัลไม่น้อย กระทั่งชายาสนมต่างมีใจใฝ่หา แต่วังหลวงเข้มงวดกรวดขันนัก ไม่ได้อิสระเสรีเหมือนอย่างพวกชาวบ้าน จึงทำได้เพียงฟังชื่อเสียงของเขา ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ มาก่อน เห็นได้ชัดว่า หากอู้เต๋อเข้าวังมา จะก่อให้เกิดกระแสขึ้นเพียงใด เกรงว่าจะโดนนายหญิงแต่ละตำหนักล้อมหน้าล้อมหลัง ทว่าเขาลังเลขึ้นอีกครั้ง “ไต้ซืออู้เต๋อชื่อเสียงโด่งดังเพียงนั้น พวกเขาที่ไม่ยุ่งกับโลกโลกีย์ไม่หวาดกลัวอำนาจกษัตริย์ ต่อให้ฝ่าบาททรงอนุญาต ส่งคนไปเรียกตัวมา เขาจะมาหรือ”
ชูซย่ายิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อนายหญิงเป็นคนเชิญไต่อให้ไต้ซืออู้เต๋อไม่อยู่ที่เมืองหลวง ก็จะเร่งรุดข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนได้ เจ้าแค่ไปขอพระราชโองการจากเหนียนกงกงมาก็พอ”
ในวันที่ไต้ซืออู้เต๋อเข้าวังมา เกิดความคึกคักขึ้นอย่างไม่ได้เห็นมาหลายปีขึ้นที่วังหลังจริงดังคาด กลายเป็นการเยื้อแย่งกันขึ้นมา
หลังจากอู้เต๋อสวดมนต์ให้แก่องค์ชายรองที่หอเหยาไถออกมาแล้ว ชายาสนมที่มีความสามารถสักหน่อยก็ส่งนางกำนัลข้างกายมารออยู่ในระแวกนั้น พอเห็นเขาก็เดินไปหา คิดจะเชิญอู้เต๋อไปยังตำหนักของตน
เหล่านางกำนัลเยื้อแย่งกันยังไม่ทันเสร็จ อู้เต๋อทำเพียงยืนอยู่กับที่เงียบๆ
บรรดานางกำนัลเห็นนักพรตผู้นี้หนวดเคราขาวยาว ท่าทางไม่แยแส ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ มิน่าเล่าชาวบ้านยกย่องให้กลายเป็นเทพเซียนมีชีวิต จะต้องแย่งมาให้นายหญิงของตนให้ได้
ในขณะที่กำลังโวยวายกันอยู่นั้น ฝูงชนเบื้องหน้าก็แตกกระเจิง มีนางกำนัลในชุดหรูหราเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยอง เดินตรงมา
คนอื่นๆ พอเห็นนางกำนัลคนนี้ จู่ๆ ก็เงียบลง ความร้ายกาจเมื่อครู่พลันมลายหายไปสิ้น ทุกคนต่างถอยไปอีกด้านหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนาม อู้เต๋อก็พอจะเดาออก ผู้มาใหม่นี้ต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งโดดเด่นภายในวังหลวงแน่
เป็นดังคาด สาวใช้ในอาภรณ์หรูเข้ามาคำนับให้ “ฮุ้ยเฟยเหนียงเหนียงของข้าเชิญไต้ซือไปตำหนักถงกวงเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็ยื่นมือออกมาผายมือนำทาง
——————–
[1] ฤดูใบไม้ผลิคลุมให้อุ่น ฤดูใบไม้ร่วงปล่อยหนาว ช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อยๆ เริ่มอบอุ่นขึ้น ถ้ารู้สึกร้อนขึ้นอย่าเพิ่งรีบลดปริมาณเสื้อผ้าให้ทนร้อนในระดับที่พอรับได้ แล้วค่อยๆ ลดจำนวนชิ้นหรือเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางลง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและมีภูมิคุ้มกัน พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หนามากยิ่งขึ้น แต่ควรจะค่อยๆ เพิ่มเสื้อผ้าที่มีความอบอุ่นตามแต่กำลังของตน ใส่ให้รู้สึกว่าอยู่ในระดับที่หนาวพอรับไหวแล้วถ้าเริ่มไม่ไหวก็ค่อยๆ ใส่เสื้อผ้าที่หนาขึ้นหรือเพิ่มจำนวนชิ้นมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับอากาศที่จะหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ