ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 254.1 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (1)
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 254.1 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (1)
ณ ลานบ้านของหอเหยาไถ มีกำแพงปูนกั้นไว้ อวิ๋นหว่านชิ่นมองแผ่นหลังนางกำนัลตำหนักถงกวงพาไต้ซืออู้เต๋อจากไป ชูซย่าที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “นายหญิงคิดว่าจะได้ผลแน่หรือเจ้าคะ”
“นางเชิญไต้ซืออู้เต๋อไป ยังจะถามเรื่องใดได้อีก” อวิ๋นหว่านชิ่นขนตาขยับไหว เรื่องทุกเรื่องล้วนไม่อาจมั่นใจได้ มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่สามารถแน่ใจได้
หลายวันผ่านพ้นไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ทางด้านของแดนเหนือยังคงไร้ข่าวคราว คนเป็นต้องเห็นตัว คนตายต้องเห็นศพ แต่กลับยังคงมีชีวิตแต่ไม่เห็นตัว คนตายไม่เห็นศพ
ยามเหนียนกงกงมาหาก็มิได้พูดถึงเรื่องภูเขาบงกชหิมะอีกเลย อวิ๋นหว่านชิ่นทำได้เพียงให้ชูซย่าไปพบเฉินจ้าวที่เข้าเวรรักษาการณ์เป็นครั้งคราว จากนั้นก็นำข่าวกลับมายังหอเหยาไถ
โชคดีที่สกุลเฉินเป็นตระกูลทหาร แม้ว่าอายุอานามของแม่ทัพเฒ่าจะมากแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ยังมีสหายเก่าในราชสำนักที่เชี่ยวชาญการทหารอยู่บ้าง เฉินจ้าวสอบถามเรื่องทางแดนเหนือจากความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับผู้อื่น แล้วพบกับชูซย่าเมื่อตนเข้าเวรรักษาการณ์ในวัง ฝากข่าวคราวทัพหน้าไปให้อวิ๋นหว่านชิ่น
อี๋ซื่ออ๋องส่งคนไปหาตามแนวผาสูงชันถึงสามวันสามคืน แล้วใช้เวลาเกือบสิบวันค้นหาด้านล่างหน้าผา พบศพคนและม้าที่พลัดตกในหุบเขาส่วนน้อย ส่วนใหญ่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรเสียด้านล่างผาของหุบเขาหิมะบงกชก็กว้างใหญ่มากเกินไป ลึกเสียจนไม่เห็นก้นบึ้ง กว้างเสียจนไม่เห็นขอบ
แต่ไร้ข่าวคราวใดกลับเรียกได้ว่าเป็นข่าวที่ดี ยามชูซย่าเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าอึมครึม อวิ๋นหว่านชิ่นกลับถอนหายใจ
แม้การศึกแนวหน้าจะสำคัญ สงครามใหญ่จะชนะไม่หยุด แต่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว บรรยากาศภายในวังหลวงนับได้ว่าชื่นมื่นกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง ก่อนพลบค่ำวันนี้ เนี่ยมอมอพาแม่นมอุ้มบัวลอยน้อยมาหา อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มลูกชายมาเล่น
เนี่ยมอมอเห็นสองแม่ลูกเบิกบานมีความสุขก็ยิ้มเอ่ยว่า “เหม่ยเหรินก็น่าจะทูลขอฝ่าบาทให้ทรงตั้งชื่อจริงให้แก่องค์ชายรองได้แล้วนะเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นหอมใบหน้ารูปไข่ตุ้ยนุ้ยของลูกชาย เอ่ยเพียงว่า “ยามนี้เรื่องในราชสำนักมากมายเหลือเกิน ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ไม่สะดวกจะแบ่งความสนใจมาให้ รอให้สงครามแดนเหนือคลายลงสักหน่อยก่อนเถิดค่อยว่ากันใหม่”
แม้จะบอกว่ายามนี้เป็นเวลาที่สำคัญ แต่ต่อให้ยุ่งมากเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นกระทั่งชื่อจริงขององค์ชายก็ไม่มีเวลามาตั้งให้หรอกกระมัง
ไม่ช้าก็เร็วองค์ชายก็ต้องมีชื่อ ทว่าคลอดมาหลายเดือนแล้วยังไร้ซึ่งวี่แววใด หาได้ยากนัก ฝ่าบาทก็ดันไม่คิดที่จะตรัสถึงเรื่องนี้ เหม่ยเหรินก็ไม่รีบไม่ร้อน เหมือนว่าอย่างไรก็ได้อย่างไรอย่างนั้น เนี่ยมอมอยู่ปาก เสนอขึ้นอีกว่า “เดี๋ยวก็ปีใหม่แล้ว อาศัยวันมงคลเฉลิมฉลอง ยามฝ่าบาทเบิกบานพระทัย เหม่ยเหรินค่อยเสนอเรื่องตั้งชื่อเถิดเพคะ”
ปีใหม่แล้ว นึกย้อนไปถึงตอนนี้เมื่อปีที่แล้ว เป็นวันที่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ส่วนตัวภายในราชวงศ์พอดี ปีนี้มีสงคราม จึงได้ยกเลิกไปทั้งหมด
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับเจี่ยงฮองเฮายังคงอยู่…
เจี่ยงฮองเฮา อวิ๋นหว่านชิ่นใจกระตุก “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันครบรอบการสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงฮองเฮาแล้วกระมัง”
เนี่ยมอมอนิ่งอึ้ง รีบตอบว่า “เพคะ”
ปีที่แล้ว หลังจากปีใหม่ได้ไม่กี่วัน เจี่ยงฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ที่ตำหนักซือฝา ตามหลักการแล้ว วันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ปีแรกของฮองเฮาองค์ก่อน ควรจัดให้ยิ่งใหญ่ แต่จากระดับความเกลียดเข้ากระดูกดำของฝ่าบาทที่มีต่อนางแล้ว อย่าว่าแต่จัดอย่างยิ่งใหญ่เลย จวบจนบัดนี้กระทั่งการเคลื่อนไหวยังไร้วี่แวว เกรงว่าจะอ้างเรื่องสงคราม แค่จะจัดก็ยังคร้านจะทำ
อีกทั้งยังมีเหตุผลที่ฝ่าบาทไม่มีทางจัดงานครบรอบวันสิ้นพระชนม์อย่างเอิกเกริกเพื่อฮองเฮาได้ เพราะมีวันครบรอบสิ้นพระชนม์ของใครคนหนึ่งที่อยู่ก่อนปีใหม่พอดีเช่นกัน…นั่นคือพระสนมหยวน
ที่ผ่านมาซย่าโหวซื่อจุนปิดบังเจี่ยงฮองเฮาไว้ สร้างสุสานเสื้อผ้าไร้ร่างพระศพให้พระมารดาแท้ๆ อย่างพระสนมหยวนที่อารามพุทธนอกวัง เรื่องนี้สวี่มู่เจินเป็นคนจัดการ ทุกครั้งจะปลอมตัวเป็นสามัญชนออกจากวังไปเคารพวันเกิดและวันตายของมารดาเป็นการส่วนตัว และเป็นสวี่มู่เจินที่นำทางไป ดังนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นจึงเคยได้ยินมา และจดจำวันประสูติและวันสิ้นพระชนม์ของพระสนมหยวนได้ขึ้นใจ
หลังจากที่พระองค์ขึ้นรองราชย์ ได้เปลี่ยนพระสมัญญานามของพระสนมหยวนเป็นเซี่ยวฮุ่ยเซิ่งจวงเลี่ยฮองไทเฮา ทั้งยังประทานรางวัลมหาศาลให้แก่ญาติห่างๆ ของพระมารดาที่เหลืออยู่ เห็นได้ชัดว่าทรงอยากพยายามอย่างยิ่งที่จะชดเชยให้แก่มารดาที่โดนใส่ร้ายจนสิ้นพระชนม์
ยามนี้ วันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของมารดากับศัตรูที่ทำร้ายนางจนตายประจบเป็นวันเดียวกัน ลองถาม เหตุใดพระองค์ไม่ทรงระบายอารมณ์ให้แก่มารดา พระองค์ย่อมจัดพิธีเซ่นไหว้อันยิ่งใหญ่เพื่อมารดาแน่นอน แล้วทรงจงใจเพิกเฉยและละเลยวันสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงฮองเฮา เกรงว่ากระทั่งธูปสักดอกก็คงจะไม่ให้แก่เจี่ยงฮองเฮาแน่
ในขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังครุ่นคิดอย่างมีสมาธิอยู่นั้นเอง ชูซย่าก็เข้ามาจากด้านนอกอย่างเหน็ดเหนื่อย หน้าผากชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กๆ เพิ่งจะยืนมั่นก็เอ่ยว่า “เนี่ยมอมอพาแม่นมออกไปข้างนอกก่อนสักครู่เถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งบัวลอยน้อยให้แม่นม พอพวกนางออกไปจึงเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นรึ”
ชูซย่าขยับมาข้างหูรายงานว่า “เมื่อครู่นี้สวีคังเฟยเพิ่งจะไปคุกเข่าไม่ยอมลุกอยู่หน้าพระที่นั่งเฉียนเต๋อ ร้องห่มร้องไห้ขอให้ฝ่าบาทคืนองค์หญิงติ้งอี๋ให้เจ้าค่ะ”
ณ หน้าพระที่นั่งเฉียนเต๋อ สตรีออกเรือนเยาว์วัยในอารมณ์ผ้าไหมปักปิ่นมุกคุกเข่าหันหน้าไปยังประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ น้ำตาพลั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย สาวใช้ยืนถือโคมอยู่ข้างกาย เข้าไปเกลี้ยกล่อมเป็นครั้งคราวว่า “เหนียงเหนียง กลับไปก่อนเถิด…”
“กลับอันใดกัน! องค์หญิงโดนคนแย่งไปแล้ว…วันนี้เอาติ้งอี๋คืนมามิได้ ข้าก็จะคุกเข่าอยู่หน้าประตูเช่นนี้แหละ!” สวีคังเฟยได้ยินก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ตีอกชกหัว
ในที่สุด ประตูใหญ่ก็เปิดออกเสียงดัง ‘แอ๊ด’ มีคนออกมามองคังเฟยที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างบันไดมานานอยู่แวบหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปหาสองสามก้าว
สวีคังเฟยโผเข้าไปจับแขนเสื้อเหนียนกงกงไว้ “เหนียนกงกง! ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ท่านให้ข้าได้พบฝ่าบาทเถิดนะ ติ้งอี๋เป็นลูกสาวข้า มีสิทธิอันใดจึงได้โดนคนอื่นเอาไปเลี้ยงดู!”
“เฮ้อ มิใช่ว่าให้คนออกมาบอกเจ้าแล้วหรือว่าฝ่าบาททรงอนุญาตไปแล้ว” เหนียนกงกงถอนหายใจ “เหตุใดคังเฟยจึงมีตาหามีแววไม่เช่นนี้เล่า ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ที่พระที่นั่งอี้เจิ้งหลายวัน วันนี้กลับมาไวอย่างหาได้ยากยิ่ง เพิ่งจะล้มตัวลงงีบได้ครู่เดียว เพื่อจะพักผ่อนจิตใจ เจ้าก็มาร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านนอก เจ้าอยากให้พระองค์กริ้วหรือไร องค์หญิงติ้งอี๋แค่ไปพักอยู่ตำหนักถงกวงไม่กี่วันเท่านั้น เป็นลูกสาวของเจ้าอย่างไรก็หนีเจ้าไม่พ้นหรอก ใครจะมาแย่งลูกสาวเจ้าไปได้ เฮ้อ เหนียงเหนียงจะให้บ่าวพูดเช่นไรจึงจะดี รีบกลับไปเถิด อีกเดี๋ยวฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมาจริงๆ อย่ามาโทษบ่าวที่ไม่เตือนก่อนก็แล้วกัน”
สวีคังเฟยได้ยินดังนั้นก็ทราบดีว่าฝ่าบาททรงอนุญาตให้ฮุ่ยเฟยเอาตัวติ้งอี๋ไปได้จริงๆ ร่างกายนางอ่อนยวบ ดีที่นางกำนัลข้างกายพยุงไว้ทัน
เหนียนกงกงเห็นนางใจเหม่อลอย ก็มิได้พูดอันใดให้มากความอีก หันหลังขึ้นบันไดเข้าพระที่นั่งเฉียนเต๋อไป ประตูปิดไปเสียงดัง สวีคังเฟยก็ตกใจได้สติขึ้น หลุดจากภวังค์มาก็จะโผไปเคาะประตูอีก สาวใช้ตามไปห้ามอย่างขื่นขม “เหนียงเหนียง ช่างเถิดเพคะ อีกสองสามวันรอให้ฝ่าบาทว่างอีกสักหน่อยค่อยมาขอร้องใหม่ เกิดไปทำให้ทรงกริ้วขึ้นมาจริงๆ ได้แย่แน่เพคะ…”
อีกสองสามวันรึ เกรงว่าติ้งอี๋จะได้กลายเป็นลูกสาวของคนอื่นไปจริงๆ น่ะสิ! สวีคังเฟยไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ นางกำลังจะยกมือขึ้นเคาะลงไป กลับได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นจากด้านหลัง “เหนียงเหนียงรักธิดาสุดดวงใจ ผลีผลามไปแล้ว สุนัขสาวรับใช้ของท่านก็โง่เขลาไปแล้วรึ ร้องไห้โวยวายจะบุกเข้าตำหนักบรรทม ฝ่าบาทต้องกริ้วหนักแน่! ยังไม่พาเหนียงเหนียงลงมาอีก!”
พอสาวใช้เห็น ท่ามกลางราตรี อวิ๋นเหม่ยเหรินแห่งหอเหยาไถพร้อมด้วยฉีไหวเอินและชูซย่า ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด กำลังยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้น รีบโอบเอวคังเฟยกอดไว้ ปิดปากแล้วลากลงมา
ชูซย่าสั่งให้สาวใช้จับสวีคังเฟยมายังศาลารับลมในสวนเล็กๆ ที่เงียบสงบใกล้ๆ นั้น
ภายในศาลารับลม อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ข้างคังเฟย ให้ชูซย่า ฉีไหวเอินเฝ้าอยู่นอกศาลา จะได้เลี่ยงคนเข้ามา
สวีคังเฟยอารมณ์สงบลง นางเช็ดหน้าคราหนึ่ง จึงได้ตกใจที่เมื่อครู่ไม่คิดหน้าคิดหลังบุ่มบามต่อหน้าพระพักตร์จนเกือบจะต้องโทษประหาร จึงเอ่ยขอบคุณไปว่า “เมื่อครู่นี้ขอบคุณอวิ๋นเหม่ยเหรินยิ่ง”