ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 254.2 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (2)
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 254.2 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (2)
“เกิดเรื่องใดขึ้นกับองค์หญิงติ้งอี๋หรือเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้คังเฟย พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
สวีคังเฟยมองนางแวบหนึ่ง ลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะพูดกับนางดีหรือไม่ สาวใช้ข้างกายกลับอดไม่ไหว เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ฮุ่ยเฟยไม่เพียงแต่จะแย่งฝ่าบาทไป แม้กระทั่งองค์หญิงของเหนียงเหนียงก็ยังจะมาพรากไป เหนียงเหนียงยังจะกังวลไว้หน้าอันใดแก่ฮุ้ยเฟยอีก”
“แย่งองค์หญิงอันใดรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้แจ้งอยู่แก่ใจตั้งนานแล้ว แต่สีหน้ากลับปรากฏเป็นความประหลาดใจ
สาวใช้คนนั้นได้รับการอนุญาตจากคังเฟยเงียบๆ ก็เอ่ยอย่างโมโหว่า “ก่อนหน้านี้ไต้ซืออู้เต๋อที่โด่งดังในหมู่ปวงชนเข้าวังมามิใช่หรือไร ฮุ่ยเฟยเชิญอู้เต๋อไปตำหนักถงกวง สอบถามเรื่องการตั้งครรภ์ ไต้ซือบอกว่าฮุ่ยเฟยมีชะตาที่มีบุตรยาก มีทางเดียวคือเลียนแบบสาวชาวบ้านไร้บุตร เลี้ยงเด็กไว้ข้างกาย ดูว่าอาจจะเรียกโอรสมาให้ก็เป็นได้ ทั้งยังบอกอีกว่าทางที่ดีเด็กจะต้องอายุไม่เกินห้าปี มีโชคชะตาหยิน เด็กที่เจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอจะเป็นการดีที่สุด เด็กเช่นนี้หยางยังไม่มั่นคง ขาข้างหนึ่งยังอยู่ในปรโลก ข้างกายมีวิญญาณรายล้อม และวิญญาณล้วนรอมาเกิด ไม่แน่ว่าอาจจะมาเกิดในท้องของฮุ่ยเฟยก็ได้ โชคชะตาหยินก็เด็กผู้หญิงมิใช่หรือไร องค์หญิงติ้งอี๋ปีนี้สี่ชันษาครึ่ง ร่างกายอ่อนแอ ป่วยอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดนี้ล้วนตรงทุกอย่าง! ฮุ่ยเฟยจึงหมายตานาง ไม่กี่วันก่อนพูดเรื่องนี้กับเหนียงเหนียงของข้า เหนียงเหนียงข้าปฏิเสธอ้อมๆ ไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเที่ยงวันนี้จะไปยังที่ประทับของฝ่าบาทโดยตรง เอาตัวองค์หญิงติ้งอี๋ไป ท่านว่ามันน่าโมโหหรือไม่! คังเฟยไปตำหนักถงกวง ฮุ่ยเฟยไม่ให้นางเข้าไป คังเฟยของข้ายามนี้จึงจำต้องไปหาฝ่าบาท…”
“ทางด้านฝ่าบาทก็มิได้ตรัสอันใดมาหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม
ในที่สุดสวีคังเฟยก็อดใจไม่ไหว ขอบตาแดงก่ำ “เรื่องนั้นของเจี่ยงฮองเฮา ฮุ่ยเฟยสร้างคุณงามความดีให้แก่ฝ่าบาท เคยทุ่มสุดชีวิตให้ เรื่องแค่นี้ฝ่าบาทคงไม่อยากให้นางผิดหวัง ทั้งยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย คร้านจะไปสนใจ แต่มีสิทธิอันใดกัน นั่นเป็นลูกสาวที่ข้าอุ้มท้องมาสิบเดือน ซ้ำข้าก็ยังไม่ตาย มีสิทธิอันใดเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงกัน ถึงเวลานั้นติ้งอี๋โดนนางเลี้ยงจนคุ้นชินแล้ว เรียกนางว่าแม่ แล้วข้านับเป็นอันใดกัน กว่าข้าจะได้องค์หญิงมาไม่ง่ายเหมือนกันนะ! นางเองมีไม่ได้ก็มาแย่งของคนอื่นไป เอาลูกสาวข้าไปเรียกลูกชายให้มาเกิด นี่มันมีอย่างนี้ที่ไหน…”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสวีคังเฟยที่ร้องไห้โดยไม่ปิดบังอยู่เบื้องหน้า ความเจ็บปวดของคังเฟย นางเองก็สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด หากบอกว่ายามนี้มีคนมาอุ้มบัวลอยน้อยไป พรากแม่พรากลูกกัน เกรงว่านางเองก็จะทุ่มสุดชีวิตกับคนๆ นั้น แค่คิดก็ไม่อาจจะคิดได้แล้ว
เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นนางวางแผนขึ้น ยามนี้มาเห็นด้วยตาตัวเอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังแสดงสีหน้าสั่นไหวอยู่ไม่น้อย ทว่า หากสวีคังเฟยกับองค์หญิงติ้งอี๋ไม่แยกจากกันในครานี้ บางทีอาจมีสักวันที่นางกับบัวลอยน้อยจะต้องมีจุดจบเช่นนี้ก็ได้ มีเพียงการสร้างความร้าวฉานระหว่างเจี่ยงอวี๋และแม่นางสวีเท่านั้นที่จะสามารถทำให้พวกนางสองแม่ลูกอยู่อย่างสงบ ดังนั้น ต่อให้รู้สึกผิดอันใด นางก็ทำได้เพียงกลืนมันลงไปเท่านั้น
นางจับมือคังเฟยเอาไว้ กุมไว้มือหนึ่ง “หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของคังเฟย ในวังหลวง ไม่ว่าองค์ชายหรือองค์หญิง ล้วนเป็นที่พึ่งและความหวังของมารดา หากเป็นหม่อมฉัน เกรงว่าจะยิ่งวู่วามกว่านี้ ต่อให้ต้องบุกเข้าไปก็ต้องเอาลูกกลับมาให้ได้”
สวีคังเฟยได้ฟังก็เหมือนถูกทิ่มโดนความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ น้ำตาหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย นางตัดสินใจแน่วแน่ ลุกพรวดพราดขึ้น สั่งสาวใช้ว่า “ฝ่าบาทไม่ยอมพบข้า ได้ เราไปตำหนักถงกวงกันอีกรอบ ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้จริงๆ ข้าต้องตัดสินกับนางเสียหน่อย! ข้าถูกนางกดขี่ก็แล้วไปเถิด แม้กระทั่งองค์หญิงก็ต้องให้นางไปเปล่าๆ เช่นนี้รึ ไม่ได้ ข้าสนใจเรื่องพวกนั้นมิได้อีกแล้ว ต้องทุ่มสุดชีวิตกับนางให้ตายกันไปข้าง นางยังเอาตัวเองเป็นนายหญิงใหญ่ของวังหลังอีกรึ ก็แค่ชายาเท่านั้นเอง…ไม่ยากอันใดที่จะลากนางไปหาไทฮองไทเฮาด้วยกัน!”
“เดี๋ยวก่อน” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าแม่นางสวีตัดสินใจจะตัดขาดกับเจี่ยงอวี๋ จึงดึงข้อมือนางไว้อย่างได้จังหวะ เอ่ยห้ามเอาไว้ว่า “หากฝ่าบาททรงอนุญาตไปแล้ว เจ้าไปโวยวายที่ตำหนักถงกวงก็ไร้ประโยชน์ เกิดโดนฮุ่ยเฟยจับหลักได้ ใช้เรื่องนี้มาย้อนกัดเจ้าคืน ฟ้องไปถึงทางฝ่าบาท เกิดโดนลงโทษขึ้นมา กระทั่งโอกาสสุดท้ายที่จะได้องค์หญิงติ้งอี๋กลับคืนมายังไม่มี อีกทั้ง ขนาดฝ่าบาทยังทรงอนุญาตแล้ว โวยวายไปถึงไทฮองไทเฮาจะมีประโยชน์ใดรึ ไทฮองไทเฮาทรงมีท่าทีเดียวกันกับฝ่าบาทตลอดมา อย่างมากก็แค่ปลอบใจเจ้าไม่กี่คำเท่านั้น”
“ละ…แล้วจะทำเช่นไรเล่า” สวีคังเฟยฟังนางวิเคราะห์จบ ก็พลันล้มเลิกความคิดลง ปิดหน้าร้องไห้ออกมา ในเสียงร้องไห้มีสามส่วนที่หักใจแยกกับลูกสาวมิได้ และอีกเจ็ดส่วนที่โมโหเจี่ยงอวี๋ด้วยความไม่พอใจ
“หากคังเฟยยังอยากจะได้องค์หญิงติ้งอี๋กลับคืนมา ยามนี้ก็จำไว้ให้มั่นว่าอย่าได้ตัดขาดกับนางอย่างโจ่งแจ้ง” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางร้อนใจก็ตบหลังมือนางเบาๆ ดวงตาแวววาวขยับไหว “ทางที่ดี แสดงท่าทีอย่างเปิดเผยกับนาง มอบองค์หญิงให้นางเลี้ยงอย่างวางใจ ให้ฮุ่ยเฟยเชื่อว่าเจ้ายังเป็นคนของนางอยู่”
สวีคังเฟยพอจะรู้ คล้ายว่าจะเข้าใจความหมายของนาง “เจ้าหมายความว่า…”
“หากนางทำผิด จะสามารถเลี้ยงดูองค์หญิงไว้ข้างกายนางได้อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยทีละถ้อยทีละคำ
สวีคังเฟยกระจ่างแจ้ง แต่กลับลังเลอีกครั้ง “แต่ว่า ข้าจะทำให้นางทำผิดได้อย่างไร…แต่ไหนแต่ไรมาก็ทรงลำเอียงเข้าข้างนาง หากมิใช่ความผิดร้ายแรง ฝ่าบาทก็ไม่สนใจหรอก”
“เหตุใดต้องเป็นผิดร้ายแรงด้วยเล่า” อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาเปล่งประกาย “ขอเพียงแค่เรื่องที่ทำให้ฝ่าบาทกริ้วได้ก็พอแล้ว”
สวีคังเฟยนิ่งอึ้ง “เรื่องที่ทำให้ฝ่าบาทกริ้วได้…” นางจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง พลิกมือไปคว้ามืออีกฝ่ายไว้ เงียบฟังประโยคต่อมา ไหนเลยจะเหลือคราบนายหญิงของชายาสนมอยู่อีก
จู่ๆ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย จะว่าไปแล้ว นี่ช่างเหมือนโอกาสที่สวรรค์มอบให้ นางถอนหายใจเบาๆ “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของเซี่ยวฮุ่ยเซิงจวงเลี่ยฮองไทเฟยสกุลหยวนแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เจี่ยงฮองเฮายังอยู่ ไม่เคยได้จัดงานครบรอบวันสิ้นพระชนม์ให้แก่หยวนไทเฮาเลย ปีนี้ฝ่าบาทจะต้องจัดงานให้หยวนไทเฮาอย่างยิ่งใหญ่เป็นแน่”
สวีคังเฟยพยักหน้า ก่อนหน้านี้ได้ยินคนในกองกิจการภายในบอกว่าในวันครบรอบ วังหลังทั้งหมดต้องอาบน้ำจุดธูป ฝ่าบาทพาชายาสนมที่ลำดับขั้นสูงๆ ไปด้วย เซ่นไหว้หยวนไทเฮาที่ลานกว้างหน้าวัดบรรพชนทั้งวัน เห็นได้ชัดว่าพิถีพิถันและตั้งใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นบอกกล่าวอีกหนึ่งคำรบ
สวีคังเฟยล้วนฟังแต่ละถ้อยแต่ละคำอย่างชัดเจน แม้จะไม่ค่อยสบายใจ แต่อย่างไรเสียก็เป็นวิธีที่ชิงตัวลูกสาวกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นนางเกิดความแค้นต่อเจี่ยงอวี๋แล้ว ยากที่จะกลับใจ พอฟังจบก็พยักหน้า
ณ ตำหนักถงกวง
ปกติแล้วองค์หญิงติ้งอี๋จะพักที่สำนักลูกยาเธอตามธรรมเนียมของวังหลวง แต่เนื่องจากป่วยบ่อย ฝ่าบาททรงสงสารธิดาคนโตคนนี้ ปกติจึงให้เลี้ยงดูอยู่ข้างกายสวีคังเฟยเป็นส่วนมาก หมู่นี้ป่วยไข้ พระมารดาอย่างสวีคังเฟยจึงรับมาดูแลที่ตำหนัก ยามนี้จู่ๆ ก็ถูกเปลี่ยนที่ ซ้ำยังกลัวคนแปลกหน้า จึงร้องงอแงทั้งคืน
เจี่ยงอวี๋ข่มอารมณ์เอาไว้ สุดท้ายให้แม่นมเอานางกล่อมเข้านอน เห็นแม่นมอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยกลับไปยังห้องตนจึงได้สูดหายใจลึก ทุบบ่าไปมา ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สี่ขวบ จะว่าเด็กก็ไม่เด็กแล้ว ทำเป็นแต่อ้าปากร้องไห้ งี่เง่าอย่างเดียว! หากมิใช่ว่าจำเป็นล่ะก็ ใครจะอยากเอาองค์หญิงไร้การอบรมนี่ไว้ข้างกาย โวยวายจนข้าหัวโตแล้ว…เฮ้อ พักอยู่หลายวัน ข้ากลัวว่าจะโดนนางทำเอาประสาทเสียจริงๆ” ในเมื่อเป็นการเลี้ยงลูกบุญธรรมเพื่อเรียกลูกชายให้มาเกิด เช่นนั้นยิ่งเอาไว้ใกล้ตัวเท่าใดก็จะเป็นการดีเท่านั้น เจี่ยงอวี๋จัดการให้องค์หญิงติ้งอี๋มาอยู่ในห้องนอนตน ในยามที่ฝ่าบาทไม่เสด็จมาก็จะพักอยู่ในห้องเดียวกันกับตน
“เหนียงเหนียงอดทนไว้เพคะ รอให้องค์หญิงติ้งอี๋เรียกโอรสให้เหนียงเหนียงได้แล้วก็เป็นอันเสร็จแล้ว” สาวใช้เอ่ยปลอบอย่างรู้ใจ “จะว่าไปแล้ว เรื่องการรับเด็กมาเลี้ยงเรียกบุตรชายนี้ บ่าวก็ได้ยินมาไม่น้อย เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้านมาก และได้ผลดีมากด้วยเพคะ”